Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"สุวรรณภูมิ" ความอับอายแห่งชาติ ถึงเวลารัฐบาล "ล้างไพ่" ติดต่อทีมงาน

เรื่องสนามบินสุวรรณภูมิ  ไทยรัฐมองรัฐบาลทักษิณ ดีกว่า รัฐบาลขิงแก่และรัฐบาลอภิสิทธิ์เยอะเลย

วันก่อน ฟังความเห็นของสมาชิกเรื่องสนามบิน เลยไปหาข่าวเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิในปัจจุบันอ่านดูบ้าง


------------------------------------------------------------------------------------

"สุวรรณภูมิ" ความอับอายแห่งชาติ ถึงเวลารัฐบาล "ล้างไพ่"

แม้วันนี้ปัญหาเที่ยวบิน “ดีเลย์” ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะคลี่คลายลงไปในระดับหนึ่ง หลังจากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เที่ยวบินต่างๆ ต้องเผชิญกับวิกฤติจากการที่สนามบินแห่งนี้ต้องปิดซ่อมรันเวย์ฝั่งตะวันออก “ครั้งใหญ่” ที่กินเวลานานกว่า 2 เดือน

ทำให้สายการบินต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศต้องปรับเที่ยวบินขึ้น-ลงกันอย่างโกลาหล ต้องเผชิญกับปัญหา Delay เป็นทิวแถว เที่ยวบินนับสิบและนับร้อยเที่ยวต้องบินวนราวกับ “เวียนเทียน” นานนับชั่วโมงกว่าจะลงจอดได้ เนื่องจากเหลือรันเวย์ขึ้น-ลงเพียงรันเวย์เดียว คือรันเวย์ฝั่งตะวันตก

วันดีคืนดีสนามบินแห่งนี้ ยังเพิ่มความอื้อฉาวหนักขึ้นไปอีก เมื่อจู่ๆ ผิวรันเวย์ฝั่งตะวันตก ที่เปิดให้บริการอยู่รันเวย์เดียว ยังเกิดแตกล่อนและทรุดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ทำให้ต้องประกาศปิดซ่อมฉุกเฉิน ต้องโยกเที่ยวบินขึ้น-ลงนับสิบเที่ยวไปใช้สนามบินใกล้เคียงแทน

ย้อนไปก่อนหน้าไม่ถึงขวบเดือน คือวันที่ 21 มิ.ย. สนามบินแห่งนี้ก็เพิ่งสร้าง “วีรกรรม” ที่ทำเอาผู้โดยสารนักท่องเที่ยว และสายการบินต่างๆ อกสั่นขวัญแขวนหายใจไม่ทั่วท้องกันมาแล้ว เมื่อจู่ๆเรดาร์ของสนามบินเกิดอาการ “จอดับ” ขึ้นมากะทันหัน ไม่สามารถจะนำร่องเครื่องบินขึ้น-ลงได้

ทำให้ต้องโยกเที่ยวบินนับร้อยเที่ยวไปใช้สนามบินใกล้เคียงแทน หลายเที่ยวบินถูกขอให้ไปใช้สนามบินเชียงใหม่ ภูเก็ต อู่ตะเภา หรือแม้แต่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ในมาเลเซีย ขณะที่อีกนับสิบเที่ยวบินต้องบินวนนานนับชั่วโมง กว่าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะแก้วิกฤติเรดาร์สนามบินได้

เมื่อมาประจวบเหมาะกับกรณี “อื้อฉาว” ผิวรันเวย์แตกล่อนทรุดเป็นหลุมลึกที่ทำให้ต้องปิดซ่อมฉุกเฉินครั้งล่าสุดอีก จึงทำให้ทุกฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงสาเหตุแท้จริงที่ทำให้สนามบินแห่งนี้เกิดเรื่อง “อื้อฉาว” ขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน พร้อมคำถาม “คาใจ” ที่ทุกฝ่ายอยากได้ความกระจ่าง

เมื่อไหร่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแห่งนี้ ที่เคยได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้ชื่อว่าเป็น “ประตูสู่เอเชีย (Gateway of Asia) จะปลดโซ่ตรวนแห่งความ “อื้อฉาว” กลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ให้สมกับที่เป็นสนามบินแห่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศเสียที!!!

*******

ย้อนรอยความอื้อฉาว “สุวรรณภูมิ”

หากย้อนรอยเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับสนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้ ต้องยอมรับว่า มีมานับตั้งแต่สนามบินแห่งนี้ ยังเป็น “พิมพ์เขียว” ด้วยซ้ำ ตั้งแต่เริ่มประมูลจัดหาบริษัทออกแบบโครงการ ออกแบบอาคารผู้โดยสารในช่วงปี 2538-2539 เวลานั้นก็เกิดกรณีร้องเรียน “ล็อกสเปก” ผู้รับเหมาออกแบบก่อสร้างโครงการกันหนาหู

เมื่อรัฐบาลปักหมุดประกาศเดินหน้าโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่ 2 ช่วงปี 2540-2543 ที่ต้องมีการเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ในการก่อสร้าง กรณีถมทราย “หนองงูเห่า” เนื้อที่กว่า 20,000 ไร่ ก็กลายเป็นเค้กก้อนยักษ์ที่ไม่รู้ใครต่อใครเข้ามามะรุมมะตุ้ม มีการร้องเรียนกรณีทุจริต และตั้งคณะกรรมการสอบกราวรูดไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด

หมดจากเรื่องถมทรายก็มาเจอเรื่องอื้อฉาวปรับแก้ไขแบบอาคารผู้โดยสาร อาคารเทียบเครื่องบินที่ไม่เป็นไปตามแบบเดิมของกลุ่ม “เมอร์ฟี่-จาห์น” ติดปัญหาเรื่องงบประมาณก่อสร้างบานปลาย หลังเคลียร์หน้าเสื่อเรื่องอาคารผู้โดยสารยังไม่สะเด็ดน้ำก็เจออีกสารพันปัญหา ทั้งกรณีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX-9000 ระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า ระบบท่อร้อยสาย ระบบไฟฟ้า โครงหลังคาผ้าใบอาคารผู้โดยสาร ฯลฯ

แม้ขณะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เมื่อ 28 ก.ย.49 สนามบินสุวรรณภูมิก็ยังคงเผชิญปัญหาต่างๆ ตามมาอีก ทั้งห้องน้ำไม่เพียงพอ แอร์ไม่เย็น หลังคารั่ว ประตูเสีย ลิฟต์ติดไปจนถึงแท็กซี่ไม่เพียงพอกับจำนวนผู้โดยสาร เป็นต้น

นัยว่ากรณีอื้อฉาวที่ส่อไปในเชิงทุจริต เฉพาะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับเรื่องไว้ไต่สวน ตามที่นายเมธี ครองแก้ว ประธานอนุกรรมการไต่สวนโครงการในสนามบินสุวรรณภูมิแถลงออกมาล่าสุดนั้นมีอยู่ด้วยถึง 24 เรื่อง

เรียกได้ว่าแตะเข้าไปตรงไหนเป็นได้เห็นฝีหนอง “แตกโพละ” ทั้งสิ้น!!!

รัฐประหาร 19 กันยา : จุดเปลี่ยน “สุวรรณภูมิ”

แม้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะถูกตราหน้าว่ามีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้น แต่กระนั้นก็ต้องให้ “เครดิต” แก่รัฐบาลชุดดังกล่าว โดยเฉพาะ “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.คมนาคมในขณะนั้น ที่ลงไปโม่แป้ง เกาะติดการก่อสร้างชนิดที่แทบจะลงไปกินนอนอยู่ในพื้นที่ก่อสร้าง

ด้วยประกาศิตของนายกฯที่ “ทุบโต๊ะ” เร่งรัดการก่อสร้างสนามบินแห่งนี้ต้องแล้วเสร็จตามกำหนดเปิดให้บริการได้ในวันที่ 28 ก.ย.2549 หลังจากที่คนไทยต้อง “หาวเรอ” รอสนามบินแห่งนี้มากว่า 45 ปี นับแต่ได้ริเริ่มแนวคิดก่อสร้างสนามบินแห่งนี้ เมื่อปี 2503

แต่แน่นอนว่า ภายหลังการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้ไปแล้ว ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดีว่า ยังคงมีกิจกรรมอีกหลายด้านที่ต้องแก้ไขควบคู่กันไป เพราะการที่ต้องเร่งรัดก่อสร้างสนามบิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกอย่าง “เพอร์เฟกต์”

อีกทั้งด้วยผลพวงจากความล่าช้าในการก่อสร้างเฟสแรก ส่งผลให้กว่าที่สนามบินแห่งนี้จะเปิดใช้บริการ ปริมาณผู้โดยสารในขณะนั้นได้ทะลักขึ้นไปถึง 40 ล้านคนเข้าไปแล้ว ทั้งๆที่ขีดความสามารถของสนามบินในเฟสแรก สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียง 45 ล้านคนเท่านั้น

ด้วยขีดความสามารถของสนามบินสุวรรณภูมิข้างต้น ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจดีว่า สนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้จำเป็นจะต้องได้รับการขยายในเฟส 2 และเฟส 3 เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 90-120 ล้านคน

แต่นับเป็นความ “โชคร้าย” ของประเทศไทยเรา ที่ก่อนการก่อสร้างสนามบินแห่งนี้จะแล้วเสร็จ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะนั้นก็ถูก “รัฐประหาร” โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ (คปค.)” เมื่อ 19 ก.ย.2549 ก่อนการเปิดใช้สนามบินแห่งนี้เพียง 8 วันเท่านั้น

ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญของนโยบายรัฐที่มีต่อสนามบินแห่งนี้!!!

เพราะหลังจากรัฐบาล “ขิงแก่” ก้าวเข้ามา สิ่งที่รัฐบาลชุดดังกล่าวตั้งหน้าตั้งตาดำเนินการก็คือ การไล่เบี้ย “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ” ไล่สอบเรื่องอื้อฉาวต่างๆ อย่างถึงพริกถึงขิง มีการส่งเรื่องร้องเรียนต่างๆไปให้ “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ” (คตส.) ตรวจสอบจนนับไม่ถ้วน

แม้แต่กิจกรรมอันที่จำเป็นของสนามบินที่ต้องมีควบคู่ อย่างสัมปทานร้านปลอดภาษี “ดิวตี้ฟรี” ก็ยังถูกคนของรัฐบาลชุดดังกล่าว “ล้วงลูก” เข้ามาตรวจสอบถึงขั้นจะให้ฉีกสัญญาทิ้ง เพียงเพื่อหวัง “แบล็กเมล์” หรือหาทางเซ้งลี้กิจการไปให้แก่พรรคพวก

แม้รัฐบาลชุดดังกล่าวจะเห็นเค้าลางสัญญาณความแออัดของสนามบินแห่งนี้ ภายหลังเปิดให้บริการมาได้เพียง 6 เดือน แต่สิ่งที่รัฐบาลชุดดังกล่าวดำเนินการก็คือ การ “ปัดฝุ่น” สนามบินดอนเมืองกลับมาให้บริการแทนการก่อสร้างเฟส 2 โดยไม่ได้คิดอ่านมาตรการ หรือระบบขนส่งมวลชนเชื่อมโยงการเดินทางระหว่าง 2 สนามบินแม้แต่น้อย

ขณะที่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ขับเคลื่อนรัฐนาวาร่วม 3 ปี ก็มัวแต่ “เล่นเอาเถิด” กับนโยบาย “สนามบินคู่-สนามบินเดียว” โยนลูกกันไปมาระหว่างรัฐมนตรีต่างพรรค ด้วยเกรงว่าหากปล่อยให้เดินหน้าสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ก็กลัวพรรคร่วมรัฐบาลจะตกถังข้าวสาร

3 ปีของรัฐบาลชุดดังกล่าวจึงไม่มีการตัดสินใจในเชิงนโยบายใดๆ แม้แต่น้อย! การลงทุนขยายสนามบินเฟส 2 ฝั่งทิศใต้ เพื่อให้รองรับผู้โดยสารให้ได้ถึง 90-120 ล้านคนตามแผนเดิม การก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าเชื่อมโยงระหว่างอาคารผู้โดยสารฝั่งเหนือ-ใต้ หรือแม้แต่ระบบ Mass Transit อย่างรถไฟ “แอร์พอร์ตลิงค์” ที่ควรจะเชื่อมโยงไปถึงสนามบินดอนเมืองเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ก็กลับไม่มีรัฐบาลชุดใดกล้าตัดสินใจ


เมื่อไม่มีการสร้างใหม่ เมื่อไม่มีการเตรียมแผนรองรับวิกฤติใดๆ ทุกอย่างมันจึง “แตกโพละ” ประจานความไม่เอาถ่านของผู้เกี่ยวข้องให้อับอายอย่างที่เห็นวันนี้

ทอท. ...กับจุดยืน “ลู่ตามลมการเมือง”

ในฟากผู้บริหาร ทสภ. และบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ยิ่งไปกันใหญ่ ไม่เพียงแต่จะ “เออออห่อหมก” เห็นดีเห็นงามไปกับนโยบาย “ไม้หลักปักเลน” ของรัฐบาลชุดต่างๆ

เรายังได้เห็นความ “ไม่เอาถ่าน” ของฝ่ายบริหาร ทสภ. และ ทอท.ที่เอาแต่ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” จ้องแต่จะหาเศษหาเลยกับการ “เซ็งลี้” กิจกรรมต่างๆ ในสนามบินออกไปให้กลุ่มก้อนผลประโยชน์ทั้งหลาย ไล่ดะมาตั้งแต่รถเข็นสัมภาระที่ไปลากเอารถเข็นศูนย์การค้า รถเข็นจากเมืองจีนเข้ามาให้บริการ
ทำเอาผู้โดยสาร “หัวร้างข้างแตก” กันมาแล้ว


บริการยกขนกระเป๋าสัมภาระที่ปล่อยให้ฝูงเหลือบแฝงเข้ามาหากิน กรีดกระเป๋าผู้โดยสาร ทำภาพพจน์ของสนามบินย่อยยับ ไหนจะเรื่องศูนย์ขนส่งรถโดยสารสาธารณะที่ “เซ็งลี้” พื้นที่เอาไปทำเป็นตลาดนัด อาคารที่จอดรถ “พาร์กกิ้ง” ที่ดอดให้สัมปทานนายหน้าที่เที่ยวเอาไปเร่ขาย สุดท้ายก็มาเปิดศึกฟ้องร้องผู้บริหาร ทอท.กันนัวเนีย

วันดีคืนดีก็มีมาเฟียขน “ชายฉกรรจ์” ชุดดำบุกเข้ามายึดสนามบินห้ามรถยนต์เข้า-ออก!

และถึงขั้นที่คิดจะ “เซ็งลี้” ลานจอดรถใหญ่ข้างรันเวย์เพื่อผุด “ช็อปปิ้งมอลล์” ให้กระหึ่มก็เคยทำมาแล้ว ยังดีที่ “นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต” อดีตประธานบอร์ด ทอท. ตรวจสอบพบเสียก่อนจึงสั่งเบรกไว้ได้ทัน แต่กระนั้นก็ยังมีอีกหลายกิจกรรมที่ผู้บริหาร ทอท.สุมหัวพากัน “เซ็งลี้” ออกไป

แม้กระทั่งระบบรักษาความปลอดภัยสนามบิน (Security) ที่ถือเป็นหัวใจหลักของสนามบินก็ยังเซ็งลี้ให้ขาใหญ่ที่ไหนก็ไม่รู้เข้ารับสัมปทานทั้งที่เป็นหัวใจหลักของระบบรักษาความปลอดภัยของสนามบิน!!!

มาถึงบทที่รัฐบาลสั่งให้ “ปัดฝุ่น” สนามบินดอนเมืองกลับมาให้บริการ เพื่อรองรับสายการบินต้นทุนต่ำ “โลว์คอสต์ แอร์ไลน์” ฝ่ายบริหาร ทอท. ก็หาได้คิดอ่านหนทางในอันที่จะเชื่อมโยงการเดินทางเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารต่อเครื่องทั้งหลาย

นอกจากนั่งวางแผนเซ็งลี้กิจกรรมต่างๆ ที่จะหาเศษหาเลยเข้าพกเข้าห่อ!

บรรดาเรื่องหมักหมมที่ล้วนแต่มีส่วนทำให้ภาพพจน์ของสนามบินแห่งนี้ตกต่ำ ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขเหล่านี้ “ทีมเศรษฐกิจ” จึงไม่แปลกใจเลย ที่แม้ว่าเราจะเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้มาจะร่วม 6 ปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

แต่...จนป่านนี้ สนามบินสุวรรณภูมิที่ ทอท.โอ่นักโอ่หนาว่า เป็นสนามบินที่ได้มาตรฐาน และความปลอดภัย เป็นท่าอากาศยานแห่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ วันๆ เพ้อพกจะยกระดับติด “ท็อป 5 ท็อป 10” อยู่นั้น ยังไม่ได้รับ “ใบรับรองมาตรฐานสนามบิน” ที่เรียกว่า Aerodrome Certificate ตามมาตรฐานความปลอดภัยที่สมาพันธ์การบินแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ FAA กำหนด

การที่สนามบินนานาชาติระดับนี้ยังไม่ได้ใบรับรองมาตรฐานสนามบินที่ว่า มันมีความหมายอย่างไร? รัฐบาลหรือผู้คนทั่วไปอาจไม่รู้ แต่สำหรับผู้บริหารสนามบินอย่าง ทสภ.และ ทอท. ตลอดจนสายการบินและผู้ที่อยู่ในแวดวงการบินทั่วโลกนั้น “เขารู้ความหมายกันดี”

ถึงเวลาที่รัฐต้อง “ล้างไพ่”


อย่างที่ “ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร” ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และฟื้นฟูอนาคตประเทศ (กยอ.) กล่าวไว้ว่า ประเทศไทยวันนี้มีสภาพคล่องท่วมท้นกว่า 2.9 ล้านล้านบาท ที่สามารถระดมทุนมาดำเนินโครงการต่างๆ ของรัฐได้

แต่ตลอดระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีการลงทุนในโครงการใหญ่ๆ ของประเทศแม้แต่น้อย ทุกรัฐบาลที่เข้ามาต่างก็อาศัย “กินบุญเก่า” แสวงหาประโยชน์เฉพาะหน้ากันไปวันๆ เท่านั้น

“ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” นี้ก็เช่นกัน ทั้งที่รัฐบาลชุดแล้วชุดเล่าต่างก็เห็นสัญญาณแห่งความแออัดที่เกิดขึ้น แต่กลับไม่มีรัฐบาลชุดใดลงไปให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาอย่างเป็น “รูปธรรม”

แม้นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะลงมาไล่เบี้ยเรื่องนี้ โดยตั้งคณะกรรมการเร่งรัดแก้ไขปัญหาสุวรรณภูมิ สั่งให้กระทรวงคมนาคมเดินเครื่องโครงการขยายศักยภาพของสนามบินแห่งนี้ในเฟส 2 เต็มพิกัด รวมทั้งก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 ที่ต้องลงทุนอีกกว่า 13,000 ล้านบาท เพื่อให้แล้วเสร็จภายในปี 2561

และแม้วันนี้ ฝ่ายบริหาร ทอท.จะยืนยันว่า หลังซ่อมรันเวย์ฝั่งตะวันออกเสร็จสิ้น และเปิดให้บริการไปแล้วเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งโยกสายการบินต้นทุนต่ำ “ไทยแอร์เอเชีย” ไปที่สนามบินดอนเมืองแล้ว จะทำให้เที่ยวบินขึ้น-ลงคลี่คลายลงไปโดยอัตโนมัติ

แต่จะมีใคร “การันตี” ได้ว่าจะไม่เกิดวิกฤติเช่นนี้อีก คนที่เป็น “เจ้าภาพ” หลักในการแก้ไขปัญหาจะมีขีดความสามารถในการผลักดันให้บอร์ดหรือฝ่ายบริหาร ทสภ.-ทอท. ดำเนินการขยับขยายศักยภาพของสนามบินได้ตามแผนงานได้สักแค่ไหน ในเมื่อขวบปีที่ผ่านมานั้นยังไม่มีอะไรขยับเขยื้อนอย่างเป็น “รูปธรรม”

ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะสร้างรันเวย์ที่ 3 ที่ต้องลงทุนกว่า 13,000 ล้านขึ้นมา แต่ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดีว่า การสร้างรันเวย์ที่ 3 ที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง 2 รันเวย์เดิมนั้น ไม่ได้ช่วยเพิ่มศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิขึ้นมาแม้แต่น้อย และทั้ง “ทสภ.-ทอท.” เองก็ยอมรับอย่างหน้าชื่นว่า แม้จะมีรันเวย์ที่ 3 แต่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการรองรับเที่ยวบินเพิ่มขึ้นจาก 76 เที่ยวบิน/ชั่วโมง เป็น 88 เที่ยวบิน/ ชั่วโมง หรือเพิ่มขึ้นอีก 12 เที่ยวบินเท่านั้น

เป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้รันเวย์ที่ 3 หรือเป็นเพียงการจัด Slot เที่ยวบินขึ้น-ลงเท่านั้น ยังไม่มีใครยืนยัน แต่เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า “รันเวย์ที่ 3” ดังกล่าวเป็นเพียงแค่ “รันเวย์สำรอง” เท่านั้น!!!

สิ่งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกให้เห็นว่า การปิดซ่อมรันเวย์เช่นนี้จะยังคง “หลอกหลอน” ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการสนามบินแห่งนี้ไปตลอดศก ซึ่งนั่นหมายความว่า ทอท.และรัฐบาลจำเป็นต้องหวนกลับมาพิจารณาแนวทางที่จะอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อและเชื่อมโยงผู้โดยสารระหว่าง 2 สนามบินคือ “ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ” ควบคู่ไปด้วย

ทั้งหมดคือการบ้านข้อใหญ่ที่รัฐบาลชุดนี้ต้อง “ตีโจทย์ให้แตก” และต้องลงไปดูปัญหานี้อย่างเข้าถึง โดยไม่อาจพึ่งพาข้อมูล “เพ้อเจ้อ” จาก ทสภ.หรือ ทอท.ได้เลย เพราะด้วยกลไกขับเคลื่อนของหน่วยงานผู้รับผิดชอบ อย่าง ทสภ.และ ทอท.ที่รู้จักแต่ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” เช่นนี้ เราจะฝากความหวังไว้กับหน่วยงานเยี่ยงนี้ได้เพียงใด!

ขณะที่ “เจ้าภาพ” ในระดับกระทรวงนั้น หากตัวรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลนโยบายยังคงเป็นประเภท เรื่อยๆมาเรียงๆ ได้แต่ “นั่งหายใจรวยริน” ไปวันๆ เราจะฝากความหวังไว้ได้สักแค่ไหน

หากจะต้องตัดสินใจเพื่ออนาคตก็จำเป็นต้อง “ล้างไพ่ใหม่” รื้อใหญ่องค์กรทอท.และสุวรรณภูมิ!!

ทีมเศรษฐกิจ

ไทยรัฐออนไลน์

6 สิงหาคม 2555, 05:00 น.

________________________________________________________________


ทีมเศรษฐกิจไทยรัฐ สรุปว่าที่สนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้รับการพัฒนามากว่า 6 ปี เพราะเหตุรัฐประหาร 19 ก.ย. 49

และรัฐบาลขิงแก่ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องสนามบินสุวรรณภูมินี้เลย

ถ้ารัฐบาลทักษิณยังอยู่ คนไทยคงได้ภาคภูิิิมิใจกับสนามบินแห่งนี้แบบเชิดหน้าชูตาเต็มที่  เสียดายจริงๆ ประเทศไทย

เวลานี้ ต้องฝากความหวังไว้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้ช่วยดำเนินการต่อขจัดปัญหาที่หมักหมมมาช้านาน  "ล้างไพ่"


จากคุณ : น้ำมิตร
เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 21:30:55 A:58.8.161.250 X:




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com