ผ่า1ปี “ยิ่งลักษณ์” บนเก้าอี้นายกฯหญิงคนแรก

วันที่ 8 สิงหาคม 2555 ถือเป็นวันครบรอบ 1 ขวบปี ที่
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี
หญิงคนแรกของประเทศไทย

จากสาวนักธุรกิจ ไม่ได้ประสีประสาการเมือง โดดเข้าวงการเมือง
ครั้งแรกในชีวิต ด้วยฐานะน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกฯ นายใหญ่ของพรรค เพื่อไทย

แม้ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค แต่ก็ได้
เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1ของพรรคเพื่อไทย

ฝ่าด่านข้ามหัวนักการเมืองอาวุโสภายในพรรค มาเป็นปาร์ตี้ลิสต์
อันดับ 1 ได้ ก็เพราะความเป็นน้องสาวของ “ทักษิณ”

ที่สำคัญ “ยิ่งลักษณ์” แค่ชูนิ้วเดียว แสดงสัญลักษณ์
หมายเลข 1 ของพรรคเพื่อไทย บนเวทีปราศรัยช่วง 49 วัน
ของการหาเสียง

สุดท้าย ผลออกมาได้รับชัยชนะถล่มทลาย พรรคเพื่อไทย
พรรคเดียวได้ ส.ส.เกินครึ่งสภา

ส่งให้ “ยิ่งลักษณ์” ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีหญิง คนแรก
ได้สำเร็จ บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย

และมาถึงวันนี้ เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ามาเป็นนายก- รัฐมนตรี
เป็นผู้นำรัฐบาลบริหารประเทศ ครบรอบ 1 ขวบ ปีแล้ว

“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” จึงใช้โอกาสนี้ สำรวจการทำหน้าที่
ของนายกฯยิ่งลักษณ์ในด้านต่างๆในห้วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา

เริ่มจากภาวะความเป็นผู้นำ

แน่นอน ในห้วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีสถานะเป็นผู้สมัคร
ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ณ เวลานั้น
ต้องยอมรับว่า

ทุกอย่าง “พี่ชาย” จัดให้ วางแผน กรุยทาง เพื่อให้เข้ามาเป็น
นายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ
แทนตัวเองเป็นการเฉพาะ

ถึงขั้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศชัดว่า “ยิ่งลักษณ์”
คือโคลนนิ่งของเขา

ด้วยเหตุนี้ ในช่วงแรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ามาเป็นนายกฯ
จึงไม่ได้รับการขานรับในเรื่องภาวะผู้นำ

ขณะเดียว กันการแสดงบทบาทผู้นำของนายกฯยิ่งลักษณ์ก็ยังมี
ปัญหาในเรื่องการพูด ที่มักพูดผิดๆถูกๆหลายครั้งหลายหน อย่าง
“หญ้าแฝก” ก็พูดว่าเป็น “หญ้าแพรก” หรือ “เขื่อนคอนกรีต” ก็
อ่านออกเสียงเป็น“เขื่อนคอ-นก-รีด” “อำเภอหาดใหญ่” ก็พูดเป็น
“จังหวัดหาดใหญ่” หรือ “เมืองซิดนีย์” ก็พูดว่าเป็น “ประเทศซิดนีย์”

ทำให้ความน่าเชื่อถือของคำพูด ในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาล
ผู้นำประเทศ ถูกมองในเชิงลบ

แต่อย่างไรก็ตาม สังคมก็ไม่ได้ซีเรียส หรือถือสาอะไรมากมายนัก
เพราะมองว่ายังใหม่ อาจเกิดความประหม่า

ซึ่ง “ยิ่งลักษณ์” ก็คงรู้ตัวเองถึงความผิดพลาดตรงนี้ ระยะหลังจึง
พยายามปรับปรุงเรื่องการพูดจาให้ถูกต้องมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ในช่วงที่เข้ามาเป็นนายกฯ ส.ส.ทั้งในพรรค
เพื่อไทย และนอกพรรค รวมทั้งบิ๊กๆข้าราชการ ยังไม่ค่อย
เชื่อมั่นในภาวะการนำของ “ยิ่งลักษณ์”

โดยจะรอฟังสัญญาณจาก “พี่ชายนายกฯ” มากกว่า  เมื่อเกิด
ปัญหาทั้งในพรรคและในรัฐบาลต่างก็มุ่งไปหา “อำนาจพเนจร”
มากกว่าจะวิ่งเข้าหานายกฯ

เพราะรู้ดีว่า “ทักษิณ” เป็นผู้จัดการทุกอย่าง

ในช่วงแรก นายกฯยิ่งลักษณ์จึงต้องปล่อยไปตามเกม เพราะยัง
ใหม่กับการเมือง

แต่หลังจากน้ำท่วมใหญ่ มีการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 ผ่านไป
ซึ่งเป็นไปตามโผจากต่างแดน ล่วงเลยมาจนถึงช่วงที่
นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษเว้นวรรคการเมือง 5 ปี
เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ก็เริ่มมีสัญญาณว่า “นายใหญ่” วางโปรแกรมปรับ ครม. “ยิ่งลักษณ์ 3”

เพื่อให้แกนนำบ้านเลขที่ 111 และแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ที่เคยตก
ปากรับคำกันไว้ เข้ามารับรางวัลเป็นรัฐมนตรีก่อนเปิดสมัยประชุม
รัฐสภาต้นเดือนสิงหาคม แต่จนแล้วจนรอดการปรับ ครม.ก็ยังไม่เกิดขึ้น

สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะว่า เกิดเหตุพลิกผันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
มาตรา 291 และการเดินหน้าร่าง พ.ร.บ. ปรองดองฯ มีปัญหาต้องสะดุด

อีกสาเหตุหนึ่ง ก็เพราะการจัดวางตัวบุคคลที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี
ภายในพรรคเพื่อไทย ยังไม่ลงตัว เพราะกลุ่มที่มีอิทธิพลในพรรค
ทั้งกลุ่มสายตรง “ทักษิณ” กลุ่มบ้านจันทร์ส่องหล้า กลุ่มภาคเหนือ
รวมทั้ง “กลุ่มไทยคู่ฟ้า” ที่เป็นกลุ่มใหม่สายตรงนายกฯ ยังกั๊ก
โควตากันอยู่

ที่สำคัญ สถานการณ์มาถึงวันนี้ นายกฯยิ่งลักษณ์พยายามแสดง
ภาวะผู้นำ กระชับอำนาจในการคุมเกมปรับ ครม.เอง พยายาม
กระชับอำนาจสั่งการในฐานะผู้นำรัฐบาลมาไว้ที่ตัวเองให้มากที่สุด

กล้างัดง้างกับ “อำนาจพเนจร” ของพี่ชายมากขึ้น

เหนืออื่นใด ต้องยอมรับว่า ห้วง 1 ปีที่ผ่านมา นายกฯยิ่งลักษณ์
ยังได้แสดงให้เห็นถึงการใช้ความเป็นผู้นำหญิง ประสานกับฝ่าย
ที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยและพี่ชายของตัวเอง ทั้งฝ่าย
กองทัพและอำมาตย์ ได้เป็นอย่างดี

แม้จะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของแกนนำและมวลชนเสื้อแดง
บางกลุ่มก็ตามที

โดยภาพรวมแล้วจึงถือได้ว่านายกฯยิ่งลักษณ์มีพัฒนาการ
ด้านภาวะความเป็นผู้นำกระเตื้องขึ้น

หันมาดูเรื่องการทำงาน

เมื่อเริ่มเข้ามานั่งเก้าอี้นายกฯ “ยิ่งลักษณ์” ก็โดนรับน้องอย่าง
สาหัส จากวิกฤติมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศไทย

น้ำท่วมทะลักท่วมจากภาคเหนือ ภาคกลาง ยันพื้นที่กรุงเทพฯ
คำพูดที่ว่า “เอาอยู่” ยังกลายเป็นคำฮิต ในเชิงกระแนะกระแหน
มาจนถึงวันนี้

รวมทั้งยังเจอกับปัญหาปากท้องของประชาชน ปัญหาสินค้า
ราคาแพง ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด

นายกฯยิ่งลักษณ์ใช้แนวทางการตลาด ใช้ลูกขยันในการลงพื้นที่
แสดงให้สังคมเห็นว่ามีความตั้งใจในการทำงานแก้ปัญหา สร้าง
กระแสเอาตัวรอดไปได้

เพราะได้คะแนนสงสาร ได้คะแนนความเอ็นดูไปแล้ว

แต่จะช่วยปลดทุกข์ให้ชาวบ้านได้แค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ส่วนการทำงานการเมืองในสภา ก็อย่างที่เห็นๆ นายกฯยิ่งลักษณ์
ไม่ค่อยมาตอบกระทู้และญัตติของฝ่ายค้านในสภา ส่วนมากจะให้
คนอื่นตอบแทน

พยายามใช้ลีลาสงบปากสงบคำ ซึ่งความจริงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
เพราะในฐานะผู้นำรัฐบาล ผู้นำประเทศ ควรจะต้องตอบคำถาม
และทำความเข้าใจต่อตัวแทนปวงชนในสภาฯ

แต่บังเอิญที่สภาผู้แทนราษฎรในยุคนี้ มีพฤติกรรมสะสม
เรื่องการแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายทะเลาะเบาะแว้ง ใช้สภาฯเป็นเวที
เล่นเกมการเมือง เพื่อเอาชนะคะคานกัน มากกว่าจะร่วมมือ
กันทำหน้าที่แก้ปัญหาของประเทศ สร้างความเบื่อหน่ายให้
กับประชาชน

เมื่อนายกฯยิ่งลักษณ์วางตัวแบบไม่ยอมพูด ไม่ยอมชี้แจง
เสมือนว่าไม่ต้องการต่อปากต่อคำในสภาฯ ก็เลยถูกตำหนิ
จากสังคมน้อย

ส่วนการเมืองนอกสภา โดยเฉพาะมวลชนเสื้อแดง นายกฯยิ่งลักษณ์
ก็ไม่เข้ายุ่งเกี่ยว ขณะเดียวกันก็พยายามประสานฝ่ายความมั่นคง
และอำมาตย์ เพื่อให้การบริหารเดินไปได้ และให้รัฐบาลอยู่ได้ยาว

พยายามลดการเผชิญหน้า ลดความขัดแย้ง เห็นได้ชัดในกรณี
สั่งถอยการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 วาระ 3 และ
ชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ออกไป

หยุดความเสี่ยง หยุดฝันร้ายที่จะทำให้คนไทยฆ่ากัน

การทำงานด้านเศรษฐกิจ ต้องยอมรับว่านายกฯไม่ได้ทำอะไร
มาก เพียงช่วยแก้ปัญหาไม่ให้เกิดบรรยากาศซ้ำเติมเศรษฐกิจ
คอยประคองสถานการณ์ไม่ให้เสื้อเหลือง เสื้อแดงออกมาอาละวาด

ชะลอปัญหา ชะลอฝันร้ายออกไป

สำหรับการทำงานด้านสังคม นายกฯยิ่งลักษณ์นำรัฐบาลชุดนี้
โชว์ฟอร์มเรื่องปราบปรามยาเสพติด ชาวบ้าน ขานรับ แต่ยิ่ง
ปราบก็ยิ่งเยอะ จับได้เพิ่มด้านปริมาณ แต่ยังไม่สามารถจัดการ
ปัญหาได้อย่างเด็ดขาด

โดยเฉพาะเรื่องใบสั่งค้ายาเสพติดที่ออกมาจากเรือนจำต่างๆ
ทั้งที่เรือนจำเป็นสถานที่ปิด อยู่ในการดูแลของทางราชการ
แต่รัฐกลับแก้ปัญหาไม่ได้

ขณะเดียวกัน นายกฯหญิงก็ยังเดินหน้าโครงการประชานิยมอย่าง
เข้มข้น ทั้งโครงการบ้านหลังแรก รถคันแรก บัตรเครดิตชาวนา
บัตรเครดิตพลังงาน แม้หลายโครงการจะถูกใจชาวบ้าน

แต่ก็มีเสียงท้วงติงจากนักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ ว่าเป็นการ
ผลาญงบประมาณ เพื่อหวังผลทางการเมือง ระวังจะกลายเป็น
ภาระหนี้สาธารณะ เศรษฐกิจล่มสลาย เหมือนประเทศกรีซ และ
กลุ่มยุโรป ที่กำลังประสบวิกฤติเศรษฐกิจอยู่ในเวลานี้

เป็นเสียงเตือนที่ห่วงใยอนาคตของประเทศ แต่นายกฯก็ไม่ได้
สนใจสักเท่าไหร่

ส่วนเรื่องของธรรมาภิบาล และความโปร่งใสในการทำงาน

แน่นอน โดยส่วนตัวของนายกฯยิ่งลักษณ์เท่าที่ผ่านมายังได้รับ
การยอมรับในเรื่องความโปร่งใส แต่บรรดาคนรอบตัวยังมีปัญหา

และถึงแม้ “ยิ่งลักษณ์” ได้แสดงออกและให้ความสนใจในเรื่อง
การป้องกันการทุจริต ร่วมกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท.
เดินหน้ายุทธศาสตร์ป้องกันการทุจริตในภาครัฐ ให้แต่ละหน่วย
งานเสนอแผนในการแก้ปัญหาการทุจริตสร้างความโปร่งใส

แต่โครงการนี้ก็ไม่กระหึ่ม เพราะเน้นไปที่ข้าราชการเพียงอย่างเดียว

โดยไม่ได้ไปแตะต้องฝ่ายการเมือง ทั้งๆที่รู้ๆกันอยู่ว่า ต้นตอการ
ทุจริตคอรัปชันตัวพ่อของประเทศนี้ อยู่ที่นักการเมือง ที่เวียนว่าย
อยู่ในวงจรอุบาทว์ ซื้อสิทธิ ซื้อเสียง ถอนทุน

ส่วนงานด้านความมั่นคง ที่เป็นปัญหาเก่า แต่มีการปฏิบัติการที่
รุนแรงขึ้น ในเรื่องของความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ปรากฏว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ทำได้แค่ตั้งคณะกรรมการชุด
นั้นชุดนี้ขึ้นมาทับซ้อนกัน ถูกวิจารณ์โจมตีว่า ไม่ให้ ความ
สำคัญกับปัญหาภาคใต้เท่าที่ควร

สำหรับงานด้านต่างประเทศ ก็มีพี่ชายที่คอยนำร่อง
ขณะที่นายกฯยิ่งลักษณ์ก็คอยเดินสายในด้านพิธีการ
แต่ก็สร้างสีสันได้ทุกเวทีที่เดินทางไปเยือน

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมการทำงาน 1 ปีของ “ยิ่งลักษณ์”
บนเก้าอี้นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย ก็ต้องถือว่า
สอบผ่าน

เพราะความเป็นผู้หญิงของ “ยิ่งลักษณ์” สามารถช่วยลด
บรรยากาศรุนแรงในบ้านเมืองลงไปได้

ไม่เกิดเหตุวิกฤติรุนแรง ไล่ฆ่ากันกลางเมือง
เหมือนในสมัยที่มีผู้ชายเป็นนายกฯ

แม้ผลงาน “ยิ่งลักษณ์” จะแค่คาบเส้น ไม่โดดเด่น
แต่ก็ได้คะแนนเอาใจช่วยจากสังคมเพียบ

เพราะคนส่วนใหญ่อยากเห็นความสงบเกิดขึ้นในประเทศ

เข็ดกับความรุนแรงเผาบ้านเผาเมืองกันแล้ว.

“ทีมการเมือง”

http://www.thairath.co.th/column/pol/wikroh/282833

...หึ หึ...ชอบมากตรงนี้ค่ะ ...

สำหรับการทำงานด้านสังคม นายกฯยิ่งลักษณ์นำรัฐบาลชุดนี้
โชว์ฟอร์มเรื่องปราบปรามยาเสพติด ชาวบ้าน ขานรับ แต่ยิ่ง
ปราบก็ยิ่งเยอะ จับได้เพิ่มด้านปริมาณ แต่ยังไม่สามารถจัดการ
ปัญหาได้อย่างเด็ดขาด
ยิ่งปราบยิ่งเยอะ ....  ไม่เป็นข่าว  ก็แปลว่า  ยาเสพติดมีน้อย
เลยไม่ต้องปราบกัน....

โดยเฉพาะเรื่องใบสั่งค้ายาเสพติดที่ออกมาจากเรือนจำต่างๆ
ทั้งที่เรือนจำเป็นสถานที่ปิด อยู่ในการดูแลของทางราชการ
แต่รัฐกลับแก้ปัญหาไม่ได้ ......

ใบสั่งจากเรือนจำ ...จับได้ในรัฐบาลนี้...มีมานานเท่าไหร่แล้ว
เหมือนรัฐบาล(นี้)แก้ปัญหาไม่ได้

อยากจะชม....เพราะโพลก็ออกมาดี ...แต่ขอกั๊ก...ด่าด้วย