Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตอบทุกประโยคของนายศิริโชค โสภา กรณีคำแก้ต่างของคุณว่าด้วยเรื่อง ศาลพิพากษาว่ามารดาคุณ นางเสาวรส ผิดจริง และ ไม่รอลงอาญา ติดต่อทีมงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.03 น.  นายศิริโชค  ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ส่วนตัว Sirichok Sopha  ผ่านบันทึก ระบุถึงกรณีดังกล่าว ดังนี้

"เมื่อเช้าผมได้ไปฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น กรณีที่แม่ผมถูกฟ้องข้อหาฉ้อโกงเงิน 15 ล้านบาท จริงๆจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่เห็นบรรดาสาวกคนเสื้อแดงพยายามหยิบยกให้เป็นประเด็นทางการเมือง  โดบพยายามใช้แม่ผม ซึ่งเป็นคนแก่อายุ 74 ปี มาเป็นเครื่องมือในการดิสเครดิตผมทางการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่สกปรกจริงๆ เพราะกรณีนี้เป็นปัญหาระหว่างบุคคล ไม่ได้เป็นการทุจริต หรือเป็นผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐ ดังนั้นผมจึงมีความจำเป็นที่ต้องอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องนี้ เพื่อข้อมูลจะได้ถูกต้อง และเป็นอุทาหรณ์ให้อีกหลายๆครอบครัว ที่อาจโดนแบบแม่ผมได้ จากการกู้เงินนอกระบบ

ประเด็นที่เสื้อแดงคิด และ เข้าใจนั้น ไม่ใช่ประเด็นเรื่อง ดิสเครดิตทางการเมืองครับ เพราะ คุณศิริโชค ไม่มีเครดิตกับเสื้อแดงแม้แต่นิดเดียว การกล่าวขานของเสื้อแดงเรื่องนางเสาวรส โสภา นั้นก็เพื่อจะบอกว่า  คุณคือผลของไม้ที่เกิดมาจากต้นไม้ที่ไม่ดีครับ ผลไม้ลูกนี้ เฝ้าพร่ำเพ้อเรื่องคนเลว รอบ ๆ ตัวเอง เพื่อจะให้คนทั่วไปมองผลไม้ลูกนี้ว่ามันช่างดีเลิศประเสริฐศรี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่ครับ ตัวต้นเป็นพิษ ลูกมันก็มีพิษครับ

แม่ผมได้กู้เงินจากคู่กรณีจริง โดยยอดสุดท้ายเป็นหนี้คงค้างอยู่ 8.9 ล้านบาท แต่ไม่ได้มีการทำสัญญาเงินกู้ตั้งแต่ต้น เนื่องจากเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยเป็นการกู้เงินระยะสั้น 1 - 2 อาทิตย์ก็คืน และทำอย่างนี้มาเป็นเวลากว่า 10ปี ยามที่ต้องการเงินหมุน โดยคู่กรณีคิดดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน (120%ต่อปี) ซึ่งเป็นการคิดดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด

แม่นักการเมืองอย่าง นางเสาวรส มีธุรกิจใหญ่โดรับดับ ร้อยล้าน มีความรู้มากมาย มีทนายเป็นที่ปรึกษา ทำไม ทำเหมือนกับ ตาสีตาสา ยายมียายมา ที่ไม่มีความรู้เรื่องสัญญาเงินกู้ การที่คุณศิริโชคได้บอกมานั้น มันไม่มีทางจะทำให้ศาลเชื่อได้ครับว่า ผู้กู้ กู้เงินน้อยกว่าที่ระบุในสัญญาเงินกู้

ต่อมาเมื่อธุรกิจของคุณแม่ประสบปัญหา และศาลได้มีการพิทักษ์ทรัพย์และสั่งให้แม่ผมกลายเป็นบุคคลล้มละลายตั้งแต่ปี 2554  ด้วยความที่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ก็พยายามไปเจรจากับคู่กรณี เพื่อผ่อนคืนเงินต้นที่ค้างอยู่ ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเพราะกลายเป็นบุคคลล้มละลายไปแล้ว เมื่อคู่กรณีทราบเรื่อง ก็ทำทีเป็นเห็นใจและขอให้แม่ผมเอาทรัพย์สินที่พอหยิบยืมได้ มาค้ำประกันเงินส่วนที่เหลือเนื่องจากเขาเสียเปรียบ เพราะไม่ได้ทำสัญญาเงินกู้กันตั้งแต่ต้น แม่ผมก็ไปยืมเพชรและมุกจากญาติและเพื่อนมาค้ำประกันให้ โดยคิดเป็นเงินประมาณ 7 ล้านบาท ทำให้เหลือหนี้ที่คงค้างจริงอยู่ประมาณ 1.9 ล้านบาท

มันไม่ใฃ่เรื่องการที่ มารดาคุณ ขอผัดผ่อนเงินกู้ครับ แต่มันเป็นเรื่องการที่มารดาคุณ ขอกู้เงินเพิ่มครับ การที่ศาลบอกว่าฉ้อโกงนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่ มารดคุณเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งไม่สามารถทำนิติกรรมทางการเงินใด ๆ ได้ แต่มารดาคุณกลับปิดบังซ่อนเร้น โดยไม่แจ้งให้ผู้ให้กู้ทราบ แต่กลับ ไปออกเช็คล่วงหน้า (ทั้งที่ไม่สามารถออกได้) เพื่อขอกู้เงินเพิ่มกับเขา ถ้าเจ้าหนี้ทราบว่า นางเสาวรส เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว เขากล้ารับเช็คชุดนั้นหรือ เพราะเช็คทั้งหมดที่ออกนั้น เป็น "โมฆะ" ทันที

 
ต่อมาคู่กรณีก็ออกอุบายว่า มีเพื่อนที่สามารถปล่อยเงินกู้ให้ได้ 15 ล้านบาท และคิดดอกเบี้ยเพียง 3% ต่อเดือน และหลอกให้แม่ผมมาทำสัญญาเงินกู้ โดยให้เซ็นชื่อเปล่าๆ แล้วคู่กรณีก็ไปกรอกเองทีหลัง โดยอ้างว่าใน 15 ล้านบาท จะหักเงินกู้คืนคู่กรณี 8.9 ล้านบาท ส่วนมุกกับเพชรนั้นจะคืนให้ และส่วนทีี่เหลืออีก 6.1 ล้านบาทนั้นก็ให้แม่ผมนำไปหมุนเงินทำธุรกิจต่อ

ประเด็นเดียวกันครับ คนมีความรู้ มีการศึกษา หรือ คนปกติทั่วไปที่ไม่ได้พิการทางสมอง เขากล้าออก "เช็คเปล่า" หรือ ลงนามใน "กระดาษเปล่า" หรือ คนเสียสติ หรือ ไร้การศึกษาเท่านั้นครับ ที่เขาจะทำกันแบบนี้

นางเสารส ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ ศาลเชื่อว่า เธอไม่มีวันที่จะทำเช่นนั้นเด็ดขาดครับ


แต่ทั้งหมดทำไปเพื่อหลอกให้แม่ผมทำสัญญาเงินกู้  เนื่องจากเดิมไม่เคยทำสัญญาเงินกู้ต่อกัน เมื่อแม่ผมล้มละลายไป เงินก็ย่อมสูญหายไปหมด คู่กรณีทราบอยู่แล้วว่าแม่ผมเป็นบุคคลล้มละลาย ไม่สามารถไปทำนิติกรรมใดๆ ได้ แต่ด้วยความที่แม่ผมเป็นคนเชื่อเพื่อน ก็เลยไปทำสัญญาเงินกู้ 15 ล้านบาทกับคู่กรณี โดยคิดว่าเพื่อนกัน ไม่มีอะไรหรอก  โดยที่สุดท้ายไม่ได้เงินสักบาท เพราะถูกหลอก แถมเอาสัญญากู้เงินที่ทำใหม่นี้ มาฟ้องแม่ผมข้อหาฉ้อโกง เนื่องจากเป็นบุคคลล้มละลาย แต่ไปทำสัญญาเงินกู้ซึ่งเป็นโมฆะ ทำให้คู่กรณีเสียหาย

ด้วยสามัญสำนึกของนักธุรกิจ บุคคลที่ล้มละลาย ไม่สามารถทำสัญญาเงินกู้ได้ และ ไม่สามารถทำนิติกรรมทางการเงินใด ๆ ได้ ผมว่า คุณโกหกได้ใจครับที่บอกว่า ผู้ให้กู้รู้แล้วว่า นางเสารส เป็นบุคคลล้มละลาย แต่ผู้ให้กู้กลับยอมเซ็นต์สัญญาเงินกู้กับเธอ..... ไม่มีใครทำหรอกครับ เอาเงินก้อนนี้ไปซื้อล๊อตเตอรรี่ ยังมีโอกาสได้เงินคืนมากกว่าให้บุคคลล้มละลายกู้ครับ

ซึ่งทนายฝ่ายแม่ผมก็สู้อย่างเต็มที่ โดยหาพยานมาหักล้างคู่กรณี อีกทั้งยังมีข้อพิรุธหลายๆอย่าง เช่นทำไมให้แม่ผมเป็นเงินสด ทำไมไม่โอนเงินเข้าบัญชี และเงิน 15 ล้านคนแก่อายุ 74 จะแบกคนเดียวได้หรือ เพราะหนักถึง 15 กก และทำไมถึงไม่มีเอกสารการเซ็นรับเงิน หรือแม้กระทั่งหลักฐานทางการเงินที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีคู่กรณีเพื่อจ่าย ดอกเบี้ยหลายๆครั้ง ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าได้เป็นหนี้กันมาก่อนที่แม่ผมจะล้มละลายในปี 2554

ตัวคุณพูดเองว่า การกู้เงินผ่านเจ้าหนี้คนนี้ มีการกู้ และ ชำระคืนไปมากัน ตั้งแต่ 10 ปีก่อน ตอนนั้น คุณแม่คุณก็ หกสิบกว่า ๆ เท่านั้น อีกอย่าง การกู้เงินไปมา ไม่ได้รับเงินครั้งละ 15 ล้าน อย่างที่คุณพยายามจะชี้นำแต่ประการใด

การกู้เงิน ไม่ต้องมีการลงนามรับเงิน เพราะ เมื่อลงนามในสัญญาเงินกู้ ถือว่า ผู้กู้ได้รับเงินต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กอปรกับ ถ้า นางเสาวรส ได้รับเงินกู้ไม่ตรงตามสัญญา ทำไม ไม่ทักท้วงหรือ ยกเลิกสัญญานั้นเสี ทำไมปล่อยให้เวลาผ่านมาเนิ่นนาน กระเด็นนี้ ไม่มีศาลใดเชื่อแน่นอนครับ

แต่ท้ายที่สุดศาลชั้นต้นเลือกที่จะเชื่อหลักฐานทาง เอกสารที่เป็นสัญญาเงินกู้มากกว่าพยานแวดล้อม แม้ว่าคู่กรณีจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า แม่ผมได้รับเงินไปจริง แต่ศาลชั้นต้นก็ยกประโยชน์ให้กับคู่กรณี ทั้งๆที่ในความเป็นจริง คดีอาญาลักษณะนี้ศาลต้องยกประโยชน์ให้กับจำเลย โดยอาศัยหลักต้องเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ เพราะโทษคือการจำคุก ไม่ไช่เป็นคดีแพ่ง ซึ่งโทษคือการชดใช้ค่าเสียหาย

ไม่เข้าใจประเด็นคุณ ศิริโชค ครับ ถ้าคุณไม่ให้ผู้พิพากษาเชื่อเอกสารหลักฐาน พยานหลักฐานที่นำสิบในชั้นพิจรณาคดี แล้วจะให้ศาลเชื่ออะไรครับ

จะให้ศาลเชื่อเรื่องที่คุณแถมาทั้งหมดนี่ใช่หรือไม่ครับ.... ศาลสถิตย์ยุติธรรมนะครับ ไม่รู้คุณเข้าใจว่าเป็นศาลอื่นหรือเปล่า อีกอย่างนะครับ การที่ศาลไม่ให้รอลงอาญา ทั้ง ๆ ที่ จำเลย ไม่เคยรับโทษลักษณะนี้มาก่อน มันแปลว่า คดีนี้ร้ายแรงกว่าคดีฉ้อโกงปกติครับ

 

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับศาล แต่ก็ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม โดยแม่ผมและทนายก็จะทำการยื่นอุทธรณ์ต่อไป แม้ว่าคดีนี้จะสามารถยอมความได้ แต่แม่ผมก็ยืนยันที่จะสู้จนถึงฏีกา เพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ผิดเนื่องจากถูกหลอกให้ไปทำสัญญากู้เงิน และไม่ได้รับเงินแต่อย่างใด และสุดท้ายแม่ผมก็ยืนยันหากศาลฎีกาชี้ว่าผิดจริง ก็ยินดีที่จะรับโทษ จะไม่หนีไปไหนเด็ดขาด"


อ้อ แล้วเรื่องจะฟ้องหมิ่นประมาทคู่กรณี (ผู้ให้กู้) ของนางเสาวรส มารดาคุณ ตกลง แค่พูดพร้อย ๆ ไปตอนที่โดนจับวันแรกที่สนามบินดอนเมืองใช่หรือไม่ เมื่อไหร่จะฟ้องเขาสักทีครับ เพราะผมอยากรู้ผลคดีเรื่องนี้

 
 

จากคุณ : โบกกรัก
เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 18:15:38 A:183.89.90.133 X:




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com