 |
ขอตอบแล้วกันครับตอนแรกกะจะหยุดสนทนาเรื่องนี้(ทันเยอะแล้วและมันได้ข้อสรุปตามประเด็นที่โต้แย้งกับคุณMiNiJung ไปแล้ว) และนี่ถือเป็นการเปิดประเด็นเพิ่ม มันเป็นสิทธิที่ผมจะสนทนาหรือไม่สนทนาด้วย แต่เมื่อบรรจงเต็มบรรทัดถามมา มันจะเสียมารยาท เกินไปถ้าไม่ตอบ
1.คุณใช้หลักการอะไรในการตีความข้อกฎหมาย?
ตอบ. ใช้ตัวบทฯ,ปัจจัย,ตัวแปร,และพยานหลักฐานแวดล้อมทางคดีครับ???
2.คุณมีวิธีการคิดในการตีความ และหาเจตนาของข้อกฎหมายอย่างไร?
ตอบ. ผมตอบในข้อหนึ่งไปแล้ว แต่ถ้าให้เพิ่มเติมไปตามตัวคำถามเรื่อง"เจตนาของข้อกฎหมาย" ผมพิจารณาจากตัวแปรแวดล้อม ของเนื้อหาตัวบทโยงอะไร เนื้อหากฎหมายนั้นยึดโยงอ้างอิงจนได้ที่มาของตัวบทมาตรานั้นๆ เช่นม.18ของอาญาฯการเมือง โยงม.184อาญาทั่วไป อย่างไร เพื่ออะไร? แล้วทำไม ไม่ละทิ้งม.18ไปเลยแล้วใช้แค่ม.20ก็พอ นั้นคือมันโยงที่มาในเจตนารมณ์หลักหรือปรัชญาหลักของวิธีพิจารณาคดีอาญา เพราะมันมีการบังคับใช้บังคับคดีรุนแรงมากกว่าทางแพ่งมาก จึงจะละทิ้งเจตนารมณ์หลักในปรัชญาหลักของตรงนี้ไปไม่ได้???
3.คุณเห็นด้วยกับเจตนาการตีความข้อกฎหมายมาตรา 100 ของผมหรือไม่?
ตอบ.เห็นด้วยในส่วนหนึ่ง แต่ในรายละเอียดแล้ว ม.100ผมได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมในลิงก์ที่ให้ในกระทู้ผมข้อความที่14และ15ผมอธิบายค่อนข้างชัดในนั้น ถ้าอยากรู้ความเห็นส่วนตัวผมเพิ่มเติมจากที่คุณตีความเจตนาของม.100
แล้วผมตอบเลยไปถึงกรณีคำถามของคุณวิดวะอีเลกฯถามคุณแล้วด้วย เพราะเงื่อนไขในความเห็น14และ15 มันจึงเกิดกรณีแบบคำถามของคุณวิดวะฯ ที่ไม่ใช่กรณีตัวอย่างที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เรื่องแบบที่ไม่น่าเป็นเรื่องอย่างนั้นเพราะเงื่อนไขการเขียนกฎหมายแบบ"เขียนเวทีให้คนตีกัน" ไปสร้างงเื่งื่อนไขอย่างนั้นแบบนั้นไว้
ที่จะเอามาประกอบเป็นอาวุธร้ายแรงได้ง่ายๆอย่างมาตรา112 คือมันมีลักษณะ การใช้กฎหมายเชิงเอ๊กซ์ทรีม(แต่ผมเรียกส่วนตัวว่าเอ๊กซ์ทีนหรือตีนขนาดพิเศษมาแบบมือที่มองไม่เห็นในการทำการนวดหน้าด้วยฝ่าเท้าให้คู้่กรณีทางการเมืองตน)
หรือภาษาที่เข้าใจสำหรับผมก็คือ เชิงแอ็คทีฟเซฟตี้(ป้องกันก่อนวัวหาย) ไม่ใช่แพสซีฟฯ(วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก) ที่มาในต้นน้ำคือเจตนาแบบ"ตุลาการภิวัติ" แต่พอใช้จริงมันกลายเป็น"ตุลาการอภิบาลนุมัติ"(ปฎิวัติโดยศาล) เนื่องจากมองเป้าหมาย มากกว่าวิธีการที่ถูกต้อง เช่นไม่ยึดหลักนิติธรรม ทั้งสากลและทั่วไป เช่นที่มาคตส. และศาลมาจากอำนาจทางนิติรัฐที่ไม่มีนิติธรรม นั้นคืออ้าง"รัฐาธิปัติ์"
ดังนั้นเนื้อหา จึงค่อนข้างมีปัญหามาก ทั้งผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์(เรื่องไม่ควรเป็นเรื่องมันก็เกิดให้เป็นเรื่องได้) เพราะชนวนเหตุคือการเขียนกฎหมายแบบนี้ทำนองนี้ไม่ชัดเจน แต่ให้อำนาจไว้มาก คล้ายเซ็นต์เชคเปล่าให้คนเอาไปใช้ในการตีความอย่างกว้างมาก แบบเหวี่ยงแห ออกไปปลาเล้กปลาสิวปลาสร้อยติดแหมาหมด เพียงเจตนาแค่ล่าปลาตัวใหญ่
หรือไล่ตีแมวตัวเดียวที่มันใส่ไม้โทมา แล้วสร้างภาพบนจินตนาการว่มมันคือเสือสมิง(แมวขนาดใหญ่มีอาคม) จึงใช้สาระพัดเครื่องมือ มาไล่ต้วนไล่ตีแบบนิทานสมภารไล่ตีแมวสงสัยมันกินปลาย่าง พอกะว่าเอาไม่อยู่จริงๆ จึงเิ่ริ่มใช้ไฟ(อำนาจร้อนแบบก้อนยาฝิ่น) ลามปามเป็นการติดกระดุมผิดปฎิวัติ(ทั้งโดยทหารและศาล)นั้นคือการยิ่งดันทุรัง เดินหน้าแบบผิดอย่างนั้น มันจึงรั้งแล้วก็รัดมากขึ้นๆๆๆเพราะใช้อำนารัฐที่ขาดหลักนิติธรรมมันจึงเดินกันมาเรื่อยๆๆๆแบบคนวิกลจริตเพราะมันเดินปกติไม่ได้
หลักอะไรไม่เป็นหลักแล้วมั่วหมดทำไปทำมามันก็จะเอาหัวมาเดินแทนขา เอาหน้ามาแถกับพื้นศาลสถิตย์ยุติธรรมก็กลายมาเป็นศาลสถิตยืมดง่ามมดตะนอยเพราะดันไปเอาศาลมาเอี่ยวได้เสียทุกสนามแบบนั้นจึงเกิดกรณีค่าขนมศาลเพราะมันไปได้เสียและล้วงลูกทุกสนามขาดหลักการอิสระ และดุลอำนาจหลักเสียไปเพราะโครงสร้างต่อเติมผิดแบบให้บ้านโย้มาหาศาลถาวรในร.50นั้นคือที่มาของกกหมายแบบนี้
ที่นี้ไม่ไม่ได้วอดแค่กุฏิ,ศาลวัด แต่มันวอดทั้งหมู่บ้าน ทั้งเมืองทั้งประเทสเลยข้ามไปสงออกควารุนแรงไปทั่วโลก(กษิตไล่ล่ายืนคำขาดให้ทั่วโลกเลือกเอาจะเอาประเฒสไทยหรือทักษิณกับการทูตฟันน้ำนมนั้น) นั้นล่ะผลมหาประลัยกันต์ ของมันจากจุดเริ่มต้นแบบเรื่องที่ไม่ควรเป้นเรื่องแบบนี้ มันยิ่งกว่านิทานน้ำผึ้งหยดเดียวเสียอีก???
จากคุณ |
:
อะตอม (ขอชื่ออะตอม)
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ส.ค. 55 08:26:21
A:180.183.102.210 X:
|
|
|
|
 |