ไม่อยากเรียกพวกเธอว่า สลิ่ม
|
 |
ตั่งแต่เข้ามาเขียนกระทู้ ผมยังไม่เคยคิดจะเรียกคนกลุ่มหนึ่งว่า “สลิ่ม” แม้สังคมทั่วไปจะให้การยอมรับกับคำๆนี้ก็ตาม ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากสร้างความบาดหมางให้กินลึกไปมากกว่านี้หรอกครับ เพราะผมรู้ดีว่าสังคมมันยากเกินเยียวยาแล้วต่างหากครับ
แต่ที่ผมไม่พยายามเรียกกลุ่มคนเหล่านั้นว่า “สลิ่ม” เป็นเพราะผมรู้ดีว่า เป็นเพียงกลุ่มคนที่ไม่สามารถใส่เสื้อเหลืองในการสร้างความแตกแยกได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงแปลงร่างเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ครั้นจะหาเสื้อสีอื่นมาสร้างมูลค่าให้กับตัวเองนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
ดังนั้นจึงโมเมใช้คำว่า “เสื้อหลากสี” เพื่อต้องการรวมเอาประชาชนทุกหมู่เหล่ามาเป็นพวก “เสื้อหลากสี”จึงได้กำเนิดขึ้น แต่เนื้อแท้แล้ว กลุ่มคนกลุ่มนี้ก็ยังอิงแอบอยู่ทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อฟ้า มีอุดมการณ์เดียวกันคือ การต่อต้านระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนั่นคือ การต่อต้านความต้องการของคนส่วนใหญ่นั่นเอง
ข้อสำคัญ ผมยังหลงเข้าใจผิดมาตลอดว่า “สลิ่ม”ในที่นี้ หมายถึง ความหลากสีของขนมไทยชนิดหนึ่งที่ทั้งหอมหวานและอร่อย แต่จนบัดนี้ผมจึงรู้ดีว่า ผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยครับ ที่แท้คำว่า “สลิ่ม”นั้น ไม่ได้หมายถึงสีสันที่หลากหลาย แต่มันหมายถึงจุดยืนที่โลเลต่างหากเล่า
เป็นจุดยืนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลาตามความเชื่อ เป็นจุดยืนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลาตามค่านิยม เป็นจุดยืนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลาตามกระแส
โดยไม่สนใจกับเหตุผลตามวิทยาศาสตร์ โดยไม่สนใจกับตรรกะที่ขัดกันเอง โดยไม่สนใจระหว่างความจริงกับความเท็จ
เพียงเพราะหลงตัวเองว่า เป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่มีสติปัญญาเหนือคนอื่น เพียงเพราะหลงตัวเองว่า เป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่มีจริยธรรมเหนือคนอื่น เพียงเพราะหลงตัวเองว่า เป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่รักชาติมากกว่าคนอื่น
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มคนเหล่านี้ มักจะถูกคนที่ฉลาดกว่าหลอกได้เสมอ เพียงแค่เขียนอักษรไม่กี่ประโยค หรือใช้คำพูดไม่กี่คำ ก็สามารถที่จะทำให้เชื่อได้อย่างหัวปักหัวปำ
โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล โดยไม่จำเป็นคำนึงถึงความเป็นจริง และโดยไม่ต้องใช้สติไตร่ตรอง
เราจึงได้เห็นการแชร์ผ่านข้อมูลอย่างรวดเร็วในสังคมออนไลน์ โดยไม่สนใจว่าเป็นข่าวที่เชื่อได้หรือไม่ เราจึงได้เห็นการด่าทอบุคคลในที่ในสาธารณะ โดยไม่รู้ว่าถูกตัวหรือไม่ เราจึงได้เห็นการเที่ยวชี้นิ้วด่าคนเลี่ยงภาษี ทั้งที่ตัวเองก็กำลังกระทำสิ่งนั้นอยู่ เราจึงได้เห็นการตำหนิคนอื่นที่ชุมนุมก่อความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทั้งที่ตัวเองก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เราจึงได้เห็นการทนไม่ได้กับการฆ่าตัดตอน แต่กลับเห็นด้วยกับการสังหารหมู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เราจึงได้เห็นการทนไม่ได้กับการทุจริตของนักการเมือง ทั้งๆที่รู้การทุจริตไม่ใช่มีแค่นักการเมืองเท่านั้น เราจึงได้เห็นอาการทุรนทุรายกับคำ “ได้ดีเพราะพี่” ทั้งๆที่รู้ดีว่า ระบบราชการก็เต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์ เราจึงได้เห็นอาการวินแตกเรื่องถ่ายรูปกับนักโทษการเมือง มากกว่าการสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้กับวงการตำรวจ เราจึงได้เห็นจะเป็นจะตายกับการโกหกสีขาว แต่กลับทนได้กลับการโกหกซึ่งๆหน้าของฝ่ายตน เราจึงได้เห็นการรับไม่ได้กับ แก้วไม่ได้รับความยุติธรรม แต่กลับเห็นด้วยกับความอยุติธรรมที่เกิดกับอดีตนายกฯ เราจึงได้เห็นครั้งหนึ่งเรียกร้องให้นายกฯมาจากการเลือกตั้ง แต่ตอนนี้กลับอยากได้นายกฯจากการปฏิวัติ เราจึงได้เห็นการดูถูกนายกฯที่พูดผิดพูดถูก แล้วไปเชิดชูนายกฯที่พูดแต่เรื่องไม่จริง เราจึงได้เห็นการเหยียดหยามนายกฯที่มุ่งทำงาน แล้วไปยกย่องนายกฯที่เอาแต่พูด เราจึงได้เห็นความกลัวรัฐบาลทดลองปล่อยน้ำเข้ากรุงเทพ เพราะกลัวน้ำท่วม แล้วเราก็มาได้ยินว่า การปล่อยน้ำแค่เล็กน้อย ไม่สามารถจะพิสูจน์อะไรได้หรอก
นี่เป็นภาวะของจิตใจที่สับสนอย่างแท้จริง จนยากจะแยกแยะความผิดถูกชั่วดี จนยากจะแยกแยะระหว่างความจริงความเท็จ และยังแยกแยะไม่ออกระหว่างความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับอุดมคติที่จินตนาการกันเอง เพราะอยู่กับความเชื่อมาตลอด ดังนั้นมาถึงวันนี้ ผมคงต้องเรียกพวกเธอแล้วล่ะครับว่า “สลิ่ม”ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจอีกแล้วครับ
จากคุณ |
:
ทวดเอง
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ก.ย. 55 10:34:57
A:61.90.72.109 X:
|
|
|
|