1
คำว่า ทักษิโณมิกส์ ถูกเรียกว่าเป็น ระบอบทักษิณ
เป็นวาทกรรมที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยพรรคการเมืองหนึ่ง เพื่อใช้ในการโจมตีสร้างความเกลียดชัง
และบิดเบือนคุณค่าของความหมายของคำว่า ทักษิโณมิกส์ (Thaksinomics)
ซึ่งในงานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเซีย-แปซิฟิก ปี 2546
ประธานาธิบดีประเทศฟิลิปปินส์ ใช้เป็นคำกล่าวยกย่องในความสำเร็จของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย
ที่พลิกฟื้นขึ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540
2
จากนโยบายเสรีทางการเงินของรัฐบาลพรรคการเมืองหนึ่ง
ทำให้เกิดการกู้เงินจากต่างประเทศมาใช้จ่ายอย่างมือเติบ
แต่เศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะส่วนฐาน
อ่อนแอมาแต่อดีต ด้วยเหตุหลายประการ
ที่สำคัญคือการพยายามคอรัปชั่น
ที่เอาเยี่ยงอย่างแพร่ระบาดตามๆ กันจากระดับบนลงมา
และจากรุ่นสู่รุ่นที่เข้าครอบงำประเทศด้านต่างๆ
ประกอบกับอุดมการณ์ซ่อนเร้นของคนบางกลุ่มที่ครอบงำสังคม
เศรษฐกิจไม่ได้แข็งแกร่งดังภาพลวงจากการใช้จ่ายด้วยเงินจากหนี้
เกิดเป็นภาวะฟองสบู่ที่พร้อมจะแตกเมื่อถูกทวงหนี้กลับคืน
การตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นการบิดเบือนสภาวะความเป็นจริง
ของความแข็งแกร่งค่าเงินบาท ที่มูลค่าสูงเกินความเป็นจริง
เป็นจุดอ่อนของประเทศที่กองทุนเก็งกำไรที่น่าจะเป็นของนายโซรอส มองเห็น
จึงโจมตีค่าเงินบาท ด้วยการขายเงินบาทล่วงหน้า ถล่มราคาให้ต่ำลงเรื่อยๆ
แล้วซื้อในราคาถูก เอาไปคืนที่ขายล่วงหน้าไว้
เงินบาทที่ถูกขาย ถ้าแข็งแกร่งจริง ก็จะมีผู้ซื้อ แต่ไม่ใช่
กลับเป็นตรงกันข้าม บางส่วนก็ด้วยความตระหนก บางส่วนร่วมซ้ำ
เข้าร่วมกัน เพิ่มเป็นกองกำลังมหาศาลกับกองทุนที่โจมตี
ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามต่อสู้โดยการซื้อเงินบาท
เพื่อต้านไม่ให้ราคาลงหรือเพื่อดึงราคากลับ
จนเงินทุนสำรองแทบหมดหน้าตัก
มีผลต่อความเชื่อมั่นอันเป็นเครดิตหมดไป เกิดการเร่งรัดทวงเงินที่กู้มากลับคืนครั้งใหญ่
แต่ความแตกต่าง ของมูลค่าหนี้เป็นเงินบาทที่กู้มา กับที่ต้องใช้คืน ต่างกันอย่างมหาศาล
ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศก็เข้าสู่วิกฤติ
รัฐบาลพรรคการเมืองหนึ่งกลับมาแก้ปัญหา
บนพื้นฐานความคิดอุดมการณ์เบื้องลึกของพรรค
ที่มาจากการสนับสนุนการดำเนินการของพรรคโดยคนบางกลุ่ม
วางแนวนโยบายช่วยแต่สถาบันการเงินให้เข้มแข็งก่อน
แล้วสถาบันการเงินจะปล่อยกู้ให้คนระดับล่างๆต่อไปเอง
(ช่วยแต่คนที่รวยที่สุดให้เข้มแข็งก่อน แล้วคนที่รวยที่สุดจะช่วยคนระดับล่างๆ ต่อไปเอง จริงหรือ ?)
ผลที่ปรากฏก็คือ ชนชั้นนำลุกขึ้นยืนได้
บนความล้มตายจำนวนมากของฐานล่างๆ
ที่บางส่วนอ่อนแอช่วยตนเองไม่ได้
บางส่วนน่าเคลือบแคลงว่าถูกซ้ำเติมรีดเอาไปช่วยจุนเจือระดับบน
สถานการณ์ของประเทศที่คลุมเครือ ความเป็นไปของประเทศด้านต่างๆ
ที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับคำบอกกล่าวของรัฐบาลพรรคการเมืองหนึ่ง
ซึ่งตอกย้ำอยู่เสมอว่ามาถูกทางแล้ว
ร่วมกับผลงานในอดีตที่เป็นมาอย่างยาวนานจากพื้นฐานอุดมการณ์ของพรรค
เป็นส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้รัฐบาลทักษิณพรรคไทยรักไทย
ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น
3
จากการที่เงินทุนสำรองของประเทศไทยร่อยหรอแทบหมดสิ้น
ในการต่อสู้ค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
จำนวนเงินทุนสำรองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ปี
ตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ ในปี 2544
จนประเทศไทยมีเงินทุนสำรองมากเป็นประวัติการณ์
เป็นอันดับสิบสามของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ณ ปี 2554 ประเทศไทยมีเงินทุนสำรอง 1.85 แสนล้านดอลลาร์ (ไม่ใช่บาท)
เงินทุนสำรองของประเทศนี้ รัฐบาลไม่สามารถเอาไปใช้โดยพละการ
4
เมื่อรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเข้าบริหารประเทศ
GDP ของประเทศไทยก็ขยายตัวขึ้นทุกปี
จนขยายตัวมากเป็นประวัติการณ์
เป็นอันดับสามสิบเอ็ดของโลกในปี 2546
5
จากผลการบริหารประเทศนับจากรัฐบาลพรรคการเมืองหนึ่งเป็นต้นมา
ที่ระดับฐานล่างของประเทศอ่อนแอ จนกระทั่งประเทศล้มพังพาบ
ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจ
ต้องเข้าเป็นลูกหนี้ของ IMF
ประเทศไทยก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นเรื่อยๆ นับแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ
จนกระทั่งสามารถใช้คืนหนี้ IMF จนหมดสิ้น
ข้อมูลจากรายงานสรุปของ IMF
จากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ประเทสไทยต้องขอกู้เงินจาก IMF รวมเป็นเงิน 5.7 แสนล้านบาท
ชำระเป็นจำนวน 0.64 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลชวน ในปี 2543
ส่วนที่เหลือทั้งหมดจำนวน 5.06 แสนล้านบาท ชำระโดยรัฐบาลไทยรักไทย
ประเทศไทยชำระหนี้ IMF จนหมด ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2546
6
ธนาคารโลกยกฐานะประเทศไทย ขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวอยู่ในระดับ ปานกลางระดับสูง
เนื่องจากหากนับย้อนหลังไปใน ช่วงทศวรรษ ที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ปี 2544 ที่รัฐบาลไทยรักไทยเริ่มบริหารประเทศ
เศรษฐกิจของไทยเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและอัตราความยากจนลดลงเป็นอย่างมาก
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ
จนเป็นอันดับที่ 13 ของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย
และคงอันดับที่ 13 ของโลกมาโดยตลอดจนปัจจุบัน
ดังนี้
33,048 ล้านดอลลาร์ ในปี 2544
38,924 ล้านดอลลาร์ ในปี 2545
42,148 ล้านดอลลาร์ ในปี 2546
49,832 ล้านดอลลาร์ ในปี 2547
52,066 ล้านดอลลาร์ ในปี 2548
66,985 ล้านดอลลาร์ ในปี 2549
87,455 ล้านดอลลาร์ ในปี 2550
111,008 ล้านดอลลาร์ในปี 2551
(เป็นอันดับที่ 13 ของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย)
138,418 ล้านดอลลาร์ ในปี 2552
172,129 ล้านดอลลาร์ ในปี 2553
(คงอันดับที่ 13 ของโลกมาโดยตลอด)
GDP Growth Rate
(อัตราการเติบโตของ ผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้นซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของรายได้ประชาชาติ)
เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ
จนสูงสุดในปี 2546 มีผลให้ค่า GDPของประเทศไทยเป็นอันดับโลกที่ 31
แต่เริ่มเปลี่ยนเป็นอัตราลดลง เมื่อเกิดการก่อกวนความสงบ จนกระทั่งแย่งชิงอำนาจการเมือง
เปลี่ยนเป็นลดลงทุกๆปีอย่างต่อเนื่องหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
มีค่าติดลบในปี 2552 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารประเทศ
โดยที่ในปีต่อมา 2553 มีการพยายามหลอกลวงโดยบางสื่อ ว่าอัตราการเติบโตของ GDP พุ่ง
ให้เข้าใจสถานะเศรษฐกิจของประเทศผิดเพี้ยน ว่าเศรษฐกิจดี
แต่ประชาชนส่วนใหญ่โดยทั่วไปสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตนเองว่าไม่ใช่
เพราะแท้จริงเป็นการพยายาม โงหัวขึ้นจากการทรุดของส่วนต่างๆ
ที่เกิดจากการพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด
และเป็นการใช้เงินจากการเป็นหนี้มหาศาลที่ภาระหนักในดอกเบี้ยอยู่เบื้องหลัง
ดังนี้
2.2 % ในปี 2544
5.3 % ในปี 2545
7.1 % ในปี 2546
(สูงสุดในปี 2546 มีผลให้ค่า GDP ของประเทศไทยเป็นอันดับโลกที่ 31)
6.3 % ในปี 2547
4.6 % ในปี 2548
5.1 % ในปี 2549
(เปลี่ยนเป็นลดลงทุกๆปีอย่างต่อเนื่องหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549)
4.9 % ในปี 2550
2.5 % ในปี 2551
-2.3 % ในปี 2552
(มีค่าติดลบในปี 2552 เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้าบริหารประเทศ)
7.8 % ในปี 2553
(เป็นการพยายาม โงหัวขึ้นจากการทรุดและดิ้นรนเอาตัวรอด และการใช้เงินมหาศาลที่กู้มา)
เปอร์เซ็นต์หนี้สาธารณะ
ลดลงในทุกๆปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ
หลังจากลดลงจนต่ำ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์
ดังนี้
57.5 % ในปี 2544
55.1 % ในปี 2545
50.7 % ในปี 2546
49.5 % ในปี 2547
47.3 % ในปี 2548
42.0 % ในปี 2549
38.3 % ในปี 2550
37.3 % ในปี 2551
(หลังจากลดลงจนต่ำ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์)
45.2 % ในปี 2552
44.1 % ในปี 2553
เงินคงคลัง
ภาษีที่เก็บมาจากประชาชน ที่ไม่ได้เอาไปใช้ จะเก็บเป็นเงินคงคลัง
สมัยรัฐบาลสมชาย ในเวลาที่ถูกรัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งรัฐบาลหลังจากการรัฐประหารขึ้นมาแทน
มีภาษีเก็บเป็นเงินคงคลัง 52,878 ล้านบาท
สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เก็บภาษีจากประชาชนมาเก็บไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์
เป็นเงินคงคลัง 301,044 ล้านบาท
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับกู้เงินมาใช้ ทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลโดยไม่จำเป็น
การกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นการไร้เดียงสาในการทำงาน หรือบริหารประเทศอย่าง^^เขลา
หรือกระทำเล่ห์เหลี่ยมฉ้อฉลจากดอกเบี้ยเงินกู้ หรือสูบเลือดประชาชนทั้งประเทศ หรือเป็นอย่างอื่นใดกันแน่ ?
7
เศรษฐกิจฟื้นฟูขึ้นในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยอย่างไร ?
การเกื้อหนุนให้ประชากรทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้ามีกำลังประกอบอาชีพ สามารถจับจ่ายใช้สอย
จะส่งผลต่อๆไปยังประชากรทางเศรษฐกิจที่อยู่ชั้นบนขึ้นไป
ทำนองนี้
ประชากรทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้าซื้อของจากร้านค้า
ร้านค้าซื้อของจากเอเย่นต์
เอเย่นต์ซื้อของจากผู้ผลิต
ผู้ผลิตจ้างงานและซื้อวัตถุดิบจากประชากรระดับรากหญ้า
การเกื้อหนุนให้ชนชั้นรากหญ้ามีกำลังประกอบอาชีพ สามารถจับจ่ายใช้สอย
เป็นผลให้ชนชั้นทางเศรษฐกิจที่อยู่สูงขึ้นไปยิ่งมีรายได้มากกว่าเป็นทบเท่าทวี
เพราะว่าเงินที่จับจ่ายใช้สอยโดยจำนวนมากของประชากรระดับรากหญ้า
หมุนเวียนขึ้นไปสู่จำนวนน้อยของประชากรระดับสูงกว่า
ดังเช่น
ประชากรระดับรากหญ้ามี 8 คน
ประชากรระดับร้านค้ามี 4 คน
ประชากรระดับเอเย่นต์มี 2 คน
ประชากรระดับผู้ผลิตมี 1 คน
ข้อที่สำคัญยิ่งคือการที่รากหญ้าต้องมีกำลังประกอบอาชีพเองได้อย่างยั่งยืน
ไม่ใช่การได้รับอย่างต้องพึ่งพาไปตลอดทั้งสิ้น