คุณเข้าใจผิดค่ะ
การถกเถียงในหลักการ ต้องเน้นไปที่หลักอะไรสักอย่าง
เรื่องกม. ก็ต้องเอียงมาด้านกม. ไม่ใช่สัญชาติญาณส่วนบุคคล
แต่ที่เราบอกว่าไม่ถกเรื่องความจริงคือ
แม้เราได้ข้อสรุปทางหลักการแบบนี้แล้ว เหตุการณ์จริงไม่
ไม่เป็นไปอย่างข้อสรุปที่ถก เราไม่มานั่งหาให้ว่า เพราะอะไรค่ะ
เราพยายามบอกว่า เจตนาใรการกระทำผิด(เซนชื่อนั่นแหละการกระทำผิด)
มีอยู่ แต่ถ้าจะลดโทษ ต้องมีการสู้คดี แก้ต่าง แต่ถ้าไม่มี ก็ต้องโทษไป
ตามที่กม. ระบุไว้ แย่สุด ก็คือโทษหนักที่สุด ไม่น่าแปลกตรงไหน
ไม่ใช่ว่า จู่ๆ จะไปลดโทษให้ เพราะเห็นว่าไม่เจตนา
ต้องมีทนายแก้ต่าง ในชั้นศาล
แต่อดีตนายก "ไม่ได้ไปสู้คดีของตัวเองเลยค่ะ"
ศาลจึงไม่จำเป็นต้องลดโทษให้แต่อย่างใด
ตัวหนังสือสีส้ม ที่เราบอกว่า มันไม่แน่เสมอไป อาจจะถามเพื่อทางหนีทีไล่
ก็จะเอา มีไรป่ะ แต่ถ่ามไว้ ถ้ามีทางออก ก็จะเอา ไม่มีทางออก ก็เก็บเงียบซะ
(คิดเอง เออเอง แต่ก็เป็นไปได้นะ ก็ปุถุชนคนธรรมดาคนนึงนี่นา)
ด้านล่าง ย้ำไปย้ำมา ก็มีเจตนาในการทำผิด ทั้งนั้น แต่อาจจะโดยประมาท
หรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้ใช้หลักกฏหมายอะไรนะคะ แค่คำพูดชัดๆ
เจตนาทำผิดแน่นอน แต่ไม่ได้เจตนาให้เกิดเป็นความผิด (ย้ำอีกที ไม่มีใครมี
เจตนาให้เกิดเป็นความผิดขึ้นมาหรอก ถ้าแบบนั้น ถือว่าเย้ยกฏหมาย เช่น
ขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ เป็นต้น)
ในเมื่อ "การเดินลัดสนาม" เป็นความผิด หากตั้งใจเดิน = ตั้งใจกระทำผิด
แม้จะรู้หรือไม่รู้ หรือรู้ผิด หรือรู้ถูก ก็แล้วแต่ นี่คือขบวนการยุติธรรม
เจตนา มีไว้แก้ต่างเท่านั้น
ถ้าคุณยังตีความเข้าข้างตัวเอง ก็จะไม่ได้ความหมายอะไรเลย
ไม่เจตนาให้การเดินลัดสนามเป็นความผิด แต่มันเป็นความผิดจริง แม้
ไม่ได้เจตนา เราก็พูดเรื่องนี้ เพราะคุณพูดแบบนี้ไง!!!!!!!!
เอาแต่งอน เวลาไม่มีใครตอบคำถามตัวเองแบบ "ชัดๆ"
แค่คำตอบง่ายๆนี่ ทำไมไม่ตอบล่ะคะ?
