ในการปกครองทั้งหมด ถูกแบ่งออกเป็นเฉดๆ และสเกลดังนี้ครับ
ความรุนแรงทั่วไป > คอมมิวนิสต์ > สังคมนิยม > เสรีนิยม > ประชาธิปไตย < อนุรักษ์นิยม < จารีตนิยม < อำนาจนิยม < ความรุนแรงทั่วไป
จะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตย อยู่ตรงกลาง เพราะมันใช้เสียงข้างมากในการตัดสินการเลือกผู้ปกครอง เป็นหลัก ด้วยระบบพรรคการเมือง หากพรรคการเมืองเกิดขึ้นมาก เช่น พม่า มีพรรคการเมืองเป็นพันพรรค เสถียรภาพทางการเมืองก็น้อย หากพรรคการเมืองที่มีทุนมหาศาล หรือมีน้อยพรรค จะนำเสรียรภาพทางการเมืองสู่รัฐนั้นๆมากขึ้น ตัวเลือกของประชาชนจะน้อยลง
ประชาธิปไตย ไม่เกี่ยงว่า มันจะอยู่ในประเทศอะไรและต่างกันอย่างไรครับ มันเหมือนกัน ด้วยเพียงคำว่า " พรรคการเมือง "
พรรคการเมือง หรือผู้ทรงอิทธิพลทางการเมือง จะมีปฎิสัมพันธ์ หรือร่วมมือกันบริหารจัดการประเทศของตัวเอง ให้อยู่ในสภาพ สมดุล หรือ ร่วมมือกับสหประชาชาติ เพื่อสร้างดุลยภาพให้กับโลก เพราะฉนั้น คำว่า ประชาธิปไตย จึงเป็นเพียง การสร้างกฎ ให้กับประเทศนั้นๆเท่านั้น ด้วยกุศโลบายทางการเมือง ว่า เสียงของประชาชน เป็นใหญ่ในแผ่นดิน หรือประชาชนเป็นผู้ปกครองประเทศ
และผลการเลือกตั้ง สามารถกำหนดก่อนล่วงหน้า ได้ ด้วยระบบทุนนิยม ( การซื้อเสียง การล๊อบบี้ผู้นำชุมชน การชี้นำของผู้นำชุมชน ) หรือการโฆษณาชวนเชื่อขนานใหญ่ เพียงเท่านี้ ก็สามารถกำหนดทิศทาง และผลการเลือกตั้งก่อนล่วงหน้าได้แล้ว
และการกำหนดการเลือกตั้งล่วงหน้า เป็นเรื่องของพรรคการเมือง ที่พรรคใด ควรจะได้เป็นรัฐบาล เพื่อรักษาดุลยภาพทางเศรษฐกิจ และนโยบาย หรือเรียกอีกอย่าง ว่า การกำหนดทิศทางการบริหารประเทศ ออกไปเป็นช่วงๆ มีขึ้นบ้าง ลงบ้าง ให้เป็นไปตามดุลภาพของโลก
เมื่อนี้ การยึดติดกับ คำว่า ระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นเรื่องที่ เล็ก และอยู่ภายในกรอบที่แคบ ของนักการเมืองที่กำหนดลงมา
หรือพูดอีกนัยนึง คือระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย คือระบอบแห่งการควบคุมโลกทั้งโลก นั่นเอง
และระบอบอำนาจนิยมหรือเผด็จการทหาร ก็เป็นส่วนประกอบของดุลภาพด้วย เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ในบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย
และวัฒนธรรมทางการเมือง จะถูกปลูกฝังและชี้นำอย่างง่ายๆ ในประเทศที่มีกรอบคิดที่แคบ และไม่มีความเป็นเสรีทางความคิด ด้วยการใส่กฎหมาย ไปว่า " มีการชุมนุมทางการเมืองได้ ต่อต้านรัฐบาลได้ " ทำให้การชี้นำวัฒนธรรมทางการเมืองในทางที่ผิดทำได้ง่ายดาย
เนื่องด้วยประเทศไทย ยังอยู่ในระบอบ " จารีตนิยม " ซึ่งคนจะทำอะไรตามๆกัน หากใครคิด หรือกระทำอะไรอย่างแปลกแยก จะถูกสังคมรังเกียจ และการเป็นคนแปลกแยก ซึ่งวัฒนธรรมของคนไทย จะมองคนที่แปลกแยก เหมือนเป็นคนบ้า และน่ารังเกียจ จึงทำให้ความคิดของคนไทย เดินวนอยู่กับ วาทกรรมทางการเมือง ที่นักการเมือง กำหนดขึ้น เพื่อตีกรอบความคิด เท่านั้นเอง.
แก้ไขเมื่อ 02 พ.ย. 55 22:50:23