ปัญหาเรื่องบ่อน หากยอมรับความจริงว่าการห้ามมันรังแต่จะก่อเกิดปัญหาไม่สิ้นสุด เพราะมันห้าม "ไม่ได้" จริงๆ เราทำไมไม่ "เปิด" บ่อน "บริการ" อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีมาตรการควบคุมอย่างรัดกุมและเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายอย่าง "จริงจัง" ไปเสีย
อนึ่ง ตามความเห็นของเพื่อสมาชิก ในวงราชการชอบที่จะให้ลงโทษ "คนที่กระทำผิด" หรือมีอุปนิสัยที่ "ไม่พึงปรารถนา" ให้ไป ทำงาน" ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หรือเดิมคือมณฑลปัตตานี) โดยเฉพาะ "ผู้รักษากฎหมาย" ที่เป็นบุคคลอันอาจก่อให้เกิด "ปัญหา" ในพื้นที่ที่เขา "ปฏิบัติงาน" การย้ายจากที่หนึ่งไป "ทำชั่ว" อีกที่หนึ่ง ไม่น่าจะเป็นการแก้ไข "ปัญหา" ที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ในประวัติศาสตร์ผู้นำรัฐในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชเห็นความสำคัญของการใช้รัฐประศาสนโยบายอลุ่มอล่วย พยายามยึดโยงกับความต้องการของราษฎรในพื้นที่และจัดหา "คนดี" ลงไปทำงานในพื้นที่ดังกล่าว สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงในยุคหลังๆ ที่นิยมลงโทษข้าราชการ "เหลือขอ" ด้วยการย้ายลงไป "ปฏิบัติราชการ" ในพื้นที่นั้นเป็นอันมาก นับว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่ "ผิดพลาด" อย่างยิ่ง เป็นการสร้าง "ความขัดแย้ง" เิ่พิ่มมากยิ่งขึ้น เพราะได้คนไม่ "เข้าท่า" ไปทำงาน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางหลักรัฐประศาสโนบายสำหรับมณฑลปัตตานีไว้เป็นการเฉพาะ โดยพระราชหัตถเลขาที่ ๓/๗๘ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๔๖๖ ดังนี้
"ข้อหนึ่ง ระเบียบหรือวิธีปฏิบัติอย่างใดเป็นทางให้พลเมืองรู้สึกเห็นไปว่า เป็นการเบียดเบียน กดขี่ศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิกหรือแก้ไขเสียทันที การใดจะจัดขึ้นใหม่ต้องอย่าให้ขัดกับลัทธินิยมของอิสลาม หรือยิ่งทำให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสดามูฮัมหมัดได้ยิ่งดี
ข้อสอง การกะเกณฑ์อย่างใดๆ ก็ดี การเก็บภาษีอากรหรืออย่างใดๆ ก็ดี เมื่อพิจารณาโดยส่วนรวมเทียมกัน ต้องอย่าให้ยิ่งกว่าที่พลเรือนในแว่นแคว้นของต่างประเทศ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงติดต่อกันนั้นต้องเกณฑ์ ต้องเสียอยู่เป็นธรรมดา เมื่อพิจารณาเทียบกันแต่เฉพาะอย่าง ต้องอย่าให้ยิ่งหย่อนกว่ากัน จนถึงเหตุเสียหายในการปกครองได้
ข้อสาม การกดขี่บีบคั้นแต่เจ้าพนักงานของรัฐบาล เนื่องแต่การหมั่นดูแคลนพลเมืองชาติแขก โดยฐานที่เป็นคนต่างชาติก็ดี เนื่องแต่การหน่วงเหนี่ยวชักช้าในกิจการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ราษฎรเสียความสะดวกในทางหาเลี้ยงชีพก็ดี พึงต้องแก้ไขระมัดระวังมิให้มีขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องให้ผู้ทำผิดรองรับผลตามความผิดโดยยุติธรรมไม่ใช่สักแต่ว่าจัดการกลบเกลื่อนให้เงียบไปเสียเพื่อจะไว้หน้าสงวนศักดิ์ของ ข้าราชการ
ข้อสี่ กิจการใดทั้งหมดอันเจ้าพนักงานต้องบังคับแก่ราษฎร ต้องระวังอย่าให้ราษฎรต้องขัดข้องเสียเวลา เสียการในทางหาเลี้ยงชีพของเขาเกินสมควร แม้จะเป็นการจำเป็นโดยระเบียบการก็ดี เจ้าหน้าที่พึงสอดส่องแก้ไขอยู่เสมอเท่าที่สุดจะทำได้
ข้อห้า ข้าราชการที่จะแต่งตั้งออกไปประจำตำแหน่งในมณฑลปัตตานี พึงเลือกเฟ้นแต่คนมีนิสัย ซื่อสัตย์ สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็น ไม่ใช่สักแต่ว่าส่งไปบรรจุให้ตำแหน่ง หรือส่งไปเป็นทางลงโทษเพราะเลว เมื่อจะส่งไปต้องสั่งสอนชี้แจงให้รู้ลักษณะทางการอันพึงประพฤติระมัดระวัง โดยหลักที่กล่าวได้ว่า ในข้อหนึ่งและข้อสี่ข้างบนนั้นแล้ว ผู้ใหญ่ในท้องที่พึงสอดส่องฝึกฝนอบรมกันต่อๆไปในคุณธรรมเหล่านั้น ไม่ใช่คอยให้พลาดพลั้งลงไปก่อนแล้วจึงว่ากล่าวโทษ
ข้อหก เจ้ากระทรวงทั้งหลายจะจัดการวางระเบียบการอย่างใดขึ้นใหม่ หรือบังคับการอย่างใดในมณฑลปัตตานี อันจะเป็นทางพากพานถึงสุขทุกข์ราษฎร ก็ควรพิจารณาเหตุผลแก้ไขหรือยับยั้ง ถ้าไม่เห็นด้วยว่า มีมูลขัดข้อง ก็ควรหารือกระทรวงมหาดไทย แม้ยังไม่ตกลงกันได้ระหว่างกระทรวง ก็พึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย
สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
ดังนั้น หากได้มีการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง นำมาวิเคราะห์และหาแนวทางแก้ไขสิ่งที่แล้วมาและให้ความสำคัญกับการป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่ รวมทั้ง "จริงใจ" ในการกแ้ไขปัญหาจริงๆ ก็น่าที่จะหวังได้ว่าปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะได้รับการ "เยียวยา" และ "แก้ไข" ได้อย่างถูกต้อง "ตรง" กับความเป็นจริง