1
เงินทุนสำรองของประเทศไทยมากเป็นประวัติการณ์ เป็นอันดับที่สิบสามของโลก
จากการที่เงินทุนสำรองของประเทศไทยร่อยหรอแทบหมดสิ้น
ในการต่อสู้ค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
จำนวนเงินทุนสำรองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ปี
ตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ ในปี 2544
จนประเทศไทยมีเงินทุนสำรองมากเป็นประวัติการณ์
เป็นอันดับสิบสามของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์
2
รายได้ประชาชาติ (GDP) ของประเทศไทยสูงเป็นอันดับสามสิบเอ็ดของโลก
GDP ของประเทศไทยขยายตัวขึ้นทุกปี
จนขยายตัวมากเป็นประวัติการณ์
เป็นอันดับสามสิบเอ็ดของโลกในปี 2546
3
ใช้หนี้ IMF จนหมดสิ้น
จากผลการบริหารประเทศนับจากรัฐบาลพรรคการเมืองหนึ่งเป็นต้นมา
ที่ระดับฐานล่างของประเทศอ่อนแอ จนกระทั่งประเทศล้มพังพาบ
ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจ
ต้องเข้าเป็นลูกหนี้ของ IMF
ประเทศไทยก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นเรื่อยๆ นับแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ
จนกระทั่งสามารถใช้คืนหนี้ IMF จนหมดสิ้น
ข้อมูลจากรายงานสรุปของ IMF
จากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ประเทศไทยต้องขอกู้เงินจาก IMF รวมเป็นเงิน 5.7 แสนล้านบาท
ชำระเป็นจำนวน 0.64 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลชวนในปี 2543
ส่วนที่เหลือทั้งหมดจำนวน 5.06 แสนล้านบาท ชำระโดยรัฐบาลไทยรักไทย
ประเทศไทยชำระหนี้ IMF จนหมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2546
4
เศรษฐกิจของประเทศฟื้นฟูขึ้นจากวิกฤติ
อย่างไร ?
การเกื้อหนุนให้ประชากรทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้ามีกำลังประกอบอาชีพ สามารถจับจ่ายใช้สอย
จะส่งผลต่อๆไปยังประชากรทางเศรษฐกิจที่อยู่ชั้นบนขึ้นไป
ทำนองนี้
ประชากรทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้าซื้อของจากร้านค้า
ร้านค้าซื้อของจากเอเย่นต์
เอเย่นต์ซื้อของจากผู้ผลิต
ผู้ผลิตจ้างงานและซื้อวัตถุดิบจากประขากรระดับรากหญ้า
การเกื้อหนุนให้ชนชั้นรากหญ้ามีกำลังประกอบอาชีพ สามารถจับจ่ายใช้สอย
เป็นผลให้ชนชั้นทางเศรษฐกิจที่อยู่สูงขึ้นไปยิ่งมีรายได้มากกว่าเป็นทบเท่าทวี
เพราะว่าเงินที่จับจ่ายใช้สอยโดยจำนวนมากของประชากรระดับรากหญ้า
หมุนเวียนขึ้นไปสู่จำนวนน้อยของประชากรระดับสูงกว่า
ดังเช่น
ประชากรระดับรากหญ้ามี 8 คน
ประชากรระดับร้านค้ามี 4 คน
ประชากรระดับเอเย่นต์มี2 คน
ประชากรระดับผู้ผลิตมี 1 คน
ข้อที่สำคัญยิ่งคือการที่รากหญ้าต้องมีกำลังประกอบอาชีพเองได้อย่างยั่งยืน
ไม่ใช่การได้รับอย่างต้องพึ่งพาไปตลอดทั้งสิ้น
5
ธนาคารโลก ยกฐานะประเทศไทย ขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวอยู่ในระดับ ปานกลางระดับสูง
เนื่องจากหากนับย้อนหลังไปใน ช่วงทศวรรษ ที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ปี 2544 ที่รัฐบาลไทยรักไทยเริ่มบริหารประเทศ
เศรษฐกิจของไทยเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและอัตราความยากจนลดลงเป็นอย่างมาก
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ
จนเป็นอันดับที่ 13 ของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย
และคงอันดับที่ 13 ของโลกมาโดยตลอดจนปัจจุบัน
ดังนี้
33,048 ล้านดอลลาร์ ในปี 2544
38,924 ล้านดอลลาร์ ในปี 2545
42,148 ล้านดอลลาร์ ในปี 2546
49,832 ล้านดอลลาร์ ในปี 2547
52,066 ล้านดอลลาร์ ในปี 2548
66,985 ล้านดอลลาร์ ในปี 2549
87,455 ล้านดอลลาร์ ในปี 2550
111,008 ล้านดอลลาร์ในปี 2551
(เป็นอันดับที่ 13 ของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย)
138,418 ล้านดอลลาร์ ในปี 2552
172,129 ล้านดอลลาร์ ในปี 2553
(คงอันดับที่ 13 ของโลกมาโดยตลอด)
GDP Growth Rate
(อัตราการเติบโตของ ผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้นซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของรายได้ประชาชาติ)
เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ
จนสูงสุดในปี 2546 มีผลให้ค่า GDPของประเทศไทยเป็นอันดับโลกที่ 31
แต่เริ่มเปลี่ยนเป็นอัตราลดลง เมื่อเกิดการก่อกวนความสงบ จนกระทั่งแย่งชิงอำนาจการเมือง
เปลี่ยนเป็นลดลงทุกๆปีอย่างต่อเนื่องหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
มีค่าติดลบในปี 2552 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารประเทศ
โดยที่ในปีต่อมา 2553 มีการพยายามหลอกลวงโดยบางสื่อ ว่าอัตราการเติบโตของ GDP พุ่ง
ให้เข้าใจสถานะเศรษฐกิจของประเทศผิดเพี้ยน ว่าเศรษฐกิจดี
แต่ประชาชนส่วนใหญ่โดยทั่วไปสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตนเองว่าไม่ใช่
เพราะแท้จริงเป็นการพยายาม โงหัวขึ้นจากการทรุดของส่วนต่างๆ
ที่เกิดจากการพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด
และเป็นการใช้เงินจากการเป็นหนี้มหาศาลที่ภาระหนักในดอกเบี้ยอยู่เบื้องหลัง
ดังนี้
2.2 % ในปี 2544
5.3 % ในปี 2545
7.1 % ในปี 2546
(สูงสุดในปี 2546 มีผลให้ค่า GDP ของประเทศไทยเป็นอันดับโลกที่ 31)
6.3 % ในปี 2547
4.6 % ในปี 2548
5.1 % ในปี 2549
(เปลี่ยนเป็นลดลงทุกๆปีอย่างต่อเนื่องหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549)
4.9 % ในปี 2550
2.5 % ในปี 2551
-2.3 % ในปี 2552
(มีค่าติดลบในปี 2552 เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้าบริหารประเทศ)
7.8 % ในปี 2553
(เป็นการพยายาม โงหัวขึ้นจากการทรุดและดิ้นรนเอาตัวรอด และการใช้เงินมหาศาลที่กู้มา)
เปอร์เซ็นต์หนี้สาธารณะ
ลดลงในทุกๆปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ
หลังจากลดลงจนต่ำ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์
ดังนี้
57.5 % ในปี 2544
55.1 % ในปี 2545
50.7 % ในปี 2546
49.5 % ในปี 2547
47.3 % ในปี 2548
42.0 % ในปี 2549
38.3 % ในปี 2550
37.3 % ในปี 2551
(หลังจากลดลงจนต่ำ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์)
45.2 % ในปี 2552
44.1 % ในปี 2553
เงินคงคลัง
ภาษีที่เก็บมาจากประชาชน ที่ไม่ได้เอาไปใช้ จะเก็บเป็นเงินคงคลัง
สมัยรัฐบาลสมชาย ในเวลาที่ถูกรัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งรัฐบาลหลังจากการรัฐประหารขึ้นมาแทน
มีภาษีเก็บเป็นเงินคงคลัง 52,878 ล้านบาท
สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เก็บภาษีจากประชาชนมาเก็บไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์
เป็นเงินคงคลัง 301,044 ล้านบาท
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับกู้เงินมาใช้ ทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลโดยไม่จำเป็น
การกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นการไร้เดียงสาในการทำงาน หรือบริหารประเทศอย่างโง่เขลา
หรือกระทำเล่ห์เหลี่ยมฉ้อฉลจากดอกเบี้ยเงินกู้ หรือสูบเลือดประชาชนทั้งประเทศ หรือเป็นอย่างอื่นใดกันแน่ ?
6
องค์กรอนามัยโลกยกย่องประเทศไทยเป็นแบบอย่างแก่ทั่วโลก
ในการดำเนินนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค
เป็นการเอื้ออาทรค้ำจุนกันในสังคม จะเป็นสังคมที่แข็งแกร่ง
ร่วมกันสร้างชาติให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น
7
ปราบปรามยาเสพติดที่แพร่ระบาดอย่างหนักจนสาบสูญแทบหมดสิ้น
รัฐบาลทักษิณปราบปรามยาเสพติดที่แพร่ระบาดอย่างหนักจนสาบสูญแทบหมดสิ้น
ที่ซึ่งกลับมาระบาดหนักอีกเมื่อพรรคการเมืองหนึ่งครองอำนาจหลังรัฐประหาร
8
แก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบราชการและข้าราชการ
ระบบเจ้าขุนมูลนายที่ต้องเคารพกราบไหว้พินอบพิเทา ข้าราชการกดขี่ข่มเหงรีดไถเรียกรับสินบนประชาชน
ตลอดมาจากอดีตอันยาวนาน นับแต่พรรคการเมืองหนึ่งครองอำนาจทั้งอย่างเปิดเผยหรือแอบแฝงร่วมครองอำนาจ
ถูกเปลี่ยนให้เป็นข้าราชการบริการประทับใจ รวดเร็ว ฉับไว แก่ประชาชน
ที่ปรากฏให้สัมผัสความแตกต่างเปรียบเทียบได้จริงด้วยตัวของประชาชนเอง
ในยุคสมัยรัฐบาลทักษิณ
9
กวาดล้างอิทธิพลมาเฟียที่เรียกเก็บส่วยสถานบริการ บ่อน ซ่อง วินรถ วินมอเตอร์ไซค์
สถานบริการต่างๆถูกจัดระเบียบวินัย จัดระเบียบสังคม
วินรถ วินมอเตอร์ไซค์ ที่ถูกกดขี่
ต้องซื้อเสื้อวินตัวละหลายหมื่น ต้องจ่ายส่วยเป็นธรรมเนียมกิจวัตร
ถูกปลดแอก
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง เช่น
ตำรวจที่คอยตั้งด่านรีดไถ จนถึงกับสิงสู่ประจำที่ ยาวนานมาหลายสิบปี
ตามถนนออกต่างจังหวัดสายต่างๆ สาบสูญไป
ทำนองเดียวกับตามถนนสายต่างๆ ใน กทม.
เช่น ด่านดักรถที่มาจากเซ็นทรัลลาดพร้าวจะไปหมอชิต
กับข้อหาวิ่งทับเส้นแบ่งเลนที่คดโค้งไปมา
10
สยบหวยใต้ดิน และสลากกินแบ่งขายเกินราคา
อย่างชงัด ด้วยหวยบนดิน
นำเงินมหาศาลที่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำเลี้ยงความชั่วร้ายในสังคม
มาเป็นทุนการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส
เป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างที่จะเป็นเท่าทวีต่อๆ ไปอย่างไม่รู้จบ
11
เข้มงวดงบทหาร ดำเนินการจัดซื้ออาวุธจากต่างประเทศโดยวิธีแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรของไทย
12
ดัชนี CPI มีค่าสูงสุด มีความสุจริตสูงสุด มีการทุจริตต่ำสุด
Corruption Peception Index-CPI เป็นค่าที่ตรวจสอบสำรวจการคอรัปชั่นในประเทศต่างๆ
โดยองค์กร Transparency International สนับสนุนโดย UN
ประเทศที่มี CPI ต่ำ จะมีความสุจริตต่ำ มีการทุจริตมาก
ประเทศที่มี CPI สูง จะมีความสุจริตสูง มีการทุจริตน้อย
ทุกครั้งที่พรรคการเมืองหนึ่งเข้าครองอำนาจเป็นรัฐบาล CPI จะตกต่ำลงเสมอ
และทุกครั้งที่พรรคการเมืองนี้หลุดจากอำนาจไม่ได้เป็นรัฐบาล CPI จะสูงขึ้นเสมอ
13
เปลี่ยนแปลงการเมืองไทย
อย่างน้อยที่สุดก็มีพรรคการเมืองที่ทำตามนโยบายที่หาเสียงเลือกตั้งไว้
ในวัยเด็ก ผมมีความคับข้องใจหลายเรื่อง
ดังเช่น
ประเทศไทยเป็นประเทศที่พลเมืองเกิดมาก็เป็นหนี้แล้วทุกคน
หนี้เฉลี่ยต่อคนนั้นเพิ่มขึ้นเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป
เด็กทารกที่เกิดมาในรุ่นต่างๆจะเกิดมาพร้อมหนี้ติดตัวที่มากขึ้นในแต่ละรุ่น ทุกคน ทุกรุ่น
ประเทศไทยเป็นประเทศยากจน ด้อยพัฒนา
เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ฝืดเคือง
สินค้ามักขึ้นราคาเพราะขาดตลาด
มีการกักตุนสินค้า
ยาเสพติดแพร่ระบาด
แทรกซึมอยู่ทุกหย่อมหญ้า
ข้าราชการกดขี่ประชาชน
รัฐวิสาหกิจต่างๆทรุดโทรม ขาดทุนสะสมดินพอกหางหมู หนี้สินรุงรัง
ซึ่งทราบความภายหลังว่ามีนายทหารยึดกุมตำแหน่งต่างๆเต็มไปหมดจนเป็นประเพณี
ดังเช่น ปตท. ในอดีต คือปั๊มสามทหาร จะมีสภาพคร่ำคร่าโดยทั่วไป ไม่จำเป็นจะไม่มีใครเลือกใช้บริการ
ในความรู้สึกนึกคิดที่เป็นไป สภาพความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอยู่
สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงเสมอ เป็นความจริงของโลก
เหมือนความจริงเสมอที่ ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และดวงอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก
อย่างเป็นนิจนิรันดร์
นี้คือความคับข้องใจในวัยเด็ก อย่างยาวนาน
ทำให้มักรู้สึกด้อยในประเทศของตนเป็นระยะๆ เนืองๆ
ไม่อยากให้ประเทศของตนเองเป็นอย่างเช่นนั้นเลย
แต่...ทั้งหมดนั้นเป็น Paradigm ของประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง
ไม่ใช่ความจริงเสมอนิจนิรันดร์ของโลกนี้
ซึ่งผมขอเรียกว่า
ภาวะผีอำประเทศ
ตั้งแต่เริ่มมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
ผมเลือกพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งมาโดยตลอด
ไม่ใช่เพราะความนิยม หรือชื่นชมว่าจะมีคุณความดีใด
แต่ด้วยความอับจนไร้หนทางของประชาชนคนหนึ่ง
พรรคการเมืองที่ผมเลือกนั้นไม่เคยมีผลงานใดเป็นแก่นสาร
ไม่เคยทำผลงานตามนโยบายที่บอกไว้
เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งก็จะประกาศนโยบายพอเป็นพิธี
เลือกตั้งผ่านไปแล้วก็ผ่านไป นโยบายที่บอกไว้ก็ถูกผ่านละเลยไปเช่นกัน
พรรคการเมืองอื่นที่มีอยู่ในเวลานั้นก็ไม่ต่างกัน แต่บ่อยครั้งที่โจ่งแจ้งอย่างไม่เกรงใจประชาชน
ส่วนพรรคการเมืองเก่าแก่นี้จะซ่อนเร้นพฤติกรรม และมีภาพของโฉมหน้าตนอยู่
แต่ก็สำเหนียกบางสิ่งจากพรรคการเมืองนี้ได้
ผมยังคงเลือกพรรคการเมืองเก่าแก่นี้มาโดยตลอด
ด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าแต่ละครั้งนั้นอาจจะดีขึ้นบ้างอย่างอับจนหนทางอื่นใด
ในอนาคตกาลข้างหน้าต่อไปจากนั้นอีกนาน จึงได้รู้ว่าทำไม
เบื้องหลังของคนบางกลุ่มคือตัวการ
ทำลายล้างนักการเมืองดีๆ
เพาะเลี้ยง สนับสนุน ช่วยเหลือนักการเมืองเลวๆ ให้พ้นผิดจากการกระทำชั่วต่างๆ
ร่วมกับการใช้กระบวนการล้างสมอง
เพื่อการยึดกุมอำนาจ แสวงผลประโยชน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ
การใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆของคณะรัฐประหาร
การแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ที่มีผลทางการเมืองและผลประโยชน์
การแต่งตั้ง สว. การแต่งตั้งตำแหน่งของหน่วยงานที่ลวงว่าอิสระ การแต่งตั้งตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจและราชการ
คนบางกลุ่มพยายามใช้กระบวนการล้างสมอง สร้างภาพ สร้างสถานการณ์
ว่านักการเมืองนั้นล้วนแต่เลว หาดีไม่ได้ ทั้งสิ้น
เบื้องหลังคือตัวการทำลายล้างนักการเมืองดีๆ
และเพาะเลี้ยงสนับสนุนนักการเมืองเลวๆ
เพื่อการยึดกุมอำนาจแสวงผลประโยชน์
และกำกับควบคุมนักการเมืองให้เป็นมือเป็นเท้าของกลุ่มตนที่อยู่เบื้องหลัง
คือ
กลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่กระทำตนเป็นปรสิต
ของประชาธิปไตย และของประเทศ ตลอดจนส่วนสำคัญๆ ต่างๆ ของประเทศตลอดมา
ขอเรียกว่า กลุ่มอภิปรสิตชน
ประชาธิปไตย คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
อภิปรสิตชนธิปไตย คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของอภิปรสิตชน โดยอภิปรสิตชน เพื่ออภิปรสิตชน
14
เป็นนักธุรกิจของไทยที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมีชื่อเสียงติดอันดับมหาเศรษฐีของโลก ก่อนเข้าสู่วงการเมือง
การประกอบธุรกิจต่างๆของคนไทย คนร่วมชาติของเราเอง ที่ประสบความสำเร็จ
เป็นการก่อประโยชน์ให้แก่คนไทยและสังคมประเทศไทย
ที่ประชาชนชาวไทยทั้งหลายทั้งปวง ควรปรบมือชื่นชมสนับสนุนส่งเสริม
กลับถูกยุยงปลุกปั่นล้างสมอง
ให้โห่ไล่รังเกียจเหยียบย่ำทำลายคนในชาติด้วยกันเอง
ไม่ให้สร้างสรรสิ่งดีๆ ให้แก่ประเทศของตน
ใครครอบงำคนไทยและประเทศไทยให้เป็นแนวทางเยี่ยงอย่างเช่นนี้ ?
จากคดีต่างๆ ของทักษิณ
คตส. ที่แต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร พิจารณาให้ดำเนินการ
ยึดทรัพย์ทักษิณ เพราะถือว่าหุ้นจำนวนส่วนนั้น เป็นของทักษิณ ไม่เป็นของลูกทักษิณ
ปรับเงินลูกทักษิณ เพราะถือว่าหุ้นจำนวนส่วนนั้นเป็นของลูกทักษิณ ไม่เป็นของทักษิณ
ยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท โดยพิจารณาว่า
มูลค่าหุ้นทั้งหมดของเครือชินวัตรก่อนทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีเท่ากับ 3 หมื่นล้านบาท
มูลค่าหุ้นทั้งหมดของเครือชินวัตรที่ขายไปให้แก่กลุ่มเทมาเสกเท่ากับ 7.6 หมื่นล้านบาท
ถือว่าจากคดีต่างๆ ของทักษิณ ทำให้มูลค่าของหุ้นเครือชินคอร์ปเพิ่มขึ้น 4.6 หมื่นล้านบาท
เป็นสิ่งมิควรได้ (ไม่ได้ระบุว่าทุจริต) พิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท
โดยที่ คตส. ที่ตั้งขึ้นจากคณะรัฐประหารมาดำเนินการสอบสวน
เห็นว่าควรยึดทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท โดยทฤษฏีวัวกินหญ้า จึงยึดวัวทั้งตัว
ซึ่ง คตส. ออกระเบียบจ่ายสินบน 25 % ของทรัพย์ที่ยึดแก่ผู้แจ้งเบาะแสเป็นประโยชน์
แต่ถูกเปิดโปงและถูกวิจารณ์อย่างหนักในเว็บบอร์ดจนถูกจับตามอง
ว่าจะมีผู้เป็นหน้าม้า มารับสินบน แล้วเอาไปแอบแบ่งกันเองหรือไม่ ?
มูลค่าหุ้นของเครือชินคอร์ปเพิ่มขึ้น 2.6 เท่า จาก 3 หมื่นล้านบาทเป็น 7.6 หมื่นล้านบาท
หากเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกัน
จากวันที่ก่อนเข้าเป็นรัฐบาล 8 กุมภาพันธ์ 2544
ถึงวันที่ขายหุ้นทั้งหมดของเครือชินวัตร 23 มกราคม 2549
กลุ่มธุรกิจต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากทักษิณ ชินวัตร เข้าบริหารประเทศ
มูลค่าธุรกิจต่างเติบโตขึ้น 2 ถึง 6 เท่า เป็นส่วนใหญ่ จากราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น
มูลค่าธุรกิจของกลุ่มปูนซีเมนต์ไทย กลุ่ม ปตท. กลุ่ม ทีพีไอ กลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ เติบโตขึ้น 5-6 เท่า
ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดหมื่นกว่าล้านบาทของกลุ่มชินวัตรเป็นเรื่องปกติ
และไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายแต่อย่างใดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ
เมื่อเศรษฐกิจของประเทศแข็งแกร่ง เป็นส่วนหนึ่ง
ร่วมกับการประกอบการของธุรกิจนั้นเองในเวลาประมาณ 5 ปี เป็นอีกส่วนหนึ่ง
และอื่นๆ เช่น ผลจากการลงทุนของนักลงทุนและกองทุนต่างๆ จากทั่วโลก
ที่ทำให้มูลค่าธุรกิจต่างๆ ของประเทศในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น
รวมถึงมูลค่าธุรกิจของครอบครัวชินวัตร
การยึดทรัพย์ทักษิณแท้จริงเป็นการยุติธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้ง
หรือเป็นการโค่นล้มทางการเมือง หรือเป็นการปล้นทักษิณ
หรือเป็นอย่างอื่นใดกันแน่ ?
คดีโทรศัพท์มือถือ
ถูกกล่าวหาว่า รัฐบาลทักษิณเอื้อประโยชน์ให้เครือชินวัตร
กรณีลดอัตราค่าตอบแทนให้รัฐ และลดอัตราค่าใช้โทรศัพท์มือถือทุกค่ายลง
เปลี่ยนจากจ่ายรายเดือนเป็นใช้บัตรเติมเงิน และใช้โครงข่ายร่วม
ลดอัตราค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้รัฐลง พร้อมลดราคาค่าใช้โทรศัพท์ลง
ทำให้คนใช้โทรศัพท์เพิ่มขึ้นทันที ในปี 2546 จาก 2 ล้านเลขหมาย เป็น 8 ล้านเลขหมาย
ทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะจำนวนคนใช้โทรศัพท์เพิ่มขึ้นหลายเท่า
ทั้งทำให้ประชาชนได้ใช้โทรศัพท์มือถือในราคาถูก
และธุรกิจต่างๆ มีต้นทุนสื่อสารราคาถูก สะดวกมากขึ้น จนธุรกิจต่างๆ เติบโตขยายตัวอย่างมาก
ผลของเหตุการณ์นี้ มีส่วนอย่างสำคัญต่อ GDP ของประเทศ
ที่ซึ่ง GDP ของประเทศขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในปี 2546
เป็นอันดับ 31 ของโลก
รายได้ที่รัฐได้จากอัตราเดิม
คืออัตราตอบแทนเดิมคูณจำนวน 2 ล้านราย
รายได้ที่รัฐได้จากอัตราใหม่
คืออัตราตอบแทนใหม่คูณจำนวน 8 ล้านราย
เพราะว่าจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
แม้อัตราตอบแทนใหม่จะน้อยกว่าอัตราตอบแทนเดิม
แต่รายได้ที่รัฐได้จากอัตราตอบแทนใหม่กลับมากกว่ารายได้ที่รัฐได้จากอัตราตอบแทนเดิม
เป็นอย่างมาก
แต่ คตส. กลับพิจารณา
โดยเอาอัตราตอบแทนเดิมคูณด้วยจำนวนผู้ใช้ทั้งหมดรวมทั้งที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนเงื่อนไข
เทียบกับอัตราตอบแทนใหม่คูณด้วยจำนวนผู้ใช้ทั้งหมดรวมทั้งที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนเงื่อนไข
แล้วบอกว่ารัฐเสียหาย
คดีเปลี่ยนค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต
รัฐได้เงินไปใช้ทันที ไม่ต้องรอ TOT และ CAT ส่งให้ตอนสิ้นปี
ทั้งได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องถูกหักเงินเป็นค่าโบนัสและสวัสดิการของ TOT และ CAT
ในสถานการณ์ที่การกล่าวหา การกล่าวโทษ การใส่ร้ายป้ายสี อคติ ฝุ่นตลบ
คงเป็นในอนาคตกาลข้างหน้าอีกยาวไกล ที่ฝุ่นจาง
วิสัยทัศน์ของการเปลี่ยนค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตจะปรากฏต่อสังคม
ดังเช่น
กรณีประมูลค่าสัมปทานระบบสื่อสาร 3 จี โดยเอกชน
หากเป็นภาษีสรรพสามิต เอกชนดำเนินการได้ทันที ยังคงจ่ายให้รัฐในรูปภาษี
การพัฒนาของประเทศไม่ต้องหยุดชะงักติดขัดอย่างที่กำลังเป็นอยู่
แข่งขันกันอย่างเสรี ไม่ผูกขาด จะทำให้ประชาชนสามารถเลือกใช้ในราคาถูกมีคุณภาพ
ผลประโยชน์ถึงมือประชาชนโดยตรง
ไม่ใช่โดยอ้อมจากค่าสัมปทานที่นักการเมืองจะจัดสรรมาให้ประชาชน
ที่ไม่แน่ว่าจะทั้งถูกบวกเพิ่ม ทั้งถูกเบียดบัง ไปแค่ไหน
หรือไม่ ?
คดีดาวเทียม
ถูกกล่าวหาว่า ประธาน รสช. ของคณะรัฐประหาร เอื้อประโยชน์ให้เครือชินวัตรในกรณีดาวเทียม
ก่อนที่ทักษิณจะเข้าสู่วงการเมือง
เป็นนักธุรกิจคนไทยที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ
เป็นมหาเศรษฐีติดอันดับต้นๆ ของโลก
ทักษิณกล่าวในวันที่ยิงดาวเทียมไทยคมซึ่งเป็นสัมปทานของประเทศไทยขึ้นสู่ท้องฟ้าว่า
ถ้าไม่มีประธาน รสช. ก็ไม่มีวันนี้ วันที่ประเทศไทยได้มีสัมปทานดาวเทียมไว้ใช้ประโยชน์
โดยที่ประธาน รสช. เป็นผู้ดึงเรื่องออกจากแฟ้มมาพิจารณาให้ดำเนินการ
ไม่ใช่ถูกดองเรื่องเอาไว้ หากไม่มีค่าสินบนใต้โต๊ะ
อันเป็นปกติธรรมดาที่นักธุรกิจผู้สร้างคุณูปการแก่ประเทศทั้งหลาย
จะถูกทาสีให้เป็นทุนสามานย์ จะถูกวาดภาพให้เป็นผู้น่าชิงชังรังเกียจ
จะถูกกดขี่ให้จ่ายส่วยสินบนแก่นักการเมือง
ที่เป็นมาอย่างยาวนานเท่ากับอายุของพรรคการเมืองหนึ่ง
ถือว่าเอาดาวเทียมสำรองที่ดีกว่าที่กำหนดในสัญญามาให้แทน
เป็นการผิดสัญญา ถือว่าการให้ใช้แทนได้เป็นการเอื้อประโยชน์ผู้รับสัมปทาน
ใช่หรือไม่ ?
(คงเป็นทำนองเดียวกับเอาคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Window
มาให้แทนคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Dos ที่ล้าสมัย ตกรุ่น ไม่มีผลิตขายแล้ว
ถือว่าผิดสัญญา ถือว่าการให้ใช้แทนได้เป็นการเอื้อประโยชน์ผู้รับสัมปทาน
หรือคงเป็นทำนองเดียวกับเอาโทรศัพท์สมาร์ทโฟน
มาให้แทนโทรศัพท์รุ่นขนาดกระติกน้ำแขวนเอว ที่ล้าสมัย ตกรุ่น ไม่มีผลิตขายแล้ว
ถือว่าผิดสัญญา ถือว่าการให้ใช้แทนได้เป็นการเอื้อประโยชน์ผู้รับสัมปทาน
เปรียบเทียบเช่นนี้ ถูกต้องไหม ?)
การทำดาวเทียม ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า มีดาวเทียมใช้ เป็นของตนเอง
รัฐได้ค่าสัมปทาน มีรายได้จากค่าใช้ดาวเทียม ไปจุนเจือประเทศชาติ
ถ้าครอบครัวชินวัตรไม่ทำดาวเทียม
ประเทศเสียโอกาส และก็ไม่ได้อะไร
ถ้าครอบครัวชินวัตรทำดาวเทียม
ประเทศไม่เสียอะไร แต่ได้ค่าสัมปทาน ได้ค่าใช้ดาวเทียม ได้ใช้ดาวเทียม ได้ความเจริญก้าวหน้า
เป็นคุณูปการต่อชาติ หรือไม่ ?
สมควรช่วยกันส่งเสริม สนับสนุน ให้การช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก
ไม่สมควรขัดขวาง กลั่นแกล้ง กดขี่ เอารัดเอาเปรียบ
ในความเป็นจริง ไม่เพียงขัดขวาง กลั่นแกล้ง กดขี่ เอารัดเอาเปรียบ ยังทำลายล้าง
หรือไม่ ?
ทำไม ประเทศไทยจึงเอื้อประโยชน์สารพัดให้ต่างชาติ เพื่อเชื้อเชิญให้เขามาลงทุน ?
ทำไม คนไทยไม่ช่วยคนไทยด้วยกันเอง อย่างที่ช่วยต่างชาติด้วย ?
เป็นที่รู้กันดีว่า
ประเทศญี่ปุ่น เขาสนับสนุน ช่วยเหลือ เอื้อประโยชน์ ให้คนญี่ปุ่นของเขาเอง อย่างยิ่ง
ประเทศญี่ปุ่นจึงเจริญก้าวหน้ายิ่ง
ทำไม ประเทศไทยต้องไม่เอื้อประโยชน์ให้คนไทย ?
กรณี ปรส. เป็นตัวอย่างอันเจ็บปวด
ที่รัฐบาลของพรรคที่ไม่สามารถเอ่ยนาม ฝากแผลเป็นไว้แก่ประเทศไทย หรือไม่ ?
ที่ประเทศไทยต้องไม่เอื้อประโยชน์ให้คนไทย
ไม่ขายทรัพย์สินของคนไทยให้คนไทย
อ้างเหตุผล ไม่ให้คนไทยเสียนิสัยจากการทำธุรกิจขาดทุนแล้วซื้อคืนได้ในราคาถูก
ทั้งที่ความจริงแล้ว คนไทยไม่ได้ทำขาดทุนเอง แต่ถูกทำให้ขาดทุน
โดยนโยบายผิดพลาดของพรรคการเมืองใด ที่เปิดช่องโหว่ให้โจมตีทางเศรษฐกิจ ?
เป็นการขายสมบัติชาติอย่างแท้จริง ด้วยราคาแสนต่ำ
หรือไม่ ?
มีคนปกติทั่วไปสักคนไหมบนโลกนี้
ที่ไม่ประกอบอาชีพ ทำธุรกิจ มีทรัพย์สิน มีครอบครัว มีญาติมิตร
ที่อำนาจการเมืองไม่มีผลมากระทบเกี่ยวข้อง
ต่ออาชีพ ธุรกิจ ทรัพย์สิน ครอบครัว ญาติมิตร ของบุคคลผู้นั้น
สำคัญอยู่ที่ว่า เกี่ยวข้องอย่างเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ประเทศชาติ
ได้ประโยชน์จากการสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ
หรือได้ประโยชน์จากการสร้างโทษให้ประเทศชาติ
คดีให้เงินกู้แก่พม่า
ได้ดอกเบี้ยจากพม่า
ประเทศเพื่อนบ้านมีพรมแดนติดกันเป็นมิตรกับไทย
ได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติของพม่า
ได้กำหนดเงื่อนไขที่พม่าต้องซื้อของจากไทย
(เป็นเงื่อนไขที่ทุกชาติในโลกควรทำแก่ชาติตน แต่อาจต้องยกเว้นประเทศไทย)
และพม่าก็ไม่ได้ซื้อสินค้าจากกลุ่มชินวัตรเพิ่มจากเดิมที่เคยซื้ออยู่แล้วแต่อย่างใด
คดีที่ดินรัชดา
โทษฉกรรจ์ของทักษิณ จำคุกสองปีไม่รอลงอาญา
กระบวนการพิพากษาที่จัดตั้งขึ้นจากคณะรัฐประหาร
สั่งลงโทษทักษิณอย่างหนัก ถือเป็นความผิดร้ายแรง จำคุกสองปี ไม่รอลงอาญา
ในวันที่ 21 ตุลาคม 2550
จากการเซ็นชื่อในฐานะสามี ยินยอมให้ภรรยาจ่ายเงินซื้อที่ดิน
ซึ่งเป็นหนี้เสียจากวิกฤติเศรษฐกิจ 2540
ที่ประกาศขายอย่างเปิดเผยโดยกองทุนฟื้นฟู
โดยไม่มีใครสนใจซื้ออยู่เป็นเวลานาน เนื่องจากห้ามสร้างอาคารสูง
ที่ซึ่งกฤษฎีกาตอบข้อซักถามก่อนซื้อว่าไม่ผิดกฏหมาย
กองทุนฟื้นฟูแจ้งต่อสาธารณชนผ่านสื่อต่างๆ ว่า กองทุนฟื้นฟูได้ประโยชน์ ไม่มีความเสียหายใด
จน คตส. จากคณะรัฐประหารต้องดำเนินการให้กองทุนฟื้นฟูแจ้งเอาโทษทักษิณ
ซึ่งกองทุนฟื้นฟูก็ดำเนินการโดยระบุว่าเป็นการแจ้งตามความประสงค์ของ คตส.
มีการพยายามชวนเชื่อว่า ที่ดินควรมีราคาหลายพันล้านบาท ไม่ใช่ 772 ล้านบาท
โดยตั้งราคาประเมินขึ้นเอง และรวมเอาพื้นที่คลองและถนนสาธารณะเข้ามารวมไว้ด้วย
กองทุนฟื้นฟูซื้อมา 107 ล้านบาท ประกาศขายหลายครั้ง ไม่มีใครซื้อ
จนกระทั่งคุณหญิงพจมานสนใจ จึงมีผู้สนใจตาม
โดยได้สอบถามหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและกฤษฎีกา ได้รับการยืนยันว่าสามารถเข้าประมูลได้
ซึ่งคุณหญิงพจมานประมูลไปในราคาสูงกว่าทุกรายคือ 772 ล้านบาท
กองทุนฟื้นฟูฯ ได้กำไร 665 ล้านบาท
ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติ ไม่เกิดความเสียหายใดต่อประเทศ เปิดเผย โปร่งใส ตรงไปตรงมา
แต่จำคุกสามีผู้ซื้อ 2 ปี ฐานเป็นนายกรัฐมนตรีมีส่วนได้เสียในอำนาจที่กำกับ ควบคุม ดูแล ตรวจสอบ
โดยที่กองทุนฟื้นฟูฯ อยู่ในอำนาจกำกับ ควบคุม ดูแล ตรวจสอบ ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อยู่ในอำนาจกำกับ ควบคุม ดูแล ตรวจสอบ ของนายกรัฐมนตรี
โทษจำคุกสองปี ไม่รอลงอาญา
เปรียบเทียบกับคดีต่างๆ ของผู้แอบอ้างเสื้อเหลืองที่รอลงอาญานับครั้งไม่ถ้วน
และคดีฮุบที่ดินส่วนรวม ที่ดินป่าสงวน ต่างๆ ของประเทศ ครั้งต่างๆ
เอาไปฟรีๆ ที่ไม่เคยมีใครต้องโทษ
เป็นอย่างไร ?
เกินกว่าความยุติธรรมไปหรือไม่ ?
ที่ดินรัชดาถูกยึดและขายแก่ผู้อื่น ในเวลา 8 ปีต่อมา
โดยเปลี่ยนกฎระเบียบให้ใช้สร้างอาคารสูงได้
และเพิ่มที่ดินจาก 22 ไร่ เป็น 33 ไร่
มีการตัดสินให้การซื้อที่ดินของภรรยาทักษิณเป็นโมฆะ
ให้ยึดเอาที่ดินคืนจากภรรยาทักษิณ
โดย เลขาฯ คตส. คัดค้านการคืนเงินให้ภรรยาทักษิณ
ที่ดินที่ถูกยึดคืนไปถูกพยายามขายอีกครั้งในเวลาอีกหลายปีต่อมา
มีการเอาราคาขาย 1,815 ล้านบาท โจมตีกล่าวหาทักษิณอีกครั้ง
ว่าขายได้สูงกว่าที่ภรรยาทักษิณซื้อไปมากคือ 772 ล้านบาท
แต่ไม่กล่าวถึง หรือปิดบังความจริง ที่ซึ่ง
มูลค่าที่ดินเพิ่มสูงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป 8 ปี
โดยที่ ผู้บริหาร กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ แก้กฏหมายให้สร้างตึกสูงบนที่ดินนี้ได้
ทำให้เป็นที่ต้องการของนักพัฒนาที่ดิน
และที่สำคัญได้มีการเอาพื้นที่ของที่ดินข้างเคียงรวมเข้าไปเป็นพื้นที่มากกว่าเดิม จาก 22 ไร่ เป็น 33 ไร่
แล้วขายไปในราคาสูงกว่าเดิม คือ 1,815 ล้านบาท
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 55 18:57:30
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 55 06:55:03