โครงการประชานิยมหลาย ๆ โครงการของรัฐบาลเป็นที่น่าจับตามองว่า แท้จริงแล้ว ทำเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน หรือ เพื่อมอมเมาประชาชนกันแน่
หากเป็นโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนจริง ๆ แล้ว ย่อมต้องไม่สร้างปัญหาอื่น ๆ ตามมาภายหลัง อย่างที่เรียกว่า แก้ปัญหาหนึ่งแต่ไปสร้างปัญหาอื่นให้ตามแก้กันอีกเปราะ หรือ แก้ไขปัญหาให้ประชาชนกลุ่มหนึ่ง แต่กลับไปสร้างปัญหาให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง เช่นนี้ ไม่เรียกว่า แก้ไขปัญหา แต่เรียกว่า โยกปัญหา
และหากว่าแท้ที่จริงเป็นโครงการมอมเมาประชาชนแล้วล่ะก้อ เท่ากับว่า มิได้แก้ปัญหาใด ๆ ให้ประชาชนเลย แต่เป็นการสร้างปัญหาให้กับประชาชน โดยที่ประชาชนเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
ที่สำคัญกว่านั้น คือ คนในรัฐบาลเอง แยกแยะออกหรือไม่ว่า โครงการนี้โครงการนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาแบบประชานิยม หรือ มอมเมานิยม
หากประชาชนแยกแยะไม่ออก ถือว่าเป็นกรรมของประชาชน แต่หากคนในภาครัฐเองแยกแยะไม่ออก ถือเป็นกรรมของประเทศชาติครับ
...............................................................
โครงการ๓๐ บาทรักษาทุกโรค
เป็นเรื่องดีที่ประชาชนชาวไทยที่ยากจนได้มีโอกาสรักษาพยาบาลในราคาที่ถูกแสนถูก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า โครงการนี้เป็นประชานิยมที่สร้างคะแนนเสียงให้กับรัฐบาลเป็นจำนวนมาก แต่หากมองในภาพรวมของประเทศ มีงบประมาณหลายหมื่นล้านบาททุ่มเทลงไปกับโครงการนี้ในแต่ละปี และทำท่าว่าจะบานปลายเป็นงบที่เพิ่มไม่รู้จักจบสิ้นในอนาคต เงินที่อัดลงไปกับโครงการนี้แท้ที่จริงก็มาจากเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศนี่ส่วนหนึ่ง และจากเงินกู้ในรูปแบบต่าง ๆ ของรัฐอีกส่วนหนึ่ง เราแยกไม่ได้ชัดเจนเพราะงบประมาณประจำปีจำนวน หนึ่งล้านล้านบาทนั้นมาจากหลายแหล่งด้วยกัน และเนื่องจากเรายังจัดงบประมาณแบบสมดุลไม่ได้ ก็ต้องหาเงินมาเติมในส่วนที่ขาดนั้น เรียกว่า ทำงบประมาณขาดดุล
เงินส่วนหนึ่งที่เอามาอุดหนุนโครงการ ๓๐บาทนี้ ก็จะเบียดบังเงินพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่พอ ส่วนที่ขาดก็คือต้องหากู้เพิ่มนั่นแหละครับ
ในแง่ของความเป็นจริงที่ต้องยอมรับ ก็คือ เราไม่มีเงินอุดหนุนมากพอที่จะทำโครงการนี้ได้ต่อเนื่องต่อไปในอนาคต ต้องมีจุดสิ้นสุด หรือหาทางออกให้กับโครงการและโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยกระทบคนจนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
โครงการนี้จึงเป็นโครงการประชานิยมที่แก้ไขปัญหาหนึ่งได้ แต่สร้างปัญหาให้กับคนกลุ่มอื่น ๆที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโครงการนี้ ซึ่งผมเรียกว่า การโยกปัญหา นั่นแหละครับ
......................................................
นโยบายส่งเสริมสุราพื้นบ้าน
จากเดิมที่ชาวบ้านทานเหล้ายี่ห้อกันพอแต่สมควรตามงบในกระเป๋า เหล้าขาว เหล้าเถื่อนจริง ๆ แล้วมีไม่มากนักหรอกครับ เพราะหากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่รู้เห็นเป็นใจก็ทำไม่ได้ ในตำบลในหมู่บ้าน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านต้องรู้กันทั้งนั้นแหละว่า ใครต้มเหล้าเถื่อนหรือไม่ ที่ปราบปรามกันมาก็ได้ผลพอสมควร ที่ยังมีอยู่ก็เพราะชุมชนอลุ้มอล่วยกันเองทั้งนั้น ซึ่งผมก็เห็นว่าดีอยู่แล้วในสังคมไทย เพราะคนในชุมชนเขาเลือกทางแก้ปัญหาของเขาเอง และจำกัดปัญหาอยู่ภายในชุมชนได้
แต่พอประกาศนโยบายส่งเสริมเท่านั้นแหละครับ ปัญหาเหล้าเถื่อนอาจจะหมดไป แต่ที่รัฐบาลควบคุมไม่ได้คือ การเพิ่มการบริโภคเหล้าในชุมชนต่าง ๆ ทั้งจำนวนการบริโภคและผู้บริโภคที่ยังเป็นเยาวชนของชาติอยู่ อะไรที่หาซื้อได้ง่าย ก็บริโภคได้ง่ายครับ
จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลสำรวจที่กระทำโดยองค์กรต่างประเทศองค์กรหนึ่ง ประกาศว่า ประเทศไทยมีการบริโภคสุรามากที่สุดติดอันดับหนึ่งในสามของโลก เหนือกว่า ญี่ปุ่น หรือ เยอรมันนี ที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับเหล้าและเบียร์เสียอีก
นี่ก็เป็นการโยกปัญหาเหมือนกัน แม้ว่าสินค้าชนิดนี้จะมีอนาคตในการส่งออก แต่การดูแลปัญหาในประเทศของรัฐบาลยังไม่ดีพอ จึงเชื่อว่าจะสร้างปัญหาให้กับประชาชนของชาติในระยะเวลา ๓-๕ ปีข้างหน้าครับ
...........................................................
การรณรงค์งดสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ
ผมไม่ได้สูบบุหรี่จึงไม่รู้ว่า การรณรงค์นี้จำกัดเฉพาะในกรุงเทพมหานครหรือครอบคลุมไปทั้งประเทศ แต่ทราบว่า ในโรงภาพยนตร์ บนเครื่องบิน ในโรงพยาบาล และทำการอำเภอ เขาไม่ให้สูบบุหรี่กันแล้ว เลยไม่รู้ว่าสิงห์อมควันหลบไปสูบบุหรี่กันที่ไหนบ้าง แต่ที่รู้ ๆ ก็คือ จำนวนจำหน่ายของบุหรี่มิได้ลดลงเลย และที่กระทบรัฐบาลจนผมต้องนำมาพูดก็เพราะได้ข่าวว่า โรงงานยาสูบจะขยายกำลังการผลิตอีก โดยจะสร้างโรงงานใหม่ที่เชียงใหม่และสระบุรี ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า รัฐบาลมิได้มุ่งหวังให้ประชาชนเลิกสูบบุหรี่จริง เพราะรายได้จากภาษีสรรพสามิตจากสิ่งเสพติดนี้มีมูลค่ามหาศาล
หากจะสร้างโรงงานยาสูบใหม่เพื่อขยายการผลิตจริงก็น่าจะเป็นโครงการมอมเมานิยมนะครับ ถ้ารัฐบาลจริงใจก็อย่าสร้างเลยครับ ไหน ๆ ก็รณรงค์ให้งดสูบกันแล้ว จะไปเพิ่มปริมาณสินค้าในท้องตลาดทำไม (ข้อมูลพบว่า ประชาชนริเริ่มสูบบุหรี่มวนแรกตั้งแต่ยังเป็นเยาวชนอายุไม่ถึงยี่สิบปี ไม่ใช่มาสูบกันตอนทำงานทำการแล้วนะครับ)
.................................................................
หวยรัฐบาล
ที่จั่วหัวข้อว่าเป็น หวยรัฐบาล เพราะเป็นวิธีการแก้ปัญหาหวยใต้ดินด้วยการเป็นเจ้ามือหวยเสียเองของรัฐบาลนี่แหละครับ เข้าทำนองว่า ในเมื่อปราบไม่ได้ ก็ทำเสียเอง เช่นเดียวกับแนวความคิดที่จะค้ายาบ้าเสียเองในช่วงหนึ่งของการบริหารของรัฐบาลโดยโยนหินถามทางมานั่นแหละ
การจำหน่ายสลากเลขท้ายสองและสามตัวโดยให้บุรุษไปรษณีย์เป็นคนเดินโพย เท่ากับว่า รัฐบาลออกหน้าเต็ม ๆ ในการยุทธการครั้งนี้ วัตถุประสงค์ ผมไม่แน่ใจว่า ต้องการปราบหวยใต้ดิน หรือต้องการรายได้จากเจ้ามือหวยใต้ดินกันแน่
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ประชาชนคนไทยมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นในการเสี่ยงโชค นั่นคือ เล่นหวยรัฐก็ได้ เล่นหวยใต้ดินก็ได้ (เพราะเจ้ามือก็ยังอยู่ แต่ส่วนแบ่งหายไปส่วนหนึ่ง) หรือที่นิยมเล่นสลากใบใหญ่ก็ยังเล่นได้เหมือนปกติ
ในที่สุดก็คงแก้ไขปัญหาพื้นฐานของประชาชนไม่ได้ ซ้ำยังอาจทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งลุ่มหลงมากขึ้น หันมาเสี่ยงโชคมากขึ้นจากเดิม โดยเล่นมันทุกประเภททางเลือกเลย
อันนี้น่าจะเป็นการมอมเมานิยมอย่างชัดเจนนะครับ
..............................................................
โครงการเอื้ออาทรของรัฐ
รัฐเปิดตัวโครงการแรก บ้านเอื้ออาทร ประสบความสำเร็จล้นหลาม ทำให้เกิดกระแสเอื้ออาทรไปยังสินค้าที่มีมูลค่าทั้งหลายตามมา และเชื่อว่า คงจะมีการเปิดตัวกันอีกหลายระลอกครับ
ความจริงผมไม่อยากจะขัดคอโครงการนี้เลย แต่ก็อยากจะฝากไว้ว่า รัฐบาลต้องมีนโยบายชัดเจนในการกระทำ อย่าให้มีการแสวงหาผลกำไรจากโครงการที่ประชาชนคนยากสมควรได้รับ เหมือนเช่นกรณี ที่ดินสปก.นั่นแหละ ทำไปทำมา เกษตรกรผู้ยากไร้ก็ยังไม่มีที่ดินทำกินของตัวเองจริง ๆ เพราะถูกกลุ่มนายทุนเข้ามายื้อแย่งผลประโยชน์ในส่วนนี้ไปเสียเยอะ
ดูการกลั่นกรองผู้ที่จะมีสิทธิ์ซื้อบ้านโครงการนี้ก็ทำให้ผมวิตกพอประมาณ เพราะหลักฐานที่นำไปแสดงก็จะมีบัตรปชช. และสำเนาทะเบียนบ้าน นั่นแสดงว่า ผู้ที่ไปจับจอง มีที่อยู่ที่อาศัยเป็นหลักแหล่งอยู่แล้ว โครงการนี้จึงมิได้สนองต่อคนไทยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเลย แต่เป็นการยกฐานะของการอยู่อาศัยมากกว่า ..บางคนจากกระต็อบ..บางคนจากคอนโดการเคหะ..และบางคนมีบ้านของตัวเองอยู่แล้ว แต่ซื้อเพื่อเป็นสมบัติให้ลูกหลาน ซึ่งเรียกว่าบ้านที่สองแล้ว แล้วบ้านเก่าของเขา หรือที่อยู่เก่าตามทะเบียนบ้านล่ะครับ เขาจะเอาไปทำอะไร ขายหรือเก็บไว้ให้คนอื่นเช่า ถ้าเป็นเช่นนั้น โครงการนี้ก็ไม่ได้มีสำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง ๆ แต่มีเพื่อเปิดโอกาสในการยกฐานะมากกว่า
จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนตอบได้ว่า คนจองซื้อบ้านเอื้ออาทร แท้ที่จริงแล้ว เดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยจริง ๆ กี่รายกันแน่
รัฐบาลไม่มีมาตรการปกป้องปัญหาเหล่านี้เลย และบ้านที่จำหน่ายบางโครงการก็มีราคาเป็นหลักแสนขึ้นไป คนที่จะซื้อได้ต้องมีเงิน หรือ มิฉะนั้นก็ต้องมีกำลังกู้ได้
หากเป็นคนจนจริง ๆ ต้องกู้เงินมาซื้อบ้านเอื้ออาทร ก็น่าเห็นใจว่ารายได้ของเขาในแต่ละเดือนจะเพียงพอแก่ค่าเดินทางไปกลับทุกวัน และเหลือผ่อนส่งให้ธนาคารหรือไม่ (เทียบกับของเดิมที่เช่าบ้านราคาถูกอยู่ติดกับที่ทำงาน หรือ เจ้าของบริษัทมีสวัสดิการให้ที่พักฟรี)
รัฐเตรียมการรองรับปัญหาที่จะตามมาเหล่านี้หรือเปล่าครับ หรือพอใจที่บ้านขายดี มีคนสนใจเยอะ ทำให้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมากมายเท่านั้น
สำหรับผมยังไม่ลงความเห็นว่า โครงการประชานิยมนี้ประสบความสำเร็จใด ๆ และก็ยังไม่อาจลงความเห็นว่าเป็นการมอมเมาได้ครับ แต่คงไม่ช้าไม่นานนี้คงได้เห็นกัน
..........................................................
ยังไม่จบนะครับ มีอีกเยอะ แต่เห็นว่า ตัวอย่างแค่นี้ก็คงเพียงพอให้ทุกคนเก็บไปคิดเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลได้แล้วว่า เป็นประชานิยม หรือ มอมเมานิยมกันแน่
จากคุณ :
*bonny
- [
5 ส.ค. 46 09:17:30
]