ใครสร้างภาพตบตาประชาชน ?

    หนังสือพิมพ์สยามรัฐ คอลัมน์ สยามทัศน์ 28/8/46
    ถึงแม้ว่าสังคมไทยวันนี้ จะถูกนักการเมืองจำพวก “เขี้ยวลากดิน” จำนวนไม่น้อยชักจูงให้คนไทยเกิดความเคยชินกับการสร้างภาพ โกหก หลอกลวง ตบตาประชาชน ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องที่มีผลกระทบต่อความหายนะของชาติที่เป็นผลทำให้คนไทยทั้งชาติต้องร่วมกันเผชิญชะตากรรมอย่างแสนสาหัสโดยเกิดจากพฤติการณ์เอาแต่ได้มุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมืองจำพวกนี้ ประชาชนจะสังเกตเห็นได้จากนักการเมืองประเภทฉลาดแกมโกง บางประเภทก็เป็นนักการเมืองไร้กึ๋น หัวสมองว่างเปล่า มุ่งแต่การเข้าสู่อำนาจทางการเมืองโดยไม่สนใจใยดีกับการทำผลประโยชน์ให้กับประชาชน เพราะเกรงว่า จะไม่มีเครื่องมือไป “สร้างภาพ” ให้เห็นว่าตนเองและกลุ่มของตนเป็นนักการเมืองใสสะอาด แล้วนำความใสสะอาดจอมปลอมเหล่านี้มาตบตาประชาชนเพื่อขอคะแนนเสียงทางการเมืองอีกทางหนึ่ง ในอดีตมี
    ประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งจำนวนไม่น้อยตกหลุมพรางของนักการเมืองบางกลุ่มแล้วหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงให้กับนักการเมืองและพรรคการเมืองจำพวกนี้ให้เข้ามามีอำนาจทางการเมือง ผลกระทบที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับก็คือ ความหายนะทางเศรษบกิจการเงินของชาติที่มีปรากฏเป็นหลักฐานให้ได้เห็นต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน ผมเชื่อของผมว่า ในช่วงที่ใกล้ถึงฤดูการเลือกตั้งทั่วไปอีกไม่นานนี้ จะมีนักการเมืองที่เคยสร้างภาพตบตาประชาชนออกอาการ “กินปูนร้อนท้อง” เสนอหน้าสลอนออกมาแก้ตัวในพฤิตกรรมที่ประชาชนแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างออกนอกหน้า จนบางคนเก็บตัวไม่กล้าโผล่หัวออกมาสร้างภาพตาม:-)เดิมมานานแล้ว
    ใครเป็นใครในจำพวกนักการเมืองเหล่านี้บ้าง ประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งสามารถติดตามยลโฉมกันได้ตามอัธยาศัย… ข้อเขียน “สยามทัศน์” สัปดาห์นี้ของผมยังมีเรื่องติดค้างต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ที่ได้สัญญากับท่านผู้อ่านไว้ว่า ตามความเห็นของผม รัฐบาลชุดที่แล้วไม่ได้ปลดแอกประเทศไทยออกจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หรือดำเนินการอย่างที่นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเคยพูดชี้แจงผ่านสื่อมวลชนเอาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน คำว่า “ปลดแอก” ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542 ในหน้า 675 ระบุว่า คำนี้เป็นคำกริยา แปลความหมายว่า “ทำให้พ้นจากอำนาจหรือการกดขี่ ทำให้เป็นอิสระ” ดังนั้นการที่รัฐบาลไทยชุดใดจะกล่าวอ้างหรือแอบอ้างว่า รับบาลชุดนั้นนำประเทศไทยปลดแอกออกจากไอเอ็มเอฟ จะต้องเป็นไปตามความหมายที่พจนานุกรมได้กำหนดไว้ดังกล่าวข้างต้น หากมีการแอบอ้างโดยไม่ได้เป็นไปตามความหายนี้ ถือได้ว่ารัฐบาลชุดนั้นๆ มีพฤติการณ์โกหกหลอกลวงตบตาประชาชน พวกเราประชาชนคนไทยที่ต่างก็ได้รับผลกระทบจกาความหายนะทางเศรษฐกิจการเงินบนน้ำมือของนักการเมืองอย่างถ้วนทั่ว จึงสมควรต้องทำการสำรวจพฤติกรรมของนักการเมืองในแต่ละรัฐบาลว่า มีพฤติการณ์ดำเนินงานทางการเมืองในลักษณะ “ปลดแอก” หรือนำ “แอก” มาใส่บนบ่าให้กับประชาชนทั้งประเทศ พอจะสรุปเป็นประเด็นได้ดังต่อไปนี้
    1.มีรัฐบาลชุดใดบ้างที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดนั้นพร้อมด้วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไปลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง “จำนำ” ประเทศไทยกับไอเอ็มเอฟ ซึ่งได้แก่ รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง 1 ฉบับ และ หลังจากนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นรัฐบาลชุดนายชวน หลีกภัย ก็ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงจากฉบับที่ 2 ถึงฉบับที่ 8
    2.รัฐบาลชุดใดที่เป็นเจ้าของเรื่องเจ้ากี้เจ้าการในการตรากฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ 11 ฉบับที่ถูกประชาชนและสื่อสารมวลชนเรียกขานกลุ่มกฎหมายดังกล่าวนี้ว่า เป็น “กลุ่มกฎหมายขายชาติ”
    3.รับบาลชุดใดเมื่อเข้ามารับหน้าที่ในวาระแรกภายหลังการเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจการเงินแล้วยอมทำตามคำบงการของไอเอ้มเอฟอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่มีข้อต่อรองใดๆ ทำตนเหมือนกับเป็น “ลูก” ที่ดีของ “คุณพ่อไอเอ็มเอฟ” เช่น ขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินต้นในอัตราที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ผู้ประกอบการคนไทยมีปัญหาการขาดสภาพคล่องเป็นส่วนใหญ่และตกอยู่ในภาวะการณ์ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” ระยะนั้นจึงปรากฏว่าผู้ประกอบการคนไทยต้องล้มเลิกกิจการของตนเองอย่างสิ้นเชิง โดยที่ไม่มีคนในรัฐบาลชุดนั้นคนใดโผล่หัวออกมารับผิดชอบแม้แต่คนเดียว
    โดย ดุสิต ศิริวรรณ



    จากคุณ : ทองสร้อย - [ 28 ส.ค. 46 09:24:57 ]