ความคิดเห็นที่ 10
กษัตริย์ ร.๒ จึงรีบส่งคณะสมณทูตออกไปบูชาเจติยสถาน และช่วยดูนโยบายของอังกฤษ ปรากฏว่าอังกฤษไม่รังแกพุทธศาสนาในลังกา, จึงค่อยเลิกมองฝรั่งเป็น "ยักษ์" และเริ่มยอมรับว่าอาจจะเป็น "คน" บ้าง
ในรัชกาลที่ ๓ ตะวันตก (จักรวรรดิอังกฤษ) มาท้าทายกับสยามโดยตรง อังกฤษได้ยึดเกาะหมาก (ปีนัง) ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๗๘๕ แต่สยามแทบไม่สังเกตเพราะยังสู้พม่าอยู่ ถึง ค.ศ. ๑๘๒๑ สยามถูกบังคับให้ยอมว่าเกาะหมากเป็นของอังกฤษ และใน ค.ศ. ๑๘๒๕-๑๘๒๖ อังกฤษได้ยึดเมืองมอญ (พม่าตอนล่าง) ซึ่งเป็นทั้งที่น่ากลัว (เพราะประชิดแดนสยาม) และที่น่ายินดี (เพราะตัดฤทธิ์พม่า) ในรัชกาลที่ ๓ ฝรั่งเศสยังมิได้รุกมาทางลาวหรือเขมร และยังแพ้สงครามโดยยับเยินกับเยอรมนี ฝรั่งเศสจึงยังไม่น่ากลัวเลยในสมัยนั้น
ในสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อนี้, ไม่มีหลักฐานว่า ร.๓ หรือรัฐบาลของท่านจะอ่อนข้อต่ออังกฤษ (ทูตอังกฤษทุกคนกลับไปโดยผิดหวัง) หรือสนใจศิลปวิทยาฝรั่ง
อย่างไรก็ตาม, ในสมัย ร.๓ ยังมีหมู่ปัญญาชนสยามที่ตกอำนาจจึงมีเวลาดูและคิด, เช่น พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ, สมเด็จพระปิ่นเกล้า, สุนทรภู่ ฯลฯ อีกหลาย ๆ ท่านที่อาจจะมีนามหรือเป็นนิรนาม ท่านเหล่านั้นได้เห็นอะไรบ้าง? :-
เรือกลไฟลำแรกที่เข้ามาจอดหน้าวัง โดยเคลื่อนไหวเอง, ไม่ใช้ใบหรือฝีพาย การพิมพ์ภาษาไทยด้วยอักษรไทยของหมอสมิธ การปลูกฝีป้องกันโรคฝีดาษที่แต่ก่อนป้องกันไม่ได้ ดาราศาสตร์ฝรั่งที่แม่นยำกว่าดาราศาสตร์พราหมณ์
ข้อสังเกตที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเรียนภาษาละตินกับสังฆราช Pallegoix, ท่านน่าจะจับได้ว่า ภาษาละตินเป็นญาติใกล้ชิดกับภาษามคธของพระพุทธเจ้า, คือเป็น อารยภาษา แสดงว่า ฝรั่งมิได้เป็น "ยักษ์" ที่ไหน, แต่เป็น อารยชนที่มีอารยธรรม นี่แหละคือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะนำไปสู่การปล้ำสยามให้เหมือน "นานาอารยประเทศ" ในรัชกาลที่ ๕
ว่าอีกนัย, ปัญญาชนในกลุ่มชนชั้นปกครองสยามยังศรัทธาพุทธศาสนา ว่าเป็นส่วนที่เป็น "อารยะ" ในวัฒนธรรมสยาม, แต่เริ่มมองว่าในเรื่องอื่น ๆ ศูนย์กลางของอารยธรรมได้ย้ายไปเสียแล้วจากอุษาทวีปไปสู่ยุโรป, โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษ เรื่องนี้น่าเห็นใจ, เพราะในสมัย ร.๓-ร.๔ จักรวรรดิอังกฤษกำลังแผ่อำนาจมากที่สุด และดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด, ด้วยวิธีการปกครองอาณานิคมที่ก้าวหน้าที่สุด
เหตุการณ์ปัจจุบัน (ครั้ง ร.๓) ที่สนับสนุนโลกทัศน์ดังกล่าว คือการที่อังกฤษรุกรานเมืองจีนในสงครามฝิ่น (ค.ศ. ๑๘๓๙-๑๘๔๒) โดยจีนป้องกันตนเองไม่ได้ ทั้งนี้แสดงว่านโยบายพึ่งเมืองจีนเป็นร่มโพธิ์ของ ร.๓ ใช้งานไม่ได้แล้ว และชวนปัญญาชนสยามให้หันไปสนใจตะวันตกยิ่งขึ้น และหันหลังให้อุษาทวีปที่ดูล้าหลัง และไม่มีโครงการสำหรับอนาคต
ความคิดใหมี่ของปัญญาชนสยาม (รุ่น ร.๓ ) มีผลดีต่อสยามในฐานะประเทศเอกราชที่รักษาได้ตลอดมา, แต่ยังมีผลในทางลบ นั่นคือราษฎรชาวสยามส่วนใหญ่ตกเป็นคน "ไม่มีอารยธรรม" ที่ต้องถูกปกครองโดยราชการ (แบบอังกฤษปกครองอินเดีย) ในสมัย ร.๕-ร.๖ และยังต้องมีหน่วยราชการ (กรมศิลปกร) สอนให้รู้จักศิลปวัฒนธรรม (การร่ายรำทำเพลง) ตั้งแต่สมัยจอมพลแปลกขึ้นมา
นี่คือสถานการณ์ที่ห้อมล้อมปัญญาชนชาวสยามรุ่น ร.๓ แต่ก่อนจะพูดถึงจารึกหลักที่ ๑ ผมขอพิจารณาพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎและครูฝรั่งของท่าน
พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎกับนักปราชญ์ฝรั่ง เราไม่มีหลักฐานว่า ร.๔ คิดอย่างไร, เพราะท่านไม่เคยบันทึก, แต่เรายังมีหลักฐานผูกมัดว่า สมัยที่ท่านยังเป็นเจ้าฟ้าพระภิกษุ ท่านมี "เพื่อน" ที่ท่านนับถือมาก นั่นคือ สังฆราช Pallegoix (บาทหลวงฝรั่งเศส) และ Rev. Dr.Dan Bradley (สาธุคุณชาวอเมริกัน)
เราไม่มีสิทธิ์รู้ใจ ร.๔, แต่เราพอจะรู้ใจพระสหายสองคนนี้ เท่าที่เราทราบทั้งสองท่านหวังเผยแพร่คริสต์ศาสนา แต่ไม่เคยรับใช้รัฐบาลในการแผ่อำนาจของฝรั่งเศสหรือสหรัฐ ดังนั้นเราน่าจะเชื่อได้ว่าทั้งสองท่านหวังดีต่อสยาม และพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎคงจะไว้ใจและฟังเสียงท่าน
ถ้าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎถามพระสหายว่า "ในฐานชาวตะวันตก, ท่านต้องการเห็นสยามเป็นอย่างไรในอนาคต?", ทั้งสองท่านคงตอบอย่างนักปราชญ์ที่หวังดี ทำนองว่า "ต้องการเห็นสยามมีเสรีภาพในเรื่องศาสนา, อาชีพ และการค้า, มีกฎหมายที่แน่นอนสร้างความมั่นคงในการครองเรือนและการสืบสมบัติ, มีการปกครองที่ตั้งอยู่บนหลักเมตตาธรรม, มีเหตุผล, ไม่เอารัดเอาเปรียบ และฟังเสียงทุกข์ของประชาชน ฯลฯ"
อุดมการณ์เหล่านี้ล้วนปรากฎในจารึกหลักที่ ๑, แต่ไม่ปรากฏที่ไหนอื่นในเอกสารรุ่นคริสต์วรรษที่ ๑๓ (ไม่ว่าจะเป็นอุษาทวีปหรือยุโรป) แน่นอนที่เดียวอุดมการณ์ดังกล่าวเคยมีอยู่แล้วในคำสอนของพระพุทธเจ้า, ท่านขงจื้อ และ "ผู้ทำนาย" ชาวยิวเมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ ปี มาก่อน แต่ถึงสมัยกลางอุดมการณ์เช่นนี้ถูกละเมิดและถูกลืมมานานแล้ว (ทั้งในอุษาทวีปและยุโรป) โดยหลักการ "อำนาจนิยม" ขึ้นมาแทนที่ หลักการมนุษยนิยม (Humanism) และเสรีนิยม (Liberalism) เพิ่งมารื้อฟื้นในยุโรปในคริสต์วรรษที่ ๑๙ (หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส) เมื่อยุโรปกำลังลดอำนาจกษัตริย์, เลิกทาส, เลิกทรมานนักโทษ, เริ่มรับรองสิทธิประชาชน และเสริมอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร
จารึกหลักที่ ๑ ควรอยู่สมัยใด? จารึกหลักที่ ๑ นำสระเข้าแนวเดียวกันกับพยัญชนะ ซึ่งเคยมีที่ใดในอินเดีย, ลังกา, หรืออุษาคเนย์ ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชจนถึงปัจจุบัน คนคิดนำสระเข้าแนวพยัญชนะน่าจะเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ที่เจอะปัญหาการเรียง สระอิ, สระอี, สระอุ, สระอู พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นคนไทยที่เป็นเจ้าของแท่นพิมพ์ภาษาไทย/อักษรไทยคนแรกในรัชกาลที่ ๓
จารึกหลักที่ ๑ กำหนดชายแดนสุโขทัยด้านตะวันตก (ถึงหงสาวดี) และทางใต้ (ศรีธรรมราชนครถึงทะเลเป็นแดน), แต่ไม่อ้างชายแดนตะวันออก (ลาว/เขมร) ในรัชกาลที่ ๓ อังกฤษได้ยึดพม่าตอนล่าง (หงสาวดี) และกำลังแทะรัฐที่ถวายดอกไม้ฯ ในแหลมมลายูในสมัย ร.๓ ฝรั่งเศสเพิ่งถูกเยอรมนีขยี้และยังไม่คิดยึดลาวหรือเขมร คนเขียนหลักที่ ๑ ครั้ง ร.๓ คงไม่กลัวฝรั่งเศส, แต่สนใจมากที่จะอ้างสิทธิของสยามในพม่าตอนล่าง และในแหลมมลายูที่อังกฤษกำลังเหยียบย่ำ
ที่สำคัญที่สุด, จารึกหลักที่ ๑ สะท้อนปรัชญามนุษยนิม (Humanism) และเสรีนิยม (Liberalism) ที่กำลังเบิกบานในโลกตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ จารึกหลักที่ ๑ ไม่อ้างถึงทาสหรือการเกณฑ์ไพร่ ซึ่งเป็นหลักของสังคมในสมัยกลาง, ทั้งในยุโรปและอุษาทวีป
ในสายตาผม, จารึกหลักที่ ๑ จะเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจากฝีมือปัญญาชนชาวสยามในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ที่ช่ำชองพุทธศาสนา และยังคุ้นกับความคิดของนักปราชญ์ก้าวหน้าในยุโรปครั้งคริศต์ศตวรรษที่ ๑๙
ปัญหาที่เหลืออยู่คือ
ทำไม "พิมพ์เขียนสำหรับอนาคตสยาม" ฉบับนี้จึงถูกเก้บเข้าตู้หรือสาบสูญจากหลักฐานครั้ง ร.๔-ร.๕?
ทำไม ร.๔, ร.๕ ไม่นำจารึกหลักที่ ๑ มาอ้างอิงเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปการปกครองของท่าน?
"ความผิดหวังของ ร.๔" อย่าลืมว่าในรัชกาลที่ ๓ พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎคบแต่ฝรั่งที่เป็นนักปราชญ์และหวังดีต่อสยาม ใน ค.ศ. ๑๘๕๑ ท่านขึ้นครองราชย์แล้วต้องเจรจากับผู้แทนของรัฐบาลอังกฤษในอินเดีย ซึ่งไม่เป็นนักปราชญ์ แต่เป็นข้าราชการที่สนใจเฉพาะผลประโยชน์ของอังกฤษเท่านั้น
ใน ค.ศ. ๑๘๕๕ ร.๔ ยกร่างจารึกหลักที่ ๑ ให้เซอร์จอห์น เบาริ่ง ปรากฎว่าเซอร์อจอห์น เบาริ่ง ไม่สนใจจารึกหลักที่ ๑ แม้แต่น้อย
เรื่องอะไรท่านจะสนใจจารึกหลักที่ ๑ ในสมัยนั้นรัฐบาลอังกฤษไม่ต้องการให้ประเทศตะวัออกปกครองตนเองด้วยหลักมนุษยนิยมหรือเสรีนิยม, แต่อยากชวนให้ปกครองกันเองด้วยอำนาจบาตรใหญ่, เหมือนที่อังกฤษปกครองอินเดียด้วยระบบ Indian Civil Service (ICS) ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ, ไม่ฟังเสียงใคร
ในที่สุด ร.๔ จำเป็นต้องเก็บศิลาจารึกหลักที่ ๑ ไว้ในตู้ไม่ให้กวนอังกฤษ และ ร.๕ จะนำระบอบการปกครองแบบ ICS มาคุมสยาม โดยสมมุติว่า "เจ้านาย" เป็นผู้ดีอังกฤษ และราษฎรเป็นเพียงคนล้าหลังที่ต้องได้รับการปกครองจากเบื้องบน
ทั้งหมดนี้เป็นที่พอใจสำหรับจักรวรรดิอังกฤษ และทำให้สยามสามารถรักษาเอกราชไว้จนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนาสาธุ อย่างไรก็ตาม, ความสำเร็จครั้งนี้ยังได้ก่อความขัดแย้งทางสังคมที่เริ่มปรากฏในรัชกาลที่ ๖, แตกใน ค.ศ. ๑๙๒๓ และยังไม่สะสางทีเดียวจนทุกวันนี้
วิวัฒนาการวัฒนธรรมและสังคมสยามในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องการบทความอีกบทหนึ่ง (หรืออีกหลายบท) ที่ต้องเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในคริสต์วรรษที่ ๑๙ เพราะถ้าคนไทยปัจจุบันไม่ยอมรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับจักรวรรดิอังกฤษครั้ง ร.๓-ร.๔-ร.๕, ก็ยากที่จะเข้าใจสถานการณ์ต่อมาถึงปัจจุบัน (ค.ศ. ๒๐๐๐)
ในบทความนี้ผมสนใจเฉพาะศิลาจารึกหลักที่ ๑ และปัญญาชนชาวสยามครั้ง ร.๓ ที่มีพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นผู้นำที่รู้พุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง และยังรู้ปรัชญามนุษยนิยมและเสรีนิยมก้าวหน้าของตุวันตกสมัยนั้น, จึงสามารถสร้างจารึกหลักที่ ๑ เป็นอุดมการณ์ หรือ "พิมพ์เขียว" สำหรับอนาคตอันอุดมให้สยาม แต่แล้วสถานการณ์โลกสมัยนั้นไม่อำนวย, สยามจึงจำต้องรับระบอบการปกครองแบบ ICS แทนศิลาจารึกหลักที่ ๑
ในเรื่องนี้นักประวัติศาสตร์จะโทษใครไม่ได้ เพราะทุกคนเล่นตามบทบาทที่ประวัติศาสตร์กำหนดให้ อย่างไรก็ตามรัชกาลที่ ๔ (และพระสหาย) มีความคิดล้ำยุคของท่าน, มีสายตากว้างไกลเกินที่สมัยนั้นรับได้, จึงน่านับถือว่าท่านเป็นปัญญาชนชาวสยามรุ่นแรกที่แหวกม่านอดีตและปูพื้นสำหรับปัญญาชนสยมในอนาคต ที่อุดมการณ์ของท่านถูกลบล้างนั้นก็น่าเสียดายแต่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือท่านได้ปูพื้นไว้อย่างดีอยู่แล้ว
เป็นที่น่าเสียดายมากว่า ในรัชกาลที่ ๖ ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ถูกนำมาปัดฝุ่น, แล้วนักปราชญ์ทั้งไทยและฝรั่งต่างเชื่อกันว่าจารึกหลักที่ ๑ เป็นเอกสารโบราณสมัยพ่อขุนรามคำแหง (King Arthur ของไทย) ที่เล่าเรื่องสุโขทัย (Camalot ของไทย) ดังนั้นท่านไม่มีทางดูออกว่าจารึกหลักนี้เป็นวรรณกรรมสั่งสอน (Didactic Literature เช่นเดียวกับชาดกหรือนิทานอีสป) ที่ปัญญาชนสยามทำขึ้นมากลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เพื่อโต้ตอบกับตะวันตกที่มาท้าภูมิปัญญาของสยาม
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะรับจารึกหลักที่ ๑ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "ประวัติศาสตร์ปัญญาสมัยใหม่" (Modern Intellectual History)? หรือเป็น "ประวัติศาสตร์เพ้อฝันถึงอดีตที่ไม่เคยมี" (Fanciful History of a Non-existant Post)?
จากคุณ :
กุยแก
- [
6 ก.ย. 46 02:26:54
A:203.113.44.10 X:127.0.0.1, 192.168.1.253
]
|
|
|