ความคิดเห็นที่ 2
ธนาคารกลาง มีหน้าดูแลกำหนดนโยบายทางการเงิน เช่น ดูแลอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจ ลดดอกเบี้ยซึ่งเป็นต้นทุนทางธุรกิจเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำเพื่อกระตุ้นการลงทุนและจ้างงาน หรือขึ้นดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวเร็วเกินไปจนเกิดภาวะเงินเฟ้อหรือไม่เป็นไปตามพื้นฐานที่เราเรียกว่าเกิดเศรษฐกิจแบบฟองสบู่ นั่นเอง รวมทั้ง ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้มีค่าเหมาะสมไม่แข็งเกินไปจนทำให้สินค้าส่งออกของเราแพงจนขายไม่ได้ในตลาดโลก หรือค่าเงินอ่อนเกินไปจะทำให้หนี้สาธารณะในสกุลเงินต่างประเทศเพิ่มขึ้น ที่นี้ ธนาคารกลางจะเอาอะไรมาวัดว่า นโยบายการเงินในขณะนั้นเหมาะสมกับประเทศหรือไม่ นั่นคือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยรวมทั้งบรรดานักเรียนทุนของแบงค์ชาติที่ไปร่ำเรียนมาจากสำนักทางเศรษฐศาสตร์ชื่อดังในประเทศต่าง ๆ จะหยิบยก ทฤษฎีที่ตัวเองเชื่อถือมากำหนดเป็นนโยบายการเงินร่วมกับและ / หรือสอดคล้องกับนโยบายทางการคลังของรัฐบาล ซึ่งเห็นจะมี 2 สำนักใหญ่ ๆ ในระบบเสรีนิยมปัจจุบัน คือ เคนส์ และ นีโอคลาสสิก เราสามารถรู้แนวคิดใต้สมองของผู้มีอำนาจรัฐและแบงค์ชาติในขณะนั้นได้ว่ามีความคิดแบบใดโดยดูจากประวัติการศึกษาว่าจบมาจากที่ไหน ในที่นี้ผมจะพูดถึงทฤษฎีสำนัก เคนส์ ( Keynsian Theory ) และที่ผมบอกตั้งแต่ตอนต้น คือ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อผมนะครับ เพราะมันคือทฤษฎีที่มีสมมติฐาน( Assumption )ประกอบมากมาย ในทางการเงินระหว่างประเทศ ทฤษฎีการเงินที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและประยุกต์ตามแนวความคิดของ ทฤษฎีสำนัก เคนส์ คือ การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของ มันเดล - เฟลมมิ่ง โมเดล ( Mundell - Fleming Model on Exchange rate Determination ) ของ Robert A. Mundell (1963 ) และJ.. Markus Fleming ( 1962 ) ซึ่ง โรเบิร์ต มันเดล เพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ใน ปี 1999 โดยวิกฤตการเงินในเอเชียทำให้ทฤษฎีของโรเบิร์ต มันเดล และมาร์คัส เฟลมมิ่ง ได้รับความเชื่อถือมากขึ้นไปอีก ( หลังจากประเทศไทยเสียหาย เข้าโปรแกรมของ IMF ไปเรียบร้อย แล้ว) โรเบิร์ต มันเดล จบจากสองสถาบันชั้นนำทางเศรษฐศาสตร์ของโลกคือ MIT และ London School of Economics ที่เดียวกับอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ ของเรา ทฤษฎีของโรเบิร์ต มันเดล และมาร์คัส เฟลมมิ่ง สามารถอธิบายว่าทำไมธนาคารกลางของประเทศที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว ( Fixed Exchange Rate ) จึงไม่สามารถใช้นโยบายการเงิน( Independent Monetary Policy ) โดยการควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้เกิดการผลิต การจ้างงาน ในประเทศให้ได้รับประโยชน์สูงสุดได้ เมื่อยอมให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี ( Freedom of Capital Mobility ) ยิ่งระดับการปล่อยเสรีทางการเงินมากเท่าไหร่ นโยบายทางการเงินยิ่งไร้ความหมายมากขึ้นเท่านั้นในการอธิบาย ประกอบกับลักษณะกลไกในนโยบายทางการงินของไทยได้ดังนี้ครับ ในกรณีที่ประเทศใดใช้ระบบเศรษกิจแบบเปิดคือมีการค้าขายกับต่างประเทศ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว ( Fixed Exchange Rate ) ( ซึ่งประเทศไทยใช้ก่อนเกิดวิกฤตการเงิน ) นั้น เมื่อธนาคารกลางต้องการกระตุ้นการลงทุนและจ้างงานเพื่อเพิ่มผลผลิตในประเทศ ธนาคารกลางจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากธนาคารพาณิชย์และผู้ถือครองด้วยเงินสดเพื่ออัดฉีดเงินสดเข้าสู่ธนาคารพาณิชย์ทำให้สถาพคล่องในระบบธนาคารเพิ่มขึ้น เมื่อเงินสดในระบบมีมาก ดอกเบี้ยย่อมต้องลดลงตามหลักอุปสงค์ปุทาน เมื่อดอกเบี้ยลดลงจะส่งผล 2 ด้าน คือ 1 . การลงทุนทำธุรกิจจะมีมากขึ้นเพราะต้นทุนในการกู้เงินมาทำธุรกิจลดลง เกิดการจ้างงาน และผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ตามที่ธนาคารกลางอยากให้เป็น การลงทุนทำให้มีการนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบเพิ่มขึ้นทำให้ดุลการค้าของประเทศขาดดุล ( Trade Balance Deficits ) 2. เงินทุนต่างประเทศจะไหลออกเพราะผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยลดลง เพื่อไปลงทุนในที่ ๆ มีดอกเบี้ยสูงกว่า ซึ่งกรณีนี้จะทำให้ทุนต่างประเทศเกิดการขายเงินบาทและซื้อเงินดอลลาร์ไปลงทุนที่อื่นมากขึ้น เมื่อความต้องการเงินบาทน้อยลงทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง การไหลออกของเงินทุนนี้ทำให้บัญชีทุนเคลื่อนย้ายขาดดุล ( Capital Account Deficit ) เพื่อรักษาค่าเงินบาทให้คงที่ ธนาคารกลางจึงต้องนำทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์มาซื้อเงินบาทในตลาดเพื่อพยุงค่าเงิน ตามหลักอุปสงค์อุปทาน เมื่อธนาคารกลางแข่งประมูลเงินบาทในตลาดและขายดอลลาร์ ค่าเงินบาทจะแข็งขึ้น ค่าเงินบาทจึงสามารถรักษาอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัวไว้ได้ โดยแลกกับการสูญเสียทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนหนึ่ง เมื่อทุนสำรองน้อยลง ธนาคารกลางจึงต้องออกพันธบัตรขายเพื่อเอาเงินสดกลับคืนจากระบบธนาคารพาณิชย์ และนำไปแลกเป็นทุนสำรองต่างประเทศ ดอกเบี้ยในประเทศก็จะสูงขึ้น กลับไปที่จุดเดิม การกระตุ้นด้วยนโยบายทางการเงินนี้จะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับการจำกัดเงินทุนเคลื่อนย้ายโดยกฎหมายกฎระเบียบของธนาคารกลาง ถ้าเราควบคุมการไหลออกของทุนได้ดี เงินไหลออกช้า มาตรการจากจุดเริ่มต้นจนกลับไปที่จุดเดิมจะได้ผลในระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป แต่หากเราแก้กฎหมายการควบคุมเงินทุนปล่อยให้ไหลเข้าออกโดยไม่มีการควบคุม เราจะเสียทุนสำรองต่างประเทศอย่างรวดเร็วจนอาจเกิดวิกฤตได้ เหล่านี้เป็นทฤษฎีของโรเบิร์ต มันเดล และมาร์คัส เฟลมมิ่ง อธิบายอย่างคร่าว ๆ นะครับถ้าร่วมนโยบายการคลังกลไกจะซับซ้อนกว่านี้ หาอ่านได้จากหนังสือเศรษฐศาสตร์มหภาคทั่วไป ที่นี้มาดูว่าเกิดอะไรกับประเทศไทยก่อนเกิดวิกฤตการเงินปี 2540 เราใช้เลือกใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว ( Fixed Exchange Rate ) เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนในธุรกิจไม่ต้องกังกลกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน การดำเนินธุรกิจของเอกชนมีกำไรและขยายตัว เราใช้ระบบนี้ก่อนวิกฤตปี 2527 ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เสียอีก ตอนนั้นการค้าขายกับต่างประเทศมีสัดส่วนไม่มากนัก และแน่นอน ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชย่อมต้องเลือกการกำหนดนโยบายทางการเงินของตัวเอง ( Independent Monetary policy ) ดังนั้นเราจึงมีการใช้กฎหมายควบคุมธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศหลายฉบับ ( Capital Controls ) จนรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุญหะวัณ ประเทศไทยเริ่มมีสัดส่วนการค้าขายกับต่างประเทศสูงขึ้นมาก เงินลงทุนโดยตรง ( Foreign Direct Investment ) ไหลเข้าต่อเนื่อง จนในรัฐบาลหลัง ๆ ไทยพึ่งพาการส่งออกมากว่าเศษรฐกิจในประเทศโดยไม่ได้เตรียมพร้อมรับความเสี่ยง จากปัจจัยภายนอกประเทศ ประเทศไทยหลงไหลกับอัตราการเติบโตของ GDP สูง ๆ หลายปีติดต่อกัน นอกจากนั้นยังมีการตั้งหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนขึ้นมารองรับอีกด้วย รัฐบาลต่อมาทุกสมัยพอใจกับการตัวเลขทางเศรษฐกิจเติบโตสูง ๆ เพราะเป็นผลดีกับคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยก็รู้ครับว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนเกิดวิกฤตนั้นเกิดจากการกู้เงินต่างประเทศระยะสั้นซึ่งดอกเบี้ยจะถูกกว่าเงินกู้ระยะยาวและถูกกว่าดอกเบี้ยภายในประเทศ แล้วนำเงินกู้ระยะสั้นเหล่านั้นมาเก็งกำไร ปั่นราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะที่ดิน ธุรกิจอสังหาริมทัรพย์ รวมทั้งหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้เกิดจากภาคการผลิตจริง ค่าเงินบาทแข็งเกินความเป็นจริงมาก แต่ผู้มีอำนาจในธนาคารแห่งประเทศไทยก็เลือกดำเนินนโยบายทางการเงินตามฝ่ายการเมืองที่แต่งตั้งตนให้มีอำนาจในแบงค์ชาติ ทั้งที่ควรจะส่งสัญญาณเตือนหรือออกมาตรการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจฟองสบู่ แต่ขณะนั้นประเทศไทยยังโชคดีที่เรามีเกราะป้องกันคือ กฏหมายควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน มีข้อกำหนดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอยู่ ซึ่งทำให้การเก็งกำไรค่าเงินไม่สามารถทำได้หรือทำได้แต่ไม่เสี่ยงที่จะขาดทุน จนเมื่อถึงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมลตรีว่าการกระทรวงการคลังสมัยแรกปี 2537 ยกเลิกกฎหมายควบคุมธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ (capital control ) เปิดเสรีทางการเงิน BIBFsให้ทุนต่างชาติไหลเข้าออกได้โดยเสรี โดยอ้างว่าจะลดอุปสรรคของการลงทุนจากต่างชาติทำให้เศษรฐกิจไทยเติบโต นโยบายนี้มาจากไหนผมจะไม่พูดถึง นี่คือจุดเริ่มต้นของวิกฤตการเงินครับ เพราะตามที่ผมอธิบายปูพื้นมาข้างต้น ตามหลักการพื้นฐานที่เรียกว่า หลักการที่เข้ากันไม่ได้ของ 3 สิ่ง Incompatibility of Trinity คือ การใช้นโยบายการเงินที่เป็นของตัวเอง ( Monetary Policy Independence ) การคงอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว ( Fixed Exchange Rate ) การปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี ( Freedom of Capital Movement ) นั้นประเทศใดก็ตามไม่สามารถรักษาสภาพนี้ไปพร้อม ๆ กันได้นาน ตามทฤษฎีของโรเบิร์ต มันเดล และมาร์คัส เฟลมมิ่ง ถ้าประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชใช้นโยบายการเงินเป็นของตัวเองแน่นอน เมื่อเราปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี เราต้องเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัวพร้อมกันด้วย โดยต้องยอมให้เงินบาทอ่อนหรือแข็งค่าค่าตามความเป็นจริง ผมเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยรู้ครับแต่ไม่กล้าตัดสินใจทำ เพราะมันมีผลกระทบทางการเมือง โดยเชื่อว่าทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นมีเพียงพอในการรับมือจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างประเทศ นอกจากนั้นยังไม่มีการส่งสัญญาณเตือนภาคธุรกิจที่กำลังปั่นราคา สินทรัพย์อย่างเมามันจากการกู้ยืมเงินระยะสั้นนอกประเทศ นี่คือที่มาของความความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงของประเทศไทยโดยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย , นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมลตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้น จนถึงรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กองทุนต่างประเทศโดยเฉพาะกองทุนเก็งกำไรค่าเงินเริ่มจับตาตลาดเงินแถบเอเชียโดยมีการวิเคราะห์ค่าเงินและการแทรกแซงตลาดเงินของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ในแถบนี้ โดยเฉพาะกองทุน จอร์จ โซรอสซึ่งเคยทำให้ ธนาคารกลางอังกฤษเกิดวิกฤติมาแล้วในปี 1991 โดยการเก็งกำไรค่าเงินปอนด์ ในครั้งนั้นโซรอส ทำกำไรจากการลดค่าเงินปอนด์ 1,500 ล้านเหรียญในเวลาเพียงเดือนเดียว ( Jaffe and Machan ,Forbes, Nov 9, 1992 page 40-42 ) ซึ้งจะอธิบายต่อไปครับว่าการเก็งกำไรค่าเงินเขาทำกันอย่างไร

จากคุณ :
กบเหลาดินสอ
- [
10 ก.ย. 46 23:21:03
]
|
|
|