ความคิดเห็นที่ 1
สรรพากรเก็บภาษี BIBF เพิ่มเป็น 30%
ด้านความพยายามของ ธปท.ในการสกัดกั้นเงินทุนต่างชาติ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้รับการเปิดเผยจากนายสาธิต รังคสิริ ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพากร ว่า นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อธิบดีกรมสรรพากร ได้เซ็นอนุมัติในหลักการเรื่องการเพิ่มอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) ในส่วนของธุรกิจ out-in (การนำเงินกู้จากต่างประเทศเข้ามาปล่อยกู้ต่อในประเทศ) จากเดิมที่เก็บอยู่ 10% เป็น 30% ของกำไรสุทธิเหมือนธุรกิจทั่วไป ตามข้อเสนอของ ธปท.ที่บรรจุในแผนแม่บทพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อควบคุมปริมาณเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้า ซึ่งการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลของธุรกิจ out-in เพิ่มขึ้น 30% ของกำไรสุทธินั้น จะทำให้กรมสรรพากรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย ปีละ 50 ล้านบาท ทั้งนี้ กรมสรรพากรเตรียมนำเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและอนุมัติในเร็วๆ นี้
"ระบบการจัดเก็บภาษีธุรกิจบีไอบีเอฟในต่างประเทศ ไม่มีประเทศใดที่ให้สิทธิพิเศษลดหย่อนภาษีกับธุรกรรม out-in ทุกประเภทเก็บภาษีเหมือนธุรกิจทั่วไป แต่มีหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ หมู่เกาะลาบวน มาเลเซีย ที่มีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เป็นการเฉพาะในกรณีของกิจการบีไอบีเอฟที่มีการนำเงินทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศ หรือ out-out" นายสาธิตกล่าว
ผู้บริหารธนาคารรายหนึ่งกล่าวว่า ธปท.พยา ยามที่จะปิดช่องการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในทุกช่องทาง ซึ่งการเก็บภาษีธุรกิจ out-in เพิ่ม เป็นเพียงมาตรการหนึ่ง เนื่องจาก ณ ขณะนี้ที่ประเทศไทยมีสภาพคล่อง เงินบาทสูง และเพียงพอที่จะซัพพอร์ตธุรกิจภายในประเทศได้มาก จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างภาระให้กับการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท. อย่างไรก็ตาม มาตรการเพิ่มภาษีดังกล่าวจะช่วยชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติได้เพียงระดับเดียวเท่านั้น เนื่องจากยังมีช่องทางอื่นๆ อีกมากมายที่ ธปท.จะต้องพยายามไปปิดกั้นให้หมด
รัฐวิสาหกิจ-เอกชน แห่ระดมทุน
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) กล่าวแสดงความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยที่เติบโตดี ดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นและเตรียมที่จะขยายกำลังการผลิต โดย 3 เดือนหลังของปีนี้และปีหน้าจะเห็นภาพการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นสูงกว่า 500 จุด ตนมองว่าไม่น่าเป็นห่วง สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจ
ขณะที่นายชวลิต จินดาวณิค ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ความมั่นใจการลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างดี สอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกำลังการผลิตเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 70% แม้บางกลุ่มอุตสาหกรรมจะมีกำลังการผลิตเพียงแค่ 50-60% แต่บางกลุ่มขยายไปแล้วถึง 80% ซึ่งสัญญาณที่ดีเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มคิดระดมทุนเพิ่มเพื่อขยายธุรกิจ ส่วนใหญ่เตรียมเสนอขายหุ้นจองช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนนี้ และปีหน้าจะมีหลายบริษัทจ่อคิวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่จะแปรรูป
สำหรับ บล.ทิสโก้ปลายปีนี้เตรียมจะนำ 2 บริษัทขายหุ้นเพิ่มทุน วงเงินระดมทุนหลายพันล้านบาท และล่าสุดเตรียมขายหุ้นจองระดมเงิน 200 ล้านบาทของ บมจ. MFEC ซึ่งทำธุรกิจให้คำปรึกษาพัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 40 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท โดยอยู่ระหว่างสำรวจราคาที่เหมาะสมและความต้องการของนักลงทุนสถาบันในปลายเดือนกันยายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายหุ้นจองในต้นเดือนตุลาคมนี้
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายมีบริษัทเอกชนเตรียมออกหุ้นกู้จำนวนมากเพื่อนำไปลงทุนและรีไฟแนนซ์หนี้ โดยในเดือนตุลาคม บมจ.การบินไทย จะออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท อายุ 5-10 ปี, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 1.2 หมื่นล้านบาท อายุไม่เกิน 10 ปี เพื่อนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่จะครบกำหนด, บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย วงเงินไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท อายุ 4 ปี เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม
นอกจากนั้น ยังมีบริษัทที่จะเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้ประชาชนทั่วไป (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในปีนี้และต้นปีหน้า เช่น ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น, ไทยโอเลฟินส์, เจมาร์ท, โออิชิ กรุ๊ป, ไทยคอปเปอร์ฯ, สยามเอแอนด์ซี (อีซี่บาย), เนชั่น บรอดคาสติ้ง, เบียร์ไทย (1991), ทศท.คอร์เปอเรชั่น, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ, สามารถ ไอ-โมบาย เป็นต้น
---------------------------------- ความเห็นส่วนตัว เช่นเดียวกับกระทู้ที่แล้ว ตราบใดที่ "พื้นฐาน-โครงสร้าง" ของประเทศไทยเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้น ได้แก่ การศึกษาที่ทั่วถึงและต้องมีคุณภาพ (ไม่ใช่แค่ปริมาณโรงเรียน หรือปริมาณปริญญา) และมีการพัฒนาเทคโนโลยีใช้เอง ทำให้พึ่งพาตัวเองได้ (พัฒนาจากภายใน) .... GDP ก็จะบูม แล้วก็ตกแรงๆ เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาตักตวกทรัพยากร ไม่ว่าจะโดยตรง หรือผ่าน nominee ที่เป็นคนไทยกันเองนี่แหละ ไปเรื่อยๆ แล้วมันจะสะท้อนออกมาทาง ความเป็นอยู่ของคนไทยที่แย่ลงในระยะยาว อันเนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติที่ร่อยหรอและสึกกร่อน ไม่ว่าจะเป็นแร่ธาตุ อากาศพิษ น้ำเสีย ป่าไม้ที่ลดลงเรื่อยๆ ดินเสื่อม หรือปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสังคม ... เกี่ยวพันกันหมด เพราะโดยลำพังตัวเราขณะนี้ เราสร้างเทคโนโลยีเองไม่ได้เลย เราพึ่งพาต่างชาติ (ซื้อเทคโนโลยีเขา) หนักขึ้นทุกวันๆ
มีเงินดอลล่าร์ เยน ปอนด์ ฟรังก์ ไว้เต็มกระเป๋า ก็ไม่ได้หมายความว่ารวยได้หรอก ตราบใดที่เราพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ก็ต้องเอาเงินพวกนี้ไปซื้อเขามา ... สิงคโปร์ ญี่ปุ่นมันพึ่งพาตัวเองไม่ได้เพราะไม่มีทรัพยากรเลยหรือมีน้อย เลยต้องตุนทุนสำรองไว้ เป็นหลักแสนล้าน แล้วตัวเองก็มีบริษัทข้ามชาติไปตักตวงคนอื่น ... แต่ประเทศที่พึ่งพาตัวเองได้อย่าง ออสเตรเลีย แคนาดา คนก็น้อยแต่ตุนทุนสำรองไว้แค่ $20,000-$30,000 ล้านเอง แต่พยายามกอดทรัพยากรตัวเองไว้แน่น แล้วส่งบริษัทข้ามชาติตัวเอง (ที่มีเทคโนโลยี เครื่องไม้เครื่องมือพร้อม) ไปถลุงทรัพยากรคนอื่น ... ส่วนอเมริกาที่เป็นเจ้าในทุกด้าน ก็ใช้สรรพกำลังอย่างเดียว ทุนสำรองไม่ต้องห่วง คุมปริมาณเงินดอลล์ตัวเองอย่างเดียว
ส่วนของไทย มีทรัพยากรมาก แต่ถลุงกินเอง หรือเอามาทำของถูกๆบำเรอความสำราญคนอื่น ... อาการผันผวนที่มันเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจเราในยุคเสรีที่มันแรงขึ้นทุกวัน เพราะเราทำลายภูมิต้านทานเราเองจนหมดสิ้น
ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจังทั้งนั้น ... GDP และสกุลเงินทั้งหลายก็มนุษย์ด้วยกันเองแหละสมมติขึ้นมา แล้วมันก็เป็นเกมที่กำหนดขึ้นมาโดยผู้ที่เห็นโอกาส ก็ชิงความได้เปรียบก่อน .... ใครไปหลงแห่แหนตามกระแส เขาบอกว่าดี ก็เฮโล ใช้จ่ายเงิน ลงทุนบ้าคลั่ง โลภมาก ก็ตกเป็นเหยื่อ .... ตามประวัติศาสตร์ แม้แต่ในอเมริกาเองยังเคยเจ็บมาแล้ว .... ทำอะไรอย่าประมาทก็แล้วกัน
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 20:36:40
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 20:27:11
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 20:25:38
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 20:24:26
จากคุณ :
United States of America
- [
13 ก.ย. 46 20:21:26
]
|
|
|