จับกระแสคอร์รัปชัน "ยุคประชานิยม" สินบนเฟ้อ-กลโกงกลายพันธุ์ซับซ้อน (จบ)

    “คอร์รัปชัน” ตัวการละเมิดสิทธิมนุษยชน

    นางสุนี ไชยรส กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และอดีต สสร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) กล่าวว่า เจตนารมณ์ 30 ปี 14 ตุลาฯ ไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่ผลพวงที่ทำให้มวลชนลุกขึ้นนับแสนคนก็คือ การไม่พอใจต่ออำนาจเผด็จการที่กอบโกยและโกงกิน โดยไม่มีอำนาจใดๆ เข้าไปตรวจสอบได้ ส่วนเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 เปรียบเสมือนการปิดฉากเผด็จการ จนกระทั่งมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง โดยรัฐธรรมนูญเน้นในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีมาตรการและกลไกในการคุ้มครองเพื่อมิให้การเมืองเป็นของนักการเมือง และให้อำนาจเป็นของประชาชนทุกขั้นตอน โดยมุ่งกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่น เจตนารมณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเงื่อนไขป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน
    นางสุนีกล่าวต่อไปว่า ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนส่วนใหญ่ล้วนคาบเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน ขณะที่รัฐธรรมนูญมุ่งให้เกิดการถ่วงดุล 2 ด้าน คือส่งเสริมให้รัฐบาลมีอำนาจบริหารอย่างมีเสถียรภาพ ควบคู่กับการส่งเสริมให้ประชาชนเข้มแข็งและมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง แต่ที่ผ่านมาดุลอำนาจดังกล่าวค่อนข้างเอียง กลายเป็นปัญหาซับซ้อน คือเมื่อประชาชนลุกขึ้นคัดค้านโครงการต่างๆ เจ้าหน้าที่รัฐก็มักจะใช้เงื่อนไขปิดกั้นการใช้สิทธิของประชาชน ทั้งๆ ที่กฎหมายหลายฉบับเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ.แร่ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ บัญญัติว่า อบต.ต้องเห็นชอบและต้องไม่มีประชาชนคัดค้าน แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่บอกประชาชน เมื่อมีการคัดค้านก็รายงานเท็จ โดยระบุแต่เพียงว่า อบต. เห็นชอบ และหมกเม็ดข้อมูลจนกลายเป็นว่าไม่มีชาวบ้านคัดค้าน จนนำไปสู่การอนุมัติของรัฐมนตรีในหลายๆ โครงการ บางครั้งก็หว่านล้อมไม่ให้คัดค้าน โดยอ้างว่าจะต้องมีอีกหลายหน่วยงานมากลั่นกรอง เมื่อพ้นเงื่อนเวลาหนึ่งก็ทำให้ประชาชนเสียโอกาสในการคัดค้านตามสิทธิอันพึงมี นอกจากนี้ผู้ที่คัดค้านยังต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรมในการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
    “คนที่ลุกขึ้นมาคัดค้านโครงการต่างๆ ถูกจับกุมเกือบทุกโครงการ 80% ในการต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิทธิของเขา ตำรวจจะตั้งข้อหาอย่างร้ายแรงเกินขอบเขต ตั้งวงเงินประกันตัวที่สูงเกินไปในบางกรณี และกระบวนการต่อสู้คดีที่ยืดเยื้อ มันส่งผลให้การต่อสู้ของประชาชนเพื่อจะตรวจสอบการทุจริตเหล่านี้ก็คือ หนึ่ง-ตาย สอง-ติดคุก สาม-สู้คดีจนเหนื่อย และต้องยอมถอยหรือต่อรอง แต่เป็นการต่อรองกับฝ่ายที่ใช้กลไกแห่งรัฐเป็นเครื่องมือ”

    จับตา “แปลงสินทรัพย์เป็นทุน”

    นางสุนีกล่าวต่อไปว่า การขอประทานบัตรเหมืองแร่มักจะมีประชาชนใช้สิทธิคัดค้านกันมาก เนื่องจากเมื่อรัฐธรรมนูญให้หลักประกัน กฎหมายต่างๆ จึงได้กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติไว้อย่างรัดกุม เช่น กำหนดว่า อบต.ต้องเห็นชอบ ต้องไม่มีราษฎรคัดค้าน และต้องทำ EIA (รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) แต่กลับมีการซ่อนเงื่อนไขเล็กๆ ในระเบียบปฏิบัติบางข้อ โดยกำหนดให้อธิบดีมีอำนาจอนุมัติคำขอเปลี่ยนประเภทเหมืองแร่ จากเหมืองแร่ที่ไม่มีการระเบิดหินกลายเป็นเหมืองที่มีการระเบิดหินโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก อบต. ไม่ได้ขออนุมัติการใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ และไม่มีการทำ EIA ใหม่ ถือเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยช่องโหว่ของระเบียบปฏิบัติ
    อีกกรณีหนึ่งที่น่าจับตาก็คือกรณีการเช่าพื้นที่ป่า โดยกฎหมายกำหนดให้ราษฎรที่ไม่มีที่ทำกิน เช่าพื้นที่ป่าได้รายละ 20 ไร่ อัตราค่าเช่าไร่ละ 20 บาทต่อ 15 ปี แต่มีเงื่อนไขว่าผู้เช่าจะต้องทำสวนป่าเพื่อเพิ่มเนื้อที่ป่าให้มากขึ้น แต่จากช่องโหว่ของกฎหมายทำให้นายทุนเข้ามาแสวงหาประโยชน์ โดยจ้างชาวบ้าน 200 คนเข้าชื่อกันขอเช่าพื้นที่ป่า จากการตรวจสอบพบว่านายทุนจะให้ชาวบ้านปลูกยูคาลิปตัส ยางพารา และสวนปาล์ม ปัจจุบันหลายพื้นที่หมดอายุสัญญาเช่าแล้ว ขณะที่นายทุนก็ยังคงดำเนินการต่อเพราะเชื่อว่าจะได้รับการต่อสัญญา หรืออย่างน้อยก็เชื่อว่ากระบวนการยกเลิกสัญญาต้องใช้ระยะเวลา 3-5 ปี หรืออาจถึง 10 ปี ตัวอย่าง เช่น ป่ายูคาฯ หลายหมื่นไร่ที่อีสาน รัฐมนตรีประกาศแล้วว่าจะไม่ต่อสัญญาบางแปลง แต่ปัญหาก็คือใครจะเป็นผู้รื้อตอยูคาฯ จำนวนมหาศาล และใครจะเป็นผู้ฟื้นฟูป่า ขณะที่ไม่มีการเรียกเก็บเงินกองทุนใดๆ ไว้ จึงต้องใช้เงินของรัฐอย่างเดียว
    “กระบวนการดังกล่าวอาจไม่ใช่การคอร์รัปชัน อาจเป็นการประเมินทิศทางการพัฒนาที่ผิด แต่นโยบายต้องจับตามองก็คือ การแปลงสินทรัพย์เป็นทุน กล่าวคือ ตราบที่ยังไม่มีการปฏิรูปที่ดินและยังไม่ได้แก้ช่องโหว่หลายต่อหลายจุด นโยบายนี้จะเอื้ออำนวยต่อกลุ่มทุน และกลุ่มที่มีผลประโยชน์ในเชิงของที่ดิน สค.1 หรือที่ดินที่ไม่มีโฉนดจำนวนมหาศาล ให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ ดูร่างของเขาแล้วค่อนข้างน่ากลัว ถ้าประชาชนไม่จับตามองนโยบายที่ดูเหมือนว่าประชาชนตอบรับในเรื่องที่ดินนี้ จะเกิดอะไรขึ้น”

    เตือน ปชช.อย่าหลงเหยื่อเอื้ออาทร

    นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) กล่าวว่า ปัจจุบันเป็นยุคบูรณาการ การคอร์รัปชันจึงกลายเป็น “บูรณาโกง” ขณะที่ภาคประชาชนอยากให้การคอร์รัปชันลดลง แต่ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน คือ รัฐบาล กลับคอร์รัปชันเสียเอง แล้วจะจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันได้อย่างไร ตนเคยได้ยินรองหัวหน้าพรรคการเมืองในรัฐบาลที่ผ่านมา เปิดเผยว่าสาเหตุที่รัฐบาลก่อนไม่สามารถจัดการกับกรณีปัญหาการ “ทุจริตยา” ก็เพราะว่า หากจัดการรัฐบาลก็คงต้องพัง
    “ความจริงตรงนี้ก็ยังปรากฏในรัฐบาลนี้ หลายเรื่องถ้ารัฐบาลจัดการอย่างเอาจริงโดยไม่เกรงอกเกรงใจใคร ไม่ว่าจะเป็นทุจริตคลองด่าน ทุจริตสะพานข้ามแม่น้ำมูลที่อำเภอสตึก ทุจริตสนามกีฬาคลอง 6 ปทุมธานี และอีกหลายๆ โครงการ ถ้ารัฐบาลจัดการอย่างจริงจัง ผมว่ารัฐบาลก็พังนะ ขณะนี้บทบาทสำคัญกลับมาอยู่ที่ภาคประชาชน แล้วถามว่าประชาชนเคยได้รับการสนับสนุนหรือไม่ รัฐบาลบอกว่าประชาชนต้องเข้ามาร่วม หลายครั้งที่ คปต.ส่งข้อมูลถึงนายกฯ ทุกวันนี้ยังไม่มีคำตอบเลยนะครับ ส่งไปที่ต้นสังกัดหรือกระทรวงก็ไม่เคยมีคำตอบจนทุกวันนี้ แต่หน่วยงานอิสระอย่าง สตง. เรายื่นพร้อมกันเขาทำเสร็จแล้ว”
    นายวีระกล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะให้งบประมาณจำนวน 20 ล้านบาทแก่กองทุน สปต.เพื่อสนับสนุนสื่อมวลชนทำวิจัยสืบค้นกรณีคอร์รัปชัน แต่ปรากฏว่าให้เงินก้อนแรกมาเพียง 5 ล้านบาทเท่านั้น ท่าทีดังกล่าวสะท้อนถึงความไม่จริงใจในการปราบคอร์รัปชัน ขณะที่งานวิจัยของกองทุน สปต.หรืองานวิจัยของ TDRI ที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชัน รัฐบาลก็ไม่เคยให้ความสนใจ เมื่อนักวิชาการพูดความจริงก็โกรธ หาว่านักวิชาการมีอคติกับรัฐบาล
    “สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องยอมรับว่ามันเกิดในยุคประชานิยม เพราะรัฐบาลได้ให้เหยื่อกับประชาชน ปัจจุบันประชาชนเหมือนลูกนก คอยอ้าปาก ถ้าพูดมากเดี๋ยวเขาจะไม่ให้เหยื่ออีก ต้องทำตัวดีๆ เดี๋ยวบ้านเอื้ออาทร คอมฯ เอื้ออาทรก็มาแล้ว แต่รัฐบาลไม่ได้ให้เราฟรีๆ นะครับ เรากลายเป็นลูกหนี้ แต่คนอื่นได้กลายเป็นเจ้าหนี้ นี่ก็คือการคอร์รัปชันแต่แนบเนียนขึ้นโดยอาศัยนโยบายของรัฐ” นายวีระกล่าวในที่สุด

    ศูนย์ข่าวประชาสังคมต้านคอร์รัปชัน (PFEC news center) สำนักงานกองทุนสื่อประชาสังคมต้านคอร์รัปชัน (กองทุน สปต.) รายงาน

    ที่มา : www.pfec.or.th

    จากคุณ : PFEC news center - [ 17 ก.ย. 46 19:02:44 A:202.133.160.113 X: ]