ความคิดเห็นที่ 1 ผมขอประท้วงให้ถอนคำพูดที่ว่า"แพทย์ทั้งสถาบัน"โดยเฉพาะแพทย์จากมหาวิทยาลัยมหิดลออกนะครับ ไม่อย่างนั้นกรุณาพูดชัด ๆ ด้วยว่าแพทย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งศิริราช และรามาธิบดีนั้น ทำอะไรไม่เหมาะสมให้คุณไม่พอใจอย่างไร เมื่อไร เรื่องไหนขอข้อมูลชัด ๆ แยกแยะเป็นเรื่อง ๆ ครับ ไม่ใช่ว่าแพทย์สถาบันว่ากล่าวไม่ได้ แต่ มาว่ารวมสถาบันอย่างนี้คนดี ๆ ที่เขาทำงานโดยสุจริตและเหนื่อยยากจะรู้สึกอย่างไร คนชั่วต้องว่ากล่าว คนดีต้องสรรเสริญ แต่ต้องแยกแยะเป็นคน ๆ และเป็นเรื่องๆ ครับ อย่ามาว่าเหมารวมแพทย์ทั้งมหาวิทยาลัยมหิดลแบบนี้ทั้งหมดครับ ขอประท้วงให้ถอนคำพูดว่าแพทย์สถาบันมหาวิทยาลัยมหิดลออกครับ เรื่อง 30 บาท ถ้าคุณถอนคำพูดนี้แล้ว ผมจะมาอภิปรายทีหลังครับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 46 19:02:53 จากคุณ : siktp - [ 23 ก.ย. 46 18:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่มีหมอคนไหนบอกว่าคนไข้ไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้หรอกนะครับ กรุณาทำความเข้าใจใหม่ด้วยนะครับ ของอย่างนี้มันเหมือนคุณกำลังเถียงอยู่กับเซียนรถ เซียนพระ แล้วคุณจะไปรู้ดีกว่าพวกเขาได้อย่างไร เหมือนกันครับ หมอเขาอยู่ในวงการ รู้ตื้นลึกหนาบาง อะไรเป็นอะไร คุณจะไปรู้ดีกว่าเขาได้อย่างไรครับ คนคิดโครงการก็เหมือนกันครับ เขาต้องการหาเสียงให้คนเลือกเขา พอได้รับเลือกก็เลยจำเป็นต้องทำ ไม่ทำก็ไม่ได้ เขาก็แค่นั่งเทียนคิดเท่านั้น ในทางปฏิบัติแล้วจะดีแค่ไหน เวลาจะเป็นเครื่องตัดสิน "สมมุติ" ว่าโครงการนี้ไม่ดีจิง ต่อไประบบการแพทย์ล้มเหลว ตอนนั้นเยาวชนรุ่นหลังจะออกมาประนามแพทย์รุ่นก่อนว่าไม่ยอมทำอะไร อยู่เฉยๆ ไม่ยอมประท้วงปล่อยให้โครงการไม่ดีออกมา ผมขอให้เขาทราบไว้ด้วยว่า ยังมีประชาชนโง่ๆ กลุ่มนึงด้วยที่ออกมาด่าว่า หมอที่ออกมาคัดค้าน ว่าเห็นแก่ตัว ทำให้พวกเขาหมดกำลังใจในการที่จะออกมาคัดค้านในสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น แล้วที่คุณแสดงความเห็นเชิงที่ว่าแพทย์เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียวไม่คิดถึงคนไข้ ผมคิดว่าคุณเป็นคนที่มีจิตคิดอกุศลอย่างแรง จุดประสงค์ของกระทู้นี้คืออะไรครับ ดูเหมือนจะตั้งออกมาเพื่อด่าแพทย์โดยเฉพาะเลยนะครับ .. สร้างความร้าวฉานชอบจังนะครับ คุณ siktp บัวเหล่าที่ 4 สอนไปก็ไม่มีประโยชน์ครับ เมื่อยมือพิมพ์เปล่าๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 46 20:00:49 จากคุณ : MagicMyth - [ 23 ก.ย. 46 19:43:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ความคิดเห็นที่ 2   ไม่มีหมอคนไหนบอกว่าคนไข้ไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้หรอกนะครับ กรุณาทำความเข้าใจใหม่ด้วยนะครับ แล้วที่คุณแสดงความเห็นเชิงที่ว่าแพทย์เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียวไม่คิดถึงคนไข้ ผมคิดว่าคุณเป็นคนที่มีจิตคิดอกุศลอย่างแรง จุดประสงค์ของกระทู้นี้คืออะไรครับ ดูเหมือนจะตั้งออกมาเพื่อด่าแพทย์โดยเฉพาะเลยนะครับ .. สร้างความร้าวฉานชอบจังนะครับ คุณ siktp บัวเหล่าที่ 4 สอนไปก็ไม่มีประโยชน์ครับ เมื่อยมือพิมพ์เปล่าๆ ครับ จากคุณ : MagicMyth  - [ 23 ก.ย. 46 19:43:53 ] I agree.... แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 46 21:03:34 จากคุณ : Athenae-> - [ 23 ก.ย. 46 20:59:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่าเราพูดกันมากพอแล้วหละกับเรื่องระบบ 30 บาท ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ปัญหาที่สำคัญที่หลายคนพูดไว้คือเรื่องงบรายหัวที่จัดสรรน้อย นำไปสู่คุณภาพบริการ กลับไปดูกระทู้เก่าๆดีกว่า จากคุณ : แพทย์ (ไป่ฉี) - [ 23 ก.ย. 46 22:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมลืมคำพูดว่า บางคน ครับ ขอโทษด้วย จริง ๆ ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่า ผมไม่ได้เหมารวม (มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว) พูดให้ชัดเจน ว่าแพทย์บางคนแล้วกัน ตกลงเอาเป็นว่า รอดูว่า คนไข้ได้รับประโยชน์มากมาย เพียงใดนะครับ ขอข้อมูลแล้วกันว่า คนใช้ประมาณกี่คน ได้รับโอกาสไปสักกี่คน แล้วถ้าโครงการนี้ล้ม คนจะโชคร้ายไปกี่คน จริง ๆ เรื่องแพทย์ทำงานหนักแค่ไหนถึงพอดี ได้เงินแค่ไหนถึงพอดี "ใครกำหนดได้ครับ" แล้วที่เป็นอยู่ น่ะ "รู้ได้ไงครับว่าพอดีแล้วไม่ได้น้อยไปหรือมากไป" หรือ "แค่ไม่อยากเปลีย่นแปลง ไม่อยากทำงานมากขึ้น" ผมมองว่า ถ้าแพทย์ "บางคน" ยังอยากขี่รถเบนซ์ ซื้อหลุย แต่งตัวดี ๆ กินอาหารดี ๆ เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอกครับ ถ้าจะปฎิรูป มาปฎิรูประบอบสั่งสอนดีกว่า จากคุณ : t - [ 23 ก.ย. 46 22:51:47 A:203.113.36.11 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมคนบ้านแพ้วโดยกำเหนิดยังไม่เข้ารักษาที่โรงพยาบาลบ้านแพ้วเลย ไอ้ป้ายที่เขียนว่าถ้ารอเกิน 15 นาที ให้ติดต่อที่เคาท์เตอร์ได้เลยสมควรที่จะเอาออกซ๊ะ บางทีรอเป็นวัน หมอ 2 คน มีคนไข้ 200 คนรออยู่หน้าห้อง มัเป็นตัวเลขที่สมดุลแล้วเหรอ 30 บาทอ่ะน๊ะ ไป ร.พ.สนามจันทร์ หรือ ร.พ. มหาชัยเถอะ ถ้ารักชีวิตคนที่เรารัก จากคุณ : ฆ่าราชการ - [ 23 ก.ย. 46 23:08:14 A:203.155.186.99 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 คือถ้ามองเฉพาะมุมผู้รับบริการอย่างเดียว แน่นอนว่าต้องดี เพราะเป็นเหมือนโปรโมชั่นสินค้าฟรี หรือ ราคาถูก แต่อย่าลืมว่าคุณต้องมองในมุมให้ผู้บริการด้วยว่า ด้วยระบบแบบนี้จะสามารถสร้างบริการที่ได้คุณภาพพอหรือไม่ และในอนาคตจะเป็นอย่างไร กรุณามองหลายๆมุมนะครับ เพราะเท่าที่เห็น รัฐบาลจะมองมุมเดียวคือ ดูแต่ ผู้รับบริการ ไม่สน ผู้ให้บริการ จากคุณ : plamocherid - [ 23 ก.ย. 46 23:54:56 ]

ความคิดเห็นที่ 8 โครงการ 30 บาท มาจากนักการเมือง เป็นผลิตผลจากสมองขี้เลื่อยของนักการเมือง ที่หวังแต่เพียงคะแนนเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะจนเดี๋ยวนี้ ยังไม่มีใครอธิบายได้ ว่าตัวเลข 30 บาทนั้น เอามาจากไหน คุณ t เจ้าของกระทู้อาจจะเป็นลูกไล่ขาประจำ ของนักการเมืองเจ้าของโครงการนี้ น่าจะไปถามจ้าวนาย ไม่ใช่มาไล่แต้มบรรดาหมอ ก่อนจะมีระบบ 30 บาท มีระบบที่ดีกว่านี้เสียอีก คือคนยากจน สามารถรักษาฟรีได้ แม้ผู้สูงอายุ เกิน 60 ปีตามบัตร ก็รักษาได้ฟรี เด็ก 0-12 ขวบ ก็ฟรี รักษาแล้ว เดินเขาหาฝ่ายสังคมสงเคราะห์ รพ บอกว่าไม่มีเงิน ก็ได้ฟรี (ข้อสุดท้ายนี้ ผมพบปะมาแล้ว จากคนรู้จักกัน) คำพูดของคุณที่ว่า "30 บาท ทำประโยชน์ให้คนมากเท่าไหร่" นั้น มันแสดงว่าคุณไม่มีข้อมูลดีพอ ควรไปศึกษาของเดิมมาใหม่ แล้วค่อยมาพูด เป็นตุเป็นตะ จะได้ไม่ขายหน้า โดนด่าฟรีๆ สุภาษิตฝรั่งเขาว่า "ก่อนจะรื้อรั้วอะไรทิ้ง ให้ไปถามไถ่ให้รู้เสียก่อน ว่าแต่เดิม เขาสร้างรั้วนี้ไว้เพื่ออะไร" รัฐบาลนี้ จู่ๆ ก็เอาโครงการนี้มาทำทันที โดยไม่ถามผู้ปฏิบัติ แม้แต่คำเดียว และแถมยังทำลอยตัว เอาแต่คะแนนนิยม ปล่อยให้ผู้ปฏิบัติลำบาก จนลาออกไปกว่า 2000 คนแล้ว ก็สมควร ที่จะต้องพบกับความล้มเหลว สมน้ำหน้า!!! จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 23 ก.ย. 46 23:57:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ T เป็นบุคคลในวงการสาธารณสุขที่มีความรู้สูงพอสมควร แต่เป็นการแกล้งโง่หรือครับ ที่อ้างถึงสถาบันซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทำไมครับแพทย์จากเชียงใหม่ จากมอ. ก็มีพระราชบิดาเหมือนๆกัน หรือคุณไม่พอใจม.มหิดล เป็นพิเศษ (หรือสอบเข้าไม่ได้เอ่ย) ส่วนเรื่อง 30 บาท ถ้าคุณเคยคุยกับชาวบ้านจริงๆบ้างหรือยังครับ เคยรับรู้บ้างไหมว่าคนที่เขามีทางเลือกหันไปเลือกเข้ารพ.เอกชนกันมากแค่ไหนแล้ว วันก่อนเพิ่งคุยกับแพทย์รุ่นพี่ที่อยู่เอกชนเองยังพูดเลยครับ ว่าตั้งแต่รพ.เขาเลิก30บาทแล้วรายได้เพิ่มขึ้นเพียบแล้ว แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 46 00:28:18 จากคุณ : เดสโส่ (เดสโส่) - [ 24 ก.ย. 46 00:27:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่าก็ดีนะ คนที่พอมีก็ไปโรงพยาบาลเอกชนบ้างก็ถูกต้องแล้ว จากคุณ : ต้วน - [ 24 ก.ย. 46 01:46:40 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เสียงของคนจน มักจะไม่ดังเท่ากับชนชั้นอื่นในสังสม ผู้ที่แสดงความคิดเห็นใน พันทิพย์ ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจน ถ้าอยากรู้ความรู้สึกของคนจนต้องถามคนจน ถามคนมีอันจะกินก็จะได้เหตุผลของคนมีอันจะกิน ถามหมอก็จะได้เหตุผลของหมอ จากคุณ : หนอนหนังสือ - [ 24 ก.ย. 46 03:25:25 A:203.107.149.111 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณคุณ T ที่ clear ให้นะครับ ประเด็นที่สำคัญที่สุด เราค้าน 30 บาท ไม่ได้ให้ล้มโครงการครับ แต่ให้แก้ปัญหามากมายที่เกิดขึ้นให้ครับ ผมแค่ยกตัวอย่างประเด็นปัญหาที่เข้าใจง่าย กระทบตรง ๆ กับชาวบ้านให้ดูก็แล้วกันครับ จากกระทู้ไทยคลินิก และที่แพทย์ทั่วไป ๆ ประสบกันครับ 1.งบหมดครับ ทำให้สั่งยาเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไป เดิมเรามีงบช่วยเหลือที่เก็บได้จากผู้มีอันจะกินครับ "ตอนแรกผมก็คิดแบบคุณหมอแหละ รักษาแบบเต็มที่ไม่กลัวเจ๊ง รักษาได้ 9 เดือน ยาขาดหลายๆตัวอีก 3 เดือน ให้ไปซื้อยาข้างนอกมารักษา ก็มาว่าหมอที่รักษาอีก ทั้งที่ไม่ใช้ความผิดของเราซักหน่อย เลยใช้รักษาแบบกลางๆคือยาถูกหน่อยตั้งแต่ต้น แต่พอให้ใช้ได้ทั้งปีดีกว่า แล้วก็บอกคนไข้ทุกครั้งว่างบ 30 บาทมันน้อย ต้องใช้ยาราคาถูกหน่อย เขาพอเข้าใจกว่าไปซื้อยาข้างนอก " 2.ถูกฝ่ายบริหารกดงบ ทำให้มาตรฐานการรักษาพยาบาลต่ำลงครับ ุคุณหมอคนไหนคิดว่า ภายหลังเข้าระบบงบประมาณแบบ 30 บาท รักษาทุกโรคแล้ว รพ. รัฐส่วนใหญ่ ยังรักษามาตราฐานการรักษาที่ดีได้เหมือนเดิมบ้าง ( เอาแค่ เรื่องของ Lab. investigation และยา โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ก็พอ - ไม่ได้ว่าทุก รพ. นะ ) ลองมีพ่อหรือแม่ หรือญาติพี่น้อง ป่วย แล้ว admit สิ อย่าให้คนใน รพ.รู้นะว่า คุณเป็นหมอ ปล่อยให้ หมอเจ้าของไข้รักษาไปเลย ให้พยาบาล และ จนท. ดูไปเลย เราแอบดู ห่างๆ ผมเจอมาแล้วครับ เกือบไม่รอด ถ้าไม่ย้ายก่อน ไม่ไตวาย ก็ตายที่ รพ. นั่นแหละ ตอนหลังได้คุยกับน้องหมอเจ้าของไข้ แล้วก็ปลงในระบบ - เข้าใจไม่ได้ตำหนิ คุณหมอเจ้าของไข้เลยนะครับ รพ.ที่ผมเคยใช้ทุน ทั้ง รพท. และรพช. ผมว่ามาตราฐานการรักษาลดลงนะ  เยอะด้วย เพราะงบประมาณไม่พอ 3.งบบางอย่างที่รพเคยให้เมื่อคนไข้จ่ายเองไม่ได้ 30 บาทก็ตัดทิ้งครับ ยกตัวอย่างตรงนี้เมื่อเริ่มโครงการอาจารย์โรงเรียนแพทย์บางท่านได้ออกมาอภิปรายด้วยน้ำตาทีเดียวครับ เพราะผู้ป่วยบางรายที่รักษากับโรงเรียนแพทย์กันมานานนั้น ถูกห้ามจากโรงพยาบาลต้นสังกัดไม่ให้มารักษาครับ ให้กลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา ท่านทราบดีว่าโรคอย่างที่รักษากันอยู่คนไข้คนนั้น เมื่ออยู่ในมือผู้ไม่เชี่ยวชาญผู้ป่วยตายแน่ ๆ ครับ และระบบเดิมนั้นเราทำให้การรักษาบางอย่างโรงพยาบาลช่วยออกให้ครับ เช่นการฟอกไต แต่ระบบ 30 บาทยกเลิกตรงนี้ทั้งหมดครับ ให้ผู้ป่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองครับ 4.คิวการรักษาของคนจนจริง ๆยาวขึ้นครับ เพราะมีคนที่มีอันจะกินมาใช้ครับ เดิมโรงพยาบาลราชวิถีแผนกหนึ่งมีคิวการรักษาประมาณ 1-2 เดือนครับ คนที่มารักษาส่วนใหญ่เป็นคนฐานะไม่ดีครับ พอเริ่มโครงการ 30 บาท ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือคนที่ร่ำรวย ใส่ทองเส้นละ5 บาท 10 บาทมาใช้บริการจนคิวการรักษาเป็น 3-4 เดือนครับ เดิมโรงพยาบาลเคยได้รับการอุปการะการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลจากคนมีอันจะกิน แล้วนำมาให้สงเคราะห์คนยากจน ตอนนี้ไม่มีใครยอมจ่ายครับ กลายเป็นว่าคนที่ยากจนจริง ๆ นั้น คิวการรักษายาวขึ้นครับ จริงๆ คุณลุงคุณป้า เขาก็ยังไม่บ่นนะครับ มีแต่คนที่ใส่ทอง 5-10 บาทมาบ่นแทนครับ ว่าทำไมคิวรักษาโรคหัวใจ โรคมะเร็งถึงได้ยาวขนาดนี้ http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action=display;num=1064057056 แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 46 06:13:05 จากคุณ : siktp - [ 24 ก.ย. 46 06:12:05 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ลองมองมุมนี้ดูซิครับ!!! มีผู้มีอันจะกินท่านหนึ่ง กระดูกตะโพกหัก....ไปผ่าตัดรักษาโดยใช้โครงการ30บาท.หมอกระดูกเตรียมจะผ่าตัดให้. ก็ไม่ทราบว่าผู้ป่วยไปรู้มาจากที่ไหนว่าข้อตะโพกเทียมมีหลายเกรด....เขามายื่นคำขาดกับหมอเลยว่าจะต้องเอาแบบที่ดีที่สุด!!!ถ้าเอาแบบเกรดลองลงมา แล้วภายหลังต้องมาเปลี่ยนอีก เขาจะฟ้องหมอ!!!(ของแพงใช้วัสดุที่ทนทานกว่าประมาณ20% ทำให้โอกาสจะชำรุดน้อยกว่า)....ของแพงสุดนั้นแพงกว่าแบบธรรมดาเป็นแสนบาท.มันก็คล้ายกับจ่าย400000แต่จะขับเบนซ์ ไม่ยอมขับซิตี้!!!lสุดท้ายรายนี้ก็ได้ขับรถเบนซ์สมใจ.... จากคุณ : ตรงประเด็น - [ 24 ก.ย. 46 08:10:56 A:202.183.135.40 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 สมัยก่อนมีโครงการรักษาฟรีจริงคือผู้ป่วยอนาถา แต่ทราบหรือไม่ครับว่ามีหลายคนก็ไม่ทราบว่ามี และคุณทราบไหมครับว่าพรรคพวกที่อยู่ในโรงพยาบาลเหล่านั้นก็ใช้บริการนี้ไปซะเยอะ ชาวบ้านหลายคนไม่ค่อยรู้เรื่องก็ต้องจ่ายเงินอยู่ดี สำหรับโครงการ 30 บาท ใครจะตำหนิอย่างไรผมไม่ทราบ ตัวเลข 30 บาทมาจากไหนผมก็ไม่สนใจ แต่ที่ผมทราบก็คือ ภรรยาผมใช้บริการ 30 บาท ที่ รพ.คลองหลวง กับที่สาธารณสุข คลอง 6 ก็จัดอยู่ในระดับพอใจ ค่าหมอและค่ายาทั้งหมด เมื่อเทียบกับคุณภาพ โดยรวมแล้วก็ดีกว่าไปเสียเงินจ่ายราคาเต็มๆที่คลีนิค หรือโรงพยาบาลเอกชน ขอให้มองภาพรวมทั้งหมดครับ และจุดใดที่มีปัญหาอาจจะต้องไปแก้แต่ละจุดให้ตรงประเด็น จากคุณ : CJ (chairakj) - [ 24 ก.ย. 46 08:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 มีคนพอใจบ้างก็ยังดีนะคะ แต่ขอตอบเจ้าของกระทู้ในแง่โครงการ 30บาทให้ประโยชน์ประชาชนอย่างไรบ้างค่ะ *คนมีฐานะ ก็ได้มาร่วมใช้โครงการด้วย *คนพอมีเงินใช้บ้าง เคยซื้อบัตรสุขภาพ 500 บาท/ครอบครัว/ปี ไม่ต้องซื้อแล้ว มาร่วมใช้ด้วยคน *คนจนๆ เดิมใช้สังคมสงเคราะห์ไม่ต้องจ่ายตังค์ ก็ยังคงไม่ต้องจ่ายตังค์ ****แต่คนทั้งหมดนี้ต้องรอคิวตรวจนานขึ้น แต่ได้พบแพทย์ในเวลาสั้นลง (เพราะคนมาก)...คนเหล่านี้ได้ยาในจำนวนจำกัดต่อครั้ง...คุณภาพยาที่จำกัด(เพื่อให้เหมาะสมกับจำนวนเงินจากโครงการที่จำกัดจำเขี่ยยิ่งกว่า)...การตรวจLabที่จำกัด(ด้วยเหตุผลเดิม)...การให้การรักษาพิเศษเท่าที่จำเป็นหรืออาจต่ำกว่ามาตรฐาน(ด้วยเหตุผลเดิม คือการเงิน / ดุลรายรับ ร่ายจ่ายไม่พอดีกัน..อย่างมหาศาลเสียด้วย) ไม่ได้บอกว่าเนื้อหาโครงการไม่ดีค่ะ แต่ต้องปรับปรุงระบบดำเนินการอย่างมาก และรวดเร็วด้วย ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้ จากคุณ : พริกขี้หนู - [ 24 ก.ย. 46 09:43:05 A:202.133.163.37 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมเคยได้ลองใช้บริการ 30 บาท บ้างแล้วที่ รพ. สมเด็จพระปิ่นเกล้า การบริการก็พอใช้ได้ เหมือนกับตอนที่ยังไม่มีโครงการ 30 บาท ส่วนใหญ่หมอและพยาบาลก็บริการดี แต่จะมีบ้าง คนเท่านั้นที่รู้สึกจะป่วยกว่าคนไข้อีก ผมว่าส่วนใหญ่จะอยู่ที่นิสัยหรือสัน...ของผู้ให้บริการมากกว่านะครับ ถ้าเจอคนที่นิสัยดีก็โชคดีไป จากคุณ : ส่วนตัวที่เคยเจอมา (ต้วน) - [ 24 ก.ย. 46 09:54:23 ]

ความคิดเห็นที่ 17 *ฟังข่าวเมื่อเช้า ผู้บริหารรพ.ศิริราชบอกว่า ก่อนมี30บาทรักษาทุกโรคโรงพยาบาลจ่ายเงินผู้ป่วยประชาสงเคราะห์ ปีละ 500ล้านบาท หลัง30บาท โรงพยาบาลจ่ายแค่ 200ล้านบาท จากคุณ : เลดี้..จริงๆนะ - [ 24 ก.ย. 46 10:25:42 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นเรื่องของการปรับระบบบริหารของโรงพยาบาลมากกว่า หากโรงพยาบาลใดปรับได้ดีให้การบริการคนไข้ได้อย่างเหมาะสมผมเชื่อว่าคนไข้ก็จะชื่นชมบุคลากรโรงพยาบาลนั้น เป้นผลบุญที่จะตกทอดให้บุคลากรสาธารณสุขนั้นด้วย หากโรงพยาบาลใดไม่ยอมปรับตัวในการให้การบริการ มีแต่ออกมาบ่นๆๆๆ ด่าๆๆๆขู่ๆๆๆ ผมก็เชื่อว่าพูดยังไงๆก็ไม่รู้เรื่องกันแน่ ผมอยากให้บุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ลองมองปัญหาแล้วเอาประชาชนเป็นตัวตั้งดู แล้วท่านจะพบทางออกของปัญหาอย่างไม่ยากเลย เรื่องเงินทองออกจะเป็นเรื่องรองไปเสียด้วยซ้ำ ปัญหามีตรงไหนก็แก้ไขได้ค่อยๆพูดค่อยๆจาเดี๋ยวก็คลี่คลายไปได้ด้วยดี ไม่ใช่ว่าเอะอะ อะไรก็ออกมาขู่ๆๆๆด่าๆๆๆบ่นๆๆๆ ลากมาเป็นประเด้นทางการเมืองไปหมด ไม่เป็นผลดีต่อใครหรอกครับ เรื่องแพทย์ ผมอยากให้มองแบบอย่างแพทย์อาวุโสหลายๆท่านที่ได้สร้างชื่อเสียงแก่วิชาชีพแพทย์มาโดยตลอด อย่างเช่น อาจารย์หมอประเวช วะสี,อาจารย์หมอเสม พริ้มพวงแก้ว และอาจารย์หมอบรรลุ ศิริพาณิชที่ทำงานเสียสละมาตลอด ผมชื่นชมแพทย์ดีๆทุกๆท่าน(ทั้งที่เปิดเผยตัวและไม่ได้เปิดเผยตัว)ที่ทำงานเสียสละและยึดมั่นในเจตนารมณ์ของพระบรมราชชนก จากคุณ : สามสุข - [ 24 ก.ย. 46 11:42:19 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นเรื่องที่ไม่ได้แย่อย่างที่คิดหรอกน่า โครงการนี้ทำมาก็เพื่อคนยากจน และพวกเขาก็น่าดีใจมากกว่า ใครที่ไม่มีประกันสังคมก็สบายกับโครงการนี้ แค่ 30 บาทถ้าเป็นคนจนจริงๆก็หนัก แต่ก็เป็นเงินจำนวนไม่มาก ไม่ลำบากเกินไป ขอให้กำลังใจโครงการนี้เติบโตขึ้นเรื่อย จากคุณ : ประชาชนคนหนึ่ง - [ 24 ก.ย. 46 15:08:32 ]

ความคิดเห็นที่ 20 18 ครับ ideal ไปหน่อยครับ ตื่นได้แล้วครับ เลดี้จิงๆ ต้องการสื่ออะไรครับ คิดดูนะ กระทรวงสาธารณสุขมีรายได้เท่าเดิม ภาษีก็ไม่ได้ขึ้น แต่รายรับลดลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนไข้ต้องจ่ายค่ารักษาแค่ 30 บาท จากเดิมที่ต้องจ่ายเต็ม คุณ T ครับ คุณเลดี้จิงๆ ครับ ขอถามหน่อย ถ้าคุณเปิดกิจการและเป็นเจ้าของร้านคุณจะปล่อยให้ร้านอยู่ในสถาวะขาดทุนอย่างนี้ต่อไปมั๊ยครับ? เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่คุณภาพจะแย่ลงกว่าเดิม เพราะต้องลดต้นทุนให้ต่ำลง เนื่องจากรายรับที่ต่ำลง ถ้าประชาชนจะด่าว่าหมอก็ขอให้ไปด่าว่าคนคิดโครงการเถอะครับ และต้องขอบคุณคุณหมอทั้งหลายต่างหาก ที่ช่วยกันประหยัดค่าใช้จ่าย ทำให้ไม่ขาดทุนมากไปกว่านี้ โรงพยาบาลก็ยังสามารถเปิดต่อไปได้ (แต่อาจจะไม่นาน ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย) ส่วนใครที่บอกว่าโรงพยาบาลยังรักษาคุณภาพได้ ระวังไว้เถอะ ใกล้เจ๊งแล้วเขาต้องการประชดรัฐบาลครับ คนรวยเขาไม่ใช้กันหรอกครับ 30 บาท ส่วนใหญ่เขาไปคลินิกไปโรงพยาบาลเอกชนกันทั้งนั้นแหละครับ ถึงได้มีคนบางคนไปซื้อโรงพยาบาลเอกชนไว้หวังจะรวยล้นฟ้ายังไงหละครับ ผลวิจัยบอกว่าคนรวยส่วนใหญ่ไม่พอใจกับโครงการ 30 บาท ก็เพราะเดิมคนรวยจ่ายเงินเองก็ได้รับบริการที่ดีอยู่แล้ว เมื่อต้องจ่ายแค่ 30 บาทซึ่งได้รับบริการที่แย่กว่าก็เลยไม่พอใจ ส่วนคนจนส่วนใหญ่พอใจก็เพราะเดิมไม่มีเงินไปรักษา พอจ่ายแค่ 30 บาท เขาก็ได้รักษาก็พอใจแล้วครับ เพราะฉะนั้น ถ้ามองในมุมมองของคุณ T โครงการ 30 บาทดีแต่เฉพาะคนจนเท่านั้นนะครับ อย่าคิดว่าดีกับประชาชนทั้งประเทศ แล้วก็ไม่ใช่มองแต่เรื่องจ่ายเงินอย่างเดียว จ่าย 30 บาทรักษาทุกโรคก็จริง แต่ไม่ได้รักษาได้ทุกโรค (กรุณาเข้าใจไว้อีกเรื่องด้วยนะครับ) มีบางโรคที่ใช้ 30 บาทไม่ได้นะครับโปรดเข้าใจไว้ด้วย  แล้วในแง่ของการได้รับบริการคุณเคยรู้บ้างมั๊ยว่าคนจ่าย 30 บาทได้รับบริการแย่กว่าผู้ป่วยประเภทอื่น! แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 46 17:55:15 จากคุณ : MagicMyth - [ 24 ก.ย. 46 17:40:15 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มีความคิดเห็นบางอย่างที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ผมเห็นโดยเฉพาะเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าคนรวย (เอาแบบรวยจริงๆเลยนะ)..ที่จะเป็นพวกอีแอบเป็นพวกมารักษาใช้โครงการ 30 บาท..จริงแล้วโครงการนี้มีเงื่อนไขอยู่แล้วนะครับว่าต้องเป็นรูปแบบใดเป็นขั้นพื้นฐานในการรักษา ตัวยาทุกตัวยาที่จะรักษาไม่ใช่ว่าจะอยู่ในเงื่อนไข 30 บาทหมดทุกอย่างนะครับ หรือการคนไข้จะต้องมีเอ็กซเรย์ ในโครงการ 30 บาท ญาติคนไข้ก็ต้องวิ่งเอกสารหรือต้องรอหมอที่มีอำนาจเซ็นต์เอกสาร รอพยาบาลวิ่งเรื่อง..ผมเชื่ออีกอย่างคนที่มีเงินไม่อยากจะไปนั่งต่อคิวรักษาหรอกครับมันนานๆจริงๆ แค่เรื่องเอกสาร 30 บาทก็วิ่งเหนี่อยแล้วและถ้ายิ่งป่วยหนักๆหรือโรคที่รักษายากและนานนี้ก็ยิ่งไม่ใช่ง่ายๆ.. ฉะนั้นการที่คนไข้เข้าคิวรักษามากก็มีคนมีรายได้น้อยทั้งนั้นแหละครับ...อีกอย่างรักษา 30 บาทไม่ใช่มีสิทธินอนห้องพิเศษนะครับ...ต้องแยกปัญหาแต่ละปัญหาครับ..ง่ายโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีต่อคนหมู่มากจริงๆแต่มีบางอย่างที่เราต้องแก้ไขปรับปรุงบ้าง... จากคุณ : bookss - [ 24 ก.ย. 46 19:40:48 A:203.156.25.192 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 ที่น่าตลกเกี่ยวกับ 30 บาทก็คือ นักการเมืองหรือข้าราชการฝ่ายปกครอง ไม่ยอมเข้าใจว่าระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคทำให้โรงพยาบาลของรัฐได้รับงบประมาณในจำนวนจำกัด ท่านเหล่านั้นยังคงมีการใช้อำนาจขอให้ลูกน้องตัวเองได้รักษาฟรี ในกรณีที่เมาเหล้าแล้วประสบอุบัติเหตุทางจราจร ซึ่งตามระเบียบระบุชัดเจนไว้ว่าต้องเบิกค่ารักษาพยาบาลจาก พรบ.ผู้ประสบภัยฯเท่านั้น หรือบางกรณีลูกน้องท่านก็ไม่มีบัตรทองเลยใช้บัตรเบ่งแทน น่าเศร้าใจครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 24 ก.ย. 46 20:06:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เข้าใจว่าคุณเลดี้ เค้าไม่รู้เรื่องจริงๆ ก้อตรงไป ตรงมา เค้า ไม่ส่งมานะสิ จากคุณ : ji - [ 24 ก.ย. 46 22:51:28 A:202.28.179.6 X:unknown ]

ความคิดเห็นที่ 24 อยากทราบว่าสะโพกเทียมราคากี่แสน แล้วของดีที่ว่าราคาแพงกว่าเท่าไหร่ จากคุณ : peple - [ 25 ก.ย. 46 02:37:50 A:203.113.71.196 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 โครงการ30บาทถ้าเปรียบเทียบกับการให้การบริการสาธารณะโดยรัฐก็อาจเทียบเคียงในลักษณะระบบรถโดยสารสาธารณะ ที่ให้ประชาชนเลือกใช้บริการได้ตามแต่ใครจะต้องการ  ซึ่งโครงการ30บาทเขามีกรอบการรักษาที่ได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการยาแห่งชาติ(ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์แพทย์)แล้วว่ามีมาตรฐานการรักษาที่มีประสิทธิภาพการรักษาอย่างแน่นอน ดังนั้นความผิดพลาดจากการรักษาไม่ได้เกิดจากโครงการ30บาท แต่น่าจะเกิดจากขั้นตอนของระบบการปฏิบัติที่ยังมีปัญหาอยู่บ้างจากระบบที่ยังไม่ลงตัว ซึ่งผมเชื่อว่าสามารถแก้ไขได้ แต่ทั้งนั้และทั้งนั้นก็ขึ้นกับบุคลากรทางสาธารณสุขว่าจะให้ความร่วมมือมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ซึ่งก็มีการเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นต่อรองเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานต่อไป ซึ่งผมเห็นด้วยที่ควรเพิ่มค่าตอบแทนแก่บุคลากรด้านนี้ ข้อแตกต่างระหว่างการบริการสาธารณะรถโดยสารกับโรงพยาบาลคือผู้ปฏิบัติการในเรื่องรถโดยสารมีช่องใหว่ที่จะแสวงหารายได้จากการปฏิบัติงานได้ง่าย แต่โครงการ30บาทกลับไปปิดช่องทางการแสวงหารายได้ของผู้ปฏิบัติงานเช่นระบบการสั่งซื้อยา,การเลือกใช้ยาหรือวัสดุทางการแพทย์ที่บริษัทยามักจะเข้ามาล็อบบี้(หรือจูงใจโดยอาจให้ค่าตอบแทน)ให้ผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์เพื่อให้เลือกใช้ยาหรือวัสดุทางการแพทย์ของตนเองยากขึ้น(ยากกว่าระบบแบบเดิมๆที่ ร.พ.สามารถสั่งซื้อ-เลือกใช้ยาได้เอง) จึงเป็นข้ออ้างของฝ่ายปฏิบัติทางการแพทย์อ้างว่าจ่ายยาหรือวัสดุที่ด้อยคุณภาพให้คนไข้ ที่จริงของดีราคาแพงใครก็อยากได้แต่ต้องมองด้วยว่าการบริการ30บาทนี้ก็ต้องยอมรับในกรอบที่ทางคณะกรรมการยาแห่งชาติเขาเห็นแล้วว่ายาและวัสดุทางการแพทย์นั้นมีคุณภาพดีพอแม้ว่าจะสั่งซื้อมาได้ในราคาถูกเพราะมีการสั่งซื้อทีละมากๆ ข้อต่อรองทางด้านราคาจึ่งมีสูง ไม่ใช่เพราะสั่งของราคาถูกแล้วคุณภาพจะด้อยไปหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 46 07:50:51 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 46 07:45:17 จากคุณ : สามสุข - [ 25 ก.ย. 46 07:30:47 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ค่อนข้างเป็นการใส่ความแพทย์โดยปราศจากหลักฐานและมูลความจริงครับ สำหรับ 2 ประเด็นนี้ครับ คำพูดที่ว่าเขาออกมาบ่น หรือด่า หรือขู่ เพราะต้องการให้เป็นประเด็นทางการเมือง ไม่ได้เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง คำพูดที่ว่าเขาออกมาแจ้งประเด็นปัญหาเพราะต้องการต่อรองให้ได้ผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้น หรือโครงการเป็นการปิดการแสวงหาช่องรายได้โดยผิดกฏหมาย อนึ่งหรือถ้าคิดว่ามีข้อมูล ขอความกรุณาช่วยแสดงด้วยนะครับ หรือถ้าไม่มีกรุณาข้อมูลใด ๆ เลยช่วยแจ้งด้วยว่า "เป็นความเห็นหรือความลำเอียงส่วนตัว" ไม่มีข้อมูลรองรับทั้งสิ้น ถ้านักการเมืองหรือผู้มีอำนาจคิดแต่ว่าให้นโยบายไปแล้ว ต้องปรับตัวให้ได้ โดยไม่รับฟังปัญหาอะไรเลย ไม่ดูเลยว่าปัญหาดังกล่าว โรงพยาบาลแก้เองได้หรือไม่ ปัญหานั้นมีหลายระดับครับ ที่โรงพยาบาลแก้เองไม่ได้ก็มี ไปบอกแต่ว่าคุณต้องปรับตัวให้ได้อยู่อย่างเดียว ปิดปากห้ามบ่น ไปมองแต่ว่าเขาแกล้งพูดเพื่อผลประโยชน์ หรือเพราะว่าเขาขาดผลประโยชน์ที่ผิดกฏหมาย ถ้านักการเมืองคิดอย่างนี้เป็นวิสัยทัศน์ที่แย่มาก ๆครับ ผมไม่เชื่อว่านักการเมืองดี ๆ อย่างคุณสุดารัตน์จะคิดแบบนี้หรอกครับ ถ้าเป็นจริงระบบสาธารณสุขย่อยยับแน่ ๆ ครับ ขอให้ลงมาดู"เนื้อหา" ปัญหาที่แพทย์เขาแจ้งก่อนสิครับว่าจริงหรือไม่ ดูตัวเลขงบประมาณโรงพยาบาลที่ขาดทุนทั้งหลายก่อน ตาม web site ที่ผมเคยให้ไว้ ว่างบการเงินขาดทุนไปแค่ไหน http://neo.moph.go.th/bie/hospital_report.php ปัญหาเหล่านี้ ท่านคิดว่าแพทย์เขาแจ้งปัญหาเพราะอยากมีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือครับ ไม่ได้เองประชาชนเป็นตัวตั้งหรือครับ ช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ ถามว่าแค่เวชภัณฑ์ที่คิดว่าเป็นมาตรฐานนั้น พอหรือครับไม่ อยากให้มองกว้าง ๆ หน่อยครับ ปัญหามาตรฐานการรักษายืนยันจากแค่ตรงนั้นหรือ จาก thaiclinic นะครับ ความเห็นจริงจากแพทย์ผู้ปฏิบัติทั้งสิ้น มิใช่ความเห็นผมนะครับ copy มาให้ดูครับ ถ้าคุณยังคิดว่าแพทย์ที่เขามาเล่ากันใน web board การแพทย์ ที่คุยกันเอง อันนี้ยังเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์อะไรที่อยากได้จากรัฐบาลซ่อนอยู่อีก ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วครับ http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action=display;num=1064057056 1.เอาหมอspecialist มาตรวจ OPDทั่วไป ออกPCUด้วย อยู่เวรแบบ GPด้วย ทำคลอด รักษาเด็กเล็กด้วย รักษาmed ด้วย ประชาชนได้ประโยชน์หรือไม่ที่นำแพทย์ศัลยกรรมที่ไม่ได้ทำคลอดมาเป็น 10 กว่าปีแล้ว มาทำคลอดครับ 2.ที่ รพ. หมอ ออร์โธ กลับไม่พูกอย่างนี้ครับ เขาบอกว่าได้ทำ total hip total knee น้อยลง เพราะทำตามงบประมาณที่ตั้งไว้ เมื่อหมดงบ ก็หยุดทำ ปีนี้ทราบมาว่าหยุดทำมาสองเดือนแล้ว คนไข้ทั้งหมดต้องเลื่อนไปเดือน ตค. ซึ่งถือเป็นปีงบประมาณใหม่ คนไข้ที่รอไม่ไหวก็ไปจ่ายเงินเองที่ รพ.เอกชน ประชาชนได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ในกรณีนี้ครับ เมื่องบหมด 3.เอาความเห็นผมบ้าง....เรื่องการรักษาหรือการตรวจที่ได้มาตรฐานอย่างเดียวแล้ วกัน ... โรงพยาบาลที่ผมเพิ่งกลับมาจากการไปศึกษาระบบงาน ไม่มีLab electrolyte ไม่มีเลือดสำรอง ไม่มีATBใช้อย่างครบถ้วน เพราะอะไร(อันนี้ถามาจากพี่ผอ.) ก็ 30 บาทไง ทำให้ไม่มีงบประมาณซื้อของมาใช้ ทั้งเวชภัณฑ์ ครุภัณฑ์ ฯลฯ การตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่มีให้ใช้พอเพียงครับ 4.ตอนแรกผมก็คิดแบบคุณหมอแหละ รักษาแบบเต็มที่ไม่กลัวเจ๊ง รักษาได้ 9 เดือน ยาขาดหลายๆตัวอีก 3 เดือน ให้ไปซื้อยาข้างนอกมารักษา ก็มาว่าหมอที่รักษาอีก ทั้งที่ไม่ใช้ความผิดของเราซักหน่อย เลยใช้รักษาแบบกลางๆคือยาถูกหน่อยตั้งแต่ต้น แต่พอให้ใช้ได้ทั้งปีดีกว่า แล้วก็บอกคนไข้ทุกครั้งว่างบ 30 บาทมันน้อย ต้องใช้ยาราคาถูกหน่อย เขาพอเข้าใจกว่าไปซื้อยาข้างนอก ตรงนี้ประชาชนได้ประโยชน์หรือไม่ครับ 5.ผมอยู่รพ ใหญ่ ในกรุงเทพ พอมี 30 บาท จากที่ผมเคยผ่าวันละ 4-5 ราย เหลือวันละ 1 ราย total knee ใน pt 30 บาทไม่เคยได้อนุมัติให้ทำ conservative เป้นหลัก รพ ที่คุณอยู่คงเป็น exceptional 6.ผมไม่เชื่อ...ไม่เชื่อ...ไม่เชื่อ... ใช้สามัญสำนึกขั้นต่ำก็พอบอกได้ว่า มันเป็นไปไม่ได้............. รพ.ที่ผมอยู่...ก็มีนโยบาย(คำสั่งที่ไม่มีสำเนา) ว่าอะไรที่รอได้...ก็ให้รอไปก่อน ขนาด Carpal Ganglion Excision ยังต้องรอ...ขออนุมัติก่อน....ทุกราย เอาไปทำผ่าตัดไม่ได้ทันทีนะ...ฃิบอกไห้ ลองไปอ่านเองตาม link ที่ผมให้มาก็ได้นะครับ พิจารณาเนื้อหาที่เขาเล่าปัญหาให้ฟังสิครับ คิดว่าเขาอยากได้ผลประโยชน์หรือครับ หรือเขามีปัญหาในการปฏิบัติงานจริง ๆ และอยากให้รัฐบาลช่วยแก้ไข เราไม่ได้อยากล้มโครงการนะครับ แต่อยากให้รัฐบาลฟังปัญหา ช่วยแก้ไขปัญหาเท่านั้น ปัญหาบางอย่างรัฐบาลคงต้องลงมาดูแลครับ มิได้แบบที่ท่านบอกแต่ว่าให้ปรับตัวครับ ขอความกรุณาดูปัญหาจริงที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมาใส่ความครับว่าเขาแสดงปัญหาเพราะอยากได้ผลประโยชน์ จากคุณ : siktp - [ 25 ก.ย. 46 09:54:59 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณหมอsiktpครับ ผมไม่ได้ใส่ความหรือลำเอียงอคตินะครับ และผมก็บอกแล้วว่าปัญหาจากโครงการ 30 บาทมีแน่ แต่อยากให้นำเสนอและทางแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ออกมาขู่หรือด่าโครงการ หรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งมันจะกลายเป็นมองเป็นเรื่องการเมืองไป ทำให้น้ำหนักการเสนอปัญหาด้อยลงทั้งๆที่ผมเข้าใจว่าปัญหานี้เป็นเรื่องหนัก ข้อเสนอของผมก็คืออยากให้บุคลากรทางสาธารณสุขออกมานำเสนอปัญหาอย่างสร้างสรรค์และแสดงให้ผู้มีอำนาจเห็นว่าต้องการแก้ปัญหาจริงๆ มากกว่าที่จะมาเป็นลักษณะของการต่อรองหรือโจมตีนโยบายว่าล้มเหลวมากกว่า และผมก็สนับสนุนให้เพิ่มค่าตอบแทนแก่บุคลากรที่ทำงานด้านนี้เพื่อให้คุ้มค่ากับความเหนื่อยและเสียสละของท่าน เรื่องงบประมาณ 30 บาทปี2547ก็จะมีการเพิ่มต่อหัวมากขึ้นเป็น1247บาทต่อหัวในจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นจาก45ล้านคนเป็น46ล้านคน ผมเชื่อว่าหากมีการแก้ไขกฎระบบระเบียบทางราชการที่หยุมหยิมทำให้การทำงานของบุคลากรไม่มีความคล่องตัวได้ทุกอย่างก็น่าจะดำเนินไปได้ด้วยดี ตามเป้าหมายของทั้ง2ฝ่าย(ฝ่ายบุคลากรสาธารณสุขและฝ่ายรัฐบาล)ที่ต้องการให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขมิใช่หรือครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 46 10:44:20 จากคุณ : สามสุข - [ 25 ก.ย. 46 10:42:06 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ปัญหาอยู่ที่ว่า ผมไม่เห็นแพทย์มา"ขู่ " หรือ "ด่า" โครงการแบบที่คุณว่าเลยครับ ผมเห็นแต่เขาแสดงปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ๆ เท่านั้น ผมไม่เห็นการนำเสนอปัญหาเพื่อการต่อรอง หรือการโจมตีนโยบายล้มเหลวเพื่อต่อรองแบบที่คุณว่าเลย ผมเห้นแต่เขาแสดงปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ๆและอยากให้รัฐลงมาช่วยแก้ปัญหาในฐานะผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น ผมไม่เคยเห็นแบบที่คุณว่าเลย ถ้าผมตกข่าวที่ว่าทั้งหลาย ก็กรุณาให้ข่าวผมด้วยครับ จากคุณ : siktp - [ 25 ก.ย. 46 10:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 29 โครงการ 30 เป็นเจตนารมณ์ที่ดีที่ต้องการให้กับประชาชน แต่ความไม่สมบูรณ์ของนโยบายโครงการในการแก้ปัญหาและผลักดันในโครงดำเนินไปอย่างประสิทธิภาพทำให้การปฏิบัติงานของผู้ให้บริการเป็นไปด้วยความลำบากและผู้รับบริการก็ไม่ได้บริการที่มีคุณภาพ หลายท่านได้ออกมาชี้แจงด้วยเหตุผลที่มีข้อมูลที่พิสูจน์ได้กันมามากแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้เกิดความเข้าใจอย่าวแท้จริงในตัวปัญหาแต่อย่างใด ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ยังมุ่งไปคิดว่าเป็นการเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การที่จะทำให้รัฐยอมรับฟังและเข้ามาแก้ปัญหาจริงจังคงเป็นไปได้ยาก ผู้ได้รับผลกระทบทั้งสองฝ่านก็ต้องหาทางช่วยเหลือตัวเอง ไม่ห่วงแพทย์เพราะท้ายที่สุดแพทย์ก็ยังมีโอกาสและแนวทางในการประกอบอาชีพในสังคมได้มากกว่าหลายอาชีพ และเชื่อแน่ว่าคงไม่ถึงขั้นเดือดร้อน แต่ประชาชนโดยเฉพาะที่ยากจนแทบไม่มีโอกาสในการหาแนวทางไหนมาช่วยได้เลยแล้ว เมือเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วก็จะมุ่งไปโทษบุคคลมากกว่ามองเป็นระบบ บุคคลากรทางการแพทย์จะเป็นผู้ถูกกล่าวโทษก่อนเสมอแล้วก็จะเกิดวงจรปัญหาที่ไม่รู้จบ ปัญหาแทบทุกอย่างมักไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว ทำไมเราไม่มามองสาเหตุของปัญหาแยกเป็นประเด็นๆไปแล้วแก้ให้ตรงจุด การแก้ปัญหาที่จะทำให้สำเร็จได้คงไม่ใช่แก้ที่ฝ่ายใดฝายหนึ่งแต่ต้องเป้นทุกฝ่าย ที่สำคัญทำอย่างไรที่จะเปิดมุมมองของทุกฝ่ายให้รับฟังปัญหาด้วยเหตุผล ความเข้าใจ และการเอาใจเขามาใส่ใจเรา คำนึงถึงประโยชน์และความเสียหายของส่วนรวมเป็นหลัก มากกว่าความเชื่อ ความรู้สึก และอารมณ์ สุดท้ายขอรบกวนเรียนฝากข้อคิดเห็นผ่านคุณsiktp ไปยังผู้ดูแล thaiclinic.com ในส่วนการแสดงความเห็นของแพทย์ใน webbord ด้วยค่ะ สงสารคนที่พยายามจะแก้ไขทัศนคติมุมมองต่อปัญหาสาธารณสุขด้วยเถอะค่ะ คนแก้ก็พยายามแทบตาย แพทย์บางคนก็ยังมาแสดงความเห็นที่ทำให้สถานการณ์มันแย่ลง ถ้าควบคุมระดับวุฒิภาวะทางอารมณ์ไม่ได้น่าจะมีมาตรการอะไรมาช่วยบ้างนะคะ เรื่องดีๆคนฟังไม่ค่อยจำไม่ค่อยบอกต่อและไม่ค่อยเชื่อ แต่เรื่องเชิงลบคนชอบฟังชอบเผยแพร่และเชื่อเอาไว้ก่อน ขนาดดิฉันที่มองปัญหาแบบเข้าใจอ่านแล้วยังเกิดอารมณ์เลยค่ะ ฝากสำหรับแพทย์ทุกคนด้วยค่ะว่า แม้จะทำอะไรที่ทำให้ภาพพจน์ของวิชาชีพของคุณเองดูดีขึ้นในสังคมไม่ได้ก้อย่าทำอะไรที่ทำให้มันดูแย่มากไปกว่านี้เลย จากคุณ : แค่ผ่านมา - [ 25 ก.ย. 46 11:10:46 A:203.113.33.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 แพทย์เองอาจไม่ทราบว่าสิ่งที่กลุ่มตนเองกระทำไปนั้นเป็นอย่างไร แต่คนที่อยู่ภายนอกวงการเขามองว่ามีการออกมาบ่นแกมขู่หรือประชดอะไรก็แล้วแต่ เขามองว่าลักษณะนี้เป็นสิ่งที่เอาคนไข้มาเป็นข้อต่อรองครับ อย่างเช่น มีการชักชวนกันให้พากันลาออกให้มากๆเพื่อให้เป็นปัญหาต่อระบบสาธารณสุข หมออย่าปฏิเสธนะครับว่าเรื่องอย่างนี้ไม่มี แม้เป็นกลุ่มหนึ่งแต่ก็มีผลกระทบตอภาพรวมได้นะครับ หมอไม่ลองไปสำรวจความเห็นของประชาชนดูว่าเขามีความรู้สึกอย่างไรต่อแพทย์ที่ออกมาบ่นว่า"รายได้น้อย-งานหนักเมื่อเทียบกับกรรมกร" จากนั้นก็โยงมาเรื่อง30บาท ที่เป็นปัญหาให้แพทย์ลาออก จากคุณ : สามสุข - [ 25 ก.ย. 46 11:21:38 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ้าวคุณ เขาลาออกเงียบ ๆ เพราะทนไม่ไหวจริง ๆ ก็ไปบอกว่าเขาลาออกเพราะขู่อีก ถ้าคุณจะพูดว่าเพราะการมอง หรือเพราะความเห็นส่วนตัวก็มองไปสิครับ แต่ไปบอกว่า "การออกมาบ่นแกมขู่หรือประชดอะไรก็แล้วแต่ เป็นสิ่งที่เอาคนไข้มาเป็นข้อต่อรอง " เรื่อง 30 บาท นี่ผมไม่เคยเห็นจริง ๆครับ ถ้ามีกรุณาช่วยบอกชัด ๆ อีกทีเถอะครับ มุมมองจากประชาชน ก็เรื่องหนึ่งครับ ที่อาจมองหรือเข้าใจอย่างนั้น เพราะได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดจากคุณสามสุขนี่ละครับ แต่สภาพความเป็นจริงก็อีกเรื่องหนึ่งครับ ผมพูดถึงสภาพความเป็นจริงที่แพทย์ทำครับ มีอย่างนั้นจริงหรือครับ ถ้าผมตกข่าวก็กรุณาบอกอีกทีครับ อย่าปล่อยให้ข้อมูลผิด ๆ ไปครับ แล้วบอกแต่ว่า "เชื่อกันมาอย่างนั้นครับ " จากคุณ : siktp - [ 25 ก.ย. 46 11:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณความเห็นของคุณผ่านมาครับ น้อมรับไว้เพื่อประชาสัมพันธ์เรืองการใช้ภาษาที่ตอบคำถามใน web board thaiclinic นะครับ จากคุณ : siktp - [ 25 ก.ย. 46 11:57:12 ]

ความคิดเห็นที่ 33 หึหึหึ พอแค่นี้ก็แล้วกันนะครับ หมอ siktp พูดอย่างกับว่าหมอเอาข้อมูลที่มีข้อมูลหลักฐานมาพูดแน่ะ เรียกร้องหลักฐานจากคนอื่นแต่ตัวเองกับไม่มี ถูไถไปเรื่อยนะ แล้วจะให้พูดต่อไปกันได้อย่างไร ..... จากคุณ : สามสุข - [ 25 ก.ย. 46 12:11:29 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอชัด ๆ อีกทีเถอะครับ ผมยังสงสัยจริง ๆครับ "มีการออกมาบ่นแกมขู่หรือประชดอะไรก็แล้วแต่ เอาคนไข้มาเป็นข้อต่อรอง" "การชักชวนกันให้พากันลาออกให้มากๆเพื่อให้เป็นปัญหาต่อระบบสาธารณสุข " 2 ข้างบนนี้ที่มาต่อรองเรื่อง 30 บาทมีหรือครับ ผมไม่เคยได้ข่าวจริง ๆครับ อย่าบอกว่า "เชื่อกันมาอย่างนั้น" เลยครับ ในบางส่วนที่แพทย์ออกมาเหมือนการประท้วงใหญ่ ๆ นั้น ที่ผมทราบมีแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับ 30 บาทใด ๆ ทั้งสิ้นครับ เหตุการณ์แรกคือการใส่ชุดดำ หรือปลอกแขนดำ เพื่อแสดงเจตนารมณ์เรื่อง พรบ ประกันสุขภาพ ครับ ไม่มีหยุดงาน การขู่ หรือการต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้นครับ และช่วงนั้นแพทย์ยังประชาสัมพันธ์บอกตรง ๆ ด้วยว่า เห็นด้วยกับโครงการ 30 บาท แต่ไม่เห็นด้วยกับ พรบประกันสุขภาพครับ เหตุการณ์ที่สองคือเหตุการณ์ที่แพทย์ยโสธร หรือ แพทย์มหาสารคามลาออก ซึ่งส่วนตัวผมก็ไม่เห็นด้วย แต่ดูให้ชัด ๆ นะครับ รายการนี้ไม่เกี่ยวกับ 30 บาทแต่อย่างใดครับ เป็นเรื่อง พรบ ยา ครับ "รายได้น้อย-งานหนักเมื่อเทียบกับกรรมกร" จากนั้นก็โยงมาเรื่อง30บาท ที่เป็นปัญหาให้แพทย์ลาออก" ส่วนเรื่องนี้เป็นบทความการวิเคราะห์จากการอภิปรายของแพทยสภาครับ ว่าแพทย์ที่ลาออกไปแล้วน่ะ เพราะอะไร ไม่ใช่การต่อรองลาออกครับ แล้วเขาลาออกไปเงียบ ๆ ไปแล้ว ทั้งนั้นครับ แพทยสภาถึงมาวิเคราะห์กัน ผมไม่เคยได้ข่าวว่ามีการขู่ หรือต่อรองแต่อย่างใดครับ ล่าสุดมีการตั้งสมาพันธ์แพทย์อีสาน เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับ พรบ ยา โดยเจตนารมณ์แสดงไว้ในการตั้งสมาพันธ์ชัดเจนว่าจะต้องไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับ 30 บาทอีกครับ อย่าใช้แต่ความรู้สึกบอกว่า "เชื่อกันอย่างนั้น" "บอกเล่ากันมาอย่างนั้นสิครับ" ข้อมูลอย่างนี้อภิปรายแล้วทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้นะครับ จากคุณ : siktp - [ 25 ก.ย. 46 12:12:56 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อ้าว คุณ คุณใส่ความคนอื่น โดยเฉพาะแพทย์นี่ครับ ว่าคัดค้านเพราะผลประโยชน์ต้องการต่อรองทางการเมือง เพราะขาดผลประโยชน์ที่ผิดกฏหมาย โดยเฉพาะข้อหลังที่ใส่ความกันรุนแรงอย่างนี้ ขนาดนี้ ตรงนี้เป็นความรับผิดชอบของผู้อภิปรายเมื่อถูกถามนะครับ ว่าใส่ความเขามีหลักฐานหรือไม่ ผมขอให้อภิปรายชัด ๆ ว่ามีหลักฐานหรือใช้แค่ความรู้สึกหรือความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่การมาเรียกร้องหลักฐานจากผมนะครับ คนละเรื่องครับ อย่าเบี่ยงประเด็นครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 46 12:22:05 จากคุณ : siktp - [ 25 ก.ย. 46 12:16:09 ]

ความคิดเห็นที่ 36 หมอคงไม่เข้าใจเรื่องปฏิกิริยาต่อต้านอย่างเงียบๆนะครับ แล้วเฉไปพูดเรื่องชุดดำอะไรโน่น เฮ้อ!!ไม่น่าเชื่อว่าหมอจะแกล้งโง่เป็น หรือว่าโง่จริงๆกันแน่ ขี้เกียจเถียงเรื่องประเด้นปลีกย่อยแล้วละ เสียเวลาเป่าๆ เฮ้อ! หมอนะหมอ จากคุณ : สามสุข - [ 25 ก.ย. 46 12:21:07 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อ้าว พอมาถึงตรงนี้ คุณบอกว่า แพทย์มีปฏิกิริยาต่อต้านอย่างเงียบ ๆ แล้ว เปลี่ยนคำพูดตัวเองแล้ว ถ้าอย่างนี้จริง แพทย์ผิดตรงไหนครับ แต่เมื่อต้นกระทู้คุณพูดว่า แพทย์มาขู่ มา ต่อรอง เพื่อผลประโยชน์การเมือง หรือที่รุนแรงมาก ๆ คือแพทย์มีผลประโยชน์ที่ผิดกฏหมายอยู่นะครับ ตรงนี้ผมถึงถามหาว่าคุณมีหลักฐานอะไรในการอภิปรายไงครับ ลองกลับไปอ่านความเห็นของคุณดี ๆครับ จากคุณ : siktp - [ 25 ก.ย. 46 12:25:59 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าหลงประเด็นขอชัดอีกครั้งนะครับ คุณกล่าวหาว่า แพทย์คัดค้าน 30 บาท โดยการ "ขู่" "ใช้คนไข้ต่อรอง" เพื่อผลประโยชน์และลากมาเป็นประเด็นการเมือง และคัดค้าน เพราะ 30 บาทไปปิดผลประโยชน์ของแพทย์ที่ผิดกฏหมายจากรายได้จากการซื้อยา ซึ่งผมเห็นว่าคุณใส่ความรุนแรงมาก ประเด็นคือผมถามตรง ๆ ว่าใช้ความรู้สึก ความเชื่อ หรือมีหลักฐานครับ แค่นี้ครับ ถามตรง ๆ นะครับ เป็นความรับผิดชอบของผู้อภิปรายนะครับ ที่ควรบอกให้ชัด ๆ ตรงนี้ครับ กรุณาตอบตรง ๆ ประเด็นครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 46 12:39:11 จากคุณ : siktp - [ 25 ก.ย. 46 12:36:48 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผมว่าปัญหานี้ มันผิดมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นแล้ว นับจากจุดที่รัฐบาลนี้คลอดออกมา มีแต่พวก hyprocrytes รวมกับพวก rookies มารวมกัน เป็นการผสมผสานที่ลงตัว เช่น คุณทักษิณ คุณสุดารัตน์ เป็นพวกแรก หมอสุรพงษ์ เป็นพวกหลัง เอามารวมกัน ได้ลงตัว แต่เคราะห์กรรม เป็นของคนจน ในบ้านนอก และสลัม อันดับต่อไปก็เป็นเคราะห์ของ ผู้เสียภาษีชาวไทยทุกคน โครงการ 30 บาท พูดได้เลยว่า เป็นโครงการที่รัฐบาลทักษิณ กะจะทำให้เป็น "โบว์แดง" คือเป็นโครงการแรก ไม่มีใครเคยคิด เคยทำ มาก่อนในโลก มิหนำซ้ำ ยังผลักดันโครงการนี้ออกมาชนิด "ทะลุปล้อง" โดยอ้างว่าประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งยากไร้ จะได้ประโยชน์ (จะเห็นได้ชัดเจนว่า แพทย์ผู้ปฏิบัติ ไม่ได้รับการปรึกษาเลย) *ความเป็น hyprocrytes ของพวกนี้ก็คือ อ้างว่าเป็นโครงการถ้วนหน้า สำหรับทุกคน และ รักษาได้ทุกโรค ซึ่งเป็นเท็จทั้ง 2 ประการ จะเห็นได้จาก คณะรัฐมนตรี ตลอดจนข้าราชการชั้นสูงทุกคน ไม่มีใครมีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์เลย ว่ามี และใช้บริการจากบัตร 30 บาทนี้ ไม่ว่าชนิดใดเลย อย่างน้อยก็เป็นการแสดงถึงการ leading by example ขณะเดียวกัน กลับนำบัตรนี้ ทูลเกล้าถวาย เป็นการสร้างภาพพจน์ ที่อาจเอื้อมมาก ส่วนคำว่า "รักษาทุกโรค" นั้นก็ ไม่เป็นความจริง *ความเป็น rookies ของพวกนี้ก็คือ ให้หมออายุ 40 กว่าๆ คนหนึ่ง มาเป็น รมช เพียงเพื่อจะมาเถียง โต้แย้งกับผู้ปฏิบัติ ทั้งๆ ที่ตนเองก็ผ่านการปฏิบัติมาน้อย เพียงแต่รู้กลไกการทำงานของ ก. สาธารณสุข รู้จุดอ่อนดี เท่านั้น รู้ว่าแพทย์มี 2 พวก คือพวกในกระทรวงซึ่งเป็นฝ่าย administrative กับอีกฝ่าย คือ แพทย์สนาม หรือ ฝ่าย opperative ฝ่ายแรก มี และอยู่ใกล้อำนาจ คือขึ้นกับนักการเมือง ส่วนฝ่ายหลัง คือผู้ทำงาน ใกล้ชิดกับคนไข้ โรงพยาบาล คลินิก และประชาชนคนไข้ ปัญหาที่เผชิญอยู่เวลานี้: *หมอผู้ปฏิบัติ มี workload เพิ่มขึ้น จนทนไม่ไหว *หมอลาออกไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มโครงการ กว่า 2000 คน (สมองไหล) *นักศึกษาคุณภาพ หันมาเรียนแพทย์น้อยลง(ขาด incentives ต่างๆ) *มาตรฐานการรักษาโรค ต่ำลง(ถึงแม้จะยังมีคนเถียงอยู่) ทางแก้ ที่รัฐบาลต้องทำเร่งด่วน มีอยู่ 2 ข้อ 1 หางบเพิ่มโดยด่วน เพราะงบรายหัวที่กำหนดไว้ ไม่ตรงกับความเป็นจริงอย่างมาก คือ ปี 45-46 ให้รายละ 1202 บาท ขณะที่ปี 47 ตามที่เสนอไป 1400 บาท กลับอนุมัติเพียง 1247 บาท (งบตามตัวเลขนี้ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก ถ้าหากรวมเอาการพัฒนาด้านเทคโนโลยี อุปกรณ์ และการฝึกอบรมทางวิชาการเข้าไปด้วย) 2 เพิ่มสัดส่วน การจ่ายค่ารักษาร่วม(co-payments) จากผู้รับการรักษา ที่มีฐานะที่พึงจ่ายได้ ที่จำเป็นต้องเข้ามาร่วมรองรับค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง เพื่อความยุติธรรม ข้อสำคัญ นายกกล้าหรือเปล่า? ถึงกล้า แต่ผมว่าคงประวิงไว้ก่อน รอให้แพทย์ชนบท ลาออกมาอยู่กับโรงพยาบาลเอกชนถึงจุดหนึ่งก่อน ค่อยดำเนินการแก้ไข โดยอ้างว่า "โครงการเดินได้ดีมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ก็ต้องปรับปรุงเพื่อความเหมาะสมต่อไป ไม่มีอะไรหรอกครับ ทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีปัญหา" ถึงตอนนั้น หุ้น รพ เอกชนก็ทะลุเพดาน แต่หมอตามชนบท อาจขาดแคลนจนชาวบ้านต้องวิ่งพึ่ง สัตวแพทย์ แทน จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 25 ก.ย. 46 12:42:52 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ในส่วนของงบประมาณต่อหัวผู้ป่วยที่คำนวณให้กับรพต่างๆ คิดจากจำนวนผู้ป่วยที่ขึ้นทะเบียนบัตรทองรักษาที่รพนั้นๆหรือเปล่าคะ ถ้าใช่ น่าจะเปลี่ยนเป็นคิดค่าหัวจากจำนวนประชากรในพื้นที่รับผิดชอบโดยแบ่งความรับผิดชอบเป็นเขตคล้ายการเลือกตั้งจะดีกว่าหรือเปล่า เพราะมีประชาชนระดับกลางที่สามารถใช้สวัสดิการของเอกชนอย่างอื่นได้จำนวนมากที่ไม่ไปขึ้นทะเบียนบัตรทอง ถือเป็นงบประมาณสำหรับระบบสาธารณสุขของรัฐให้กับสถานบริการ โดยมีเป้าให้สถานบริการรับผิดชอบการบริการที่มีคุณภาพสำหรับพื้นที่นั้นๆ ส่วนค่าใช้จ่ายต่อหัวจะเป็นเท่าไรน่าจะจัดตั้งคณะกรรมการที่มีทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าศึกษาและพิจารณาหาจุดลงตัวที่เหมาะสม มีการจัดทำแบบแผนต่อไปนี้ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้ เช่น คู่มือมาตรฐานการรักษาโรคต่างๆ ขั้นตอนการพิจารณาการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาต่างรพ ขั้นตอนการพิจารณาจัดระดับผู้เป่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายสูงในรักษาการว่าระดับใดอยู่ในความรับผิดชอบในงบประมาณจาก 30 บาท ระดับใดรัฐควรมีการช่วยเหลือรวมทั้งกรณีการส่งต่อด้วยและจัดตั้งงบประมาณสำหรับกรณีนี้ไว้ น่าจะทำให้แก้ปัญหาที่มีอยู่ได้บ้างนะคะ รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยค่ะ จากคุณ : แค่ผ่านมา - [ 25 ก.ย. 46 13:08:23 A:203.113.33.7 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณคุณ Me และ คุณแค่ผ่านมาครับ ผมเสนอเพื่มประเด็นเดียวครับ คือรัฐบาลจะส่งจ่ายงบประมาณต่อคนไข้รายหัวลงมา ซึ่งผมไม่ทราบว่าคิดมาจากพื้นฐานอะไร และบังคับว่าต้องทำให้ได้ ต้องปรับระบบให้ได้ ซึ่งตรงนี้น่าจะสวนทางกับความเป็นจริง และทำให้มาตรฐานการรักษาถูกกดด้วยงบครับ เป็นความลำบากใจของผู้ปฏิบัติงานอย่างยิ่ง กลายเป็นว่ารัฐให้โจทย์แพทย์ว่า ให้เงินเท่านี้ คุณทำอย่างไรก็ได้บริหารให้พอโดยไม่ดูข้อมูลรายโรคเลย ว่าแต่ละโรงพยาบาลรักษาโรคที่ต่างกันไปด้วย ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ผมเสนอให้จัดทำ Clinical Practice Guideline ที่เป็น evidence based และปรับลงให้เข้ากับสถานการณ์ประเทศไทย องค์กรแพทย์โดยสมาคมวิชาชีพควรจะเป็นผู้กำหนดมาตรฐานการรักษาที่ยอมรับได้ที่ต่ำสุดแต่ละโรค โยนกลับไปเป็นโจทย์ให้รัฐบาลว่า ด้วยมาตรฐานของสมาคมวิชาชีพแพทย์แต่ละสาขาตกลงกันแล้วว่ามาตรฐานการรักษาที่ต่ำสุดที่ยอมรับได้แต่ละโรคเป็นเท่านี้ แล้วให้ผู้บริหารไปคิดเอาเองครับ ว่าจะให้งบเท่าไร ตามพื้นฐานของข้อมูลนี้ และข้อมูลจำนวนคนไข้แต่ละโรงพยาบาล / หรือประชากรที่รับผิดชอบ การใช้เงินรายหัวที่ไม่ทราบพื้นฐานรายโรค และไม่มีการกำหนดมาตรฐานรายโรค แล้วสร้างเป็นกลไกบีบว่าต้องทำให้ได้ จะทำให้แพทย์ปฏิบัติงานด้วยความยากลำบาก และมาตรฐานการรักษาที่ต่ำลงครับ จากคุณ : siktp - [ 25 ก.ย. 46 13:24:56 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอแสดงความเห็นส่วนตัวนอกประเด็นที่เห็นด้วยกับคุณMe (คนเมืองคิ่น)ค่ะ ถ้าสุดท้ายสรุปว่า โครงการนี้ล้มเหลว....รัฐจะบอกว่าเป็นความไม่เข้าใจไม่ร่วมมือของผู้ปฏิบัติงาน โครงการนี้ไปได้ดี.....รัฐก็จะบอกว่าเป็นผลงานของรัฐบาล ที่ได้ให้ระบบรัฐสวัสดิการที่ดีสำหรับปรชาชาน แล้วต่อจากนี้การปรับเพดานการเสียภาษีเงินได้จะตามมา ขอย้ำ.....ความคิดเห็นส่วนตัวจริงๆค่ะ จากคุณ : แค่ผ่านมา - [ 25 ก.ย. 46 13:39:04 A:203.113.33.7 X: ]

ความคิดเห็นที่ 43 เห็นใจคุณสามสุขมากค่ะ จากคุณ : เลดี้..จริงๆนะ - [ 25 ก.ย. 46 18:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 44 มันชัดเจนอยู่แล้ว ว่า 30 บาท มีทางแก้ทางเดียวคือปรับค่าใช้จ่ายต่อหัวให้มากพอ ส่วนจะเป็นเท่าไรไม่รู้ แต่ต้องมากพอที่จะดึงดูดใจโรงพยาบาลเอกชนมาร่วมโครงการมากกว่านี้ ก็หมอรัฐมันไม่พอ ถ้าจะประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีแต่ รพ.รัฐเป็นหลัก 30 บาทพังแน่นอน หมอลาออกหมด แต่ถ้าไม่มีเงินพอ ก็เลิกๆโครงการไปเถอะครับ ให้รัฐรักษาคนจนฟรีเหมือนเดิม แล้วก็หาทางขยายฐานประกันสุขภาพให้มากขึ้น จากคุณ : Pom.com - [ 25 ก.ย. 46 19:22:01 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขออภัยครับ ใน คคห 39 ขออณุญาตแก้คำผิด ดังนี้ hypocrytes = แก้เป็น hypocrites opperative = แก้เป็น operative ส่วนความเห็นทุกข้อ ทุกอย่าง ยืนยันเหมือนเดิมครับ จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 25 ก.ย. 46 22:43:42 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คห12 คงเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ไม่ทราบว่าทำไมเจ้าของกระทู้จึงหยิบเฉพาะบางจุด มาพูด คงไม่ต่างอะไรกับทนายในศาลที่ต้องการพูดแต่หลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อลูกความของตนเอง ( คงต้องขอโทษทนายทุกท่าน ถ้าข้อความนี้อาจจะทำให้ท่านเหล่านั้นไม่พอใจ ) ผมขอถาม 2-3 คำถามว่า 1.ถ้ารัฐบาลจะขอเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อเอาเงินมาทำโครงการต่างๆ ตามที่รัฐเสนอมา พวกคุณจะสนับสนุนหรือเปล่า 2. ถ้ารัฐบาลจะไม่ขึ้นเงินเดือนข้าราชการซัก 10 ปี หรือว่าคนที่ทำงานภาคเอกชนจะไม่ได้รับการปรับเงินเดือน หรือไม่ได้โบนัสเลย แล้วเอาเงินเหล่านั้นมาเป็นภาษีส่วนรวม พวกคุณจะเห็นด้วยกับนโยบายหรือเปล่า ถ้าเป็นผม ผมรับนโยบายนี้ได้ เพราะเงินเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน เพราะมาเป็นภาษีมาพัฒนาประเทศของเรา อย่างน้อยก็มีเงินมากพอมาโปะโครงการ 30 บาท ให้อยู่รอดต่อไปได้ ส่วน คห 17 นี่ก็ หยิบบางส่วนมาพูดเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองเหมือนกัน ที่จ่ายน้อยลง ไม่ได้หมายความว่าร.พ.จะไม่ขาดทุนหรอกนะ แต่อยู่ได้เพราะมีเงินมูลนิธิที่ออกดอกออกผลทุกปีมาช่วยต่างหาก อีกอย่างต.ย.ที่เห็นได้ชัดว่าโครงการ30 บาทนี้ไปรอดหรือไม่รอด ให้ดูสถานการณ์การเงินของร.พ.จังหวัด หรือ ร.พ.ศูนย์ เป็นเกณฑ์ก็แล้วกัน แล้วก็ดูมาตราฐานของการรักษาควบคู่กันไปด้วย ก็คงพอจะมองออกว่าโครงการจะไปรอดหรือไม่รอด ที่รู้มานี่ร.พ.ศูนย์ใหญ่ๆ หลายแห่ง บัญชีติดลบแทบทั้งนั้น แต่ไม่เป็นข่าว เพราะจะกระทบต่อรัฐบาล จากคุณ : medi - [ 26 ก.ย. 46 01:12:27 ]

ความคิดเห็นที่ 47 "โครงการ 30 บาท พูดได้เลยว่า เป็นโครงการที่รัฐบาลทักษิณ กะจะทำให้เป็น "โบว์แดง" คือเป็นโครงการแรก ไม่มีใครเคยคิด เคยทำ มาก่อนในโลก" ประเทศอื่นหลายประเทศเขาทำกันจนเจ๊งหมดแล้วครับ ประเทศเราเดินตามหลังเขา และอีกไม่นานก็อาจจะเจ๊งเหมือนประเทศอื่น .. อนาจใจ -_-! จากคุณ : MagicMyth - [ 26 ก.ย. 46 01:13:46 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อีกอย่างที่ผมสงสัยคือ การที่รัฐบาลปรับงบลงโครงการ30บาทเพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงว่าโครงการนี้ยังต้องการงบลงเพิ่มอีก แต่รัฐประเมินรายจ่ายต่ำกว่าความเป็นจริงในเบื้องต้น แล้วความผิดพลาดอันเกิดจากมาตราฐานการรักษาที่ต่ำลง แล้วประชาชนร้องเรียนหรือฟ้องร้องว่าเป็นความผิดพลาดของหมอผู้ทำการรักษา ไม่ทราบว่าในส่วนนี้รัฐบาลจะออกมาแชร์ความรับผิดชอบร่วมกันหรือเปล่า หรือจะโยนความรับผิดชอบให้ผู้ปฏิบัติฝ่ายเดียว จากคุณ : medi - [ 26 ก.ย. 46 01:45:29 ]

ความคิดเห็นที่ 49 องค์กรวิชาชีพแพทย์ที่ผมชื่นชมและขอให้กำลังใจอย่างเต็มเปี่ยมคือชมรมแพทย์ชนบทที่ทำงานและมีความเสียสละเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนชมรมแพทย์เพื่อวิชาชีพแพทย์ที่มีบทบาทในองค์กรแพทยสภาหลังจากช่วงชิงคะแนนเสียง(อย่างเคร่งเครียดในขณะนั้น)จนชนะเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาเมื่อปีที่แล้ว  เมื่อย้อนมามองเรื่องที่กลุ่มชมรมแพทย์ชนบทออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเอาผิดข้าราชการแพทย์ระดับสูงที่มีส่วนพัวพันทุจริตยา140ล้านบาท ผมขอสนับสนุนเต็มที่ ว่า แต่ชมรมแพทย์เพื่อวิชาชีพทำไมไม่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ มองข้ามไปได้อย่างไร ผมในฐานะเป็นประชาชนธรรมดาที่อยู่นอกวงการแพทย์ขอสนับสนุนและให้กำลังใจกลุ่มแพทย์ชนบทครับ ส่วนกลุ่มแพทย์ในกลุ่มชมรมแพทย์เพื่อวิชาชีพผมไม่อยากวิจารณ์ถึงนัก แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 46 07:55:54 จากคุณ : สามสุข - [ 26 ก.ย. 46 07:51:34 ]

ความคิดเห็นที่ 50 คุณ Me (คนเมืองคิ่น) อุตส่าห์แก้คำผิดแต่ก็ผิดอยู่ดี "*ความเป็น hyprocrites ของพวกนี้ก็คือ อ้างว่าเป็นโครงการถ้วนหน้า สำหรับทุกคน และ รักษาได้ทุกโรค ซึ่งเป็นเท็จทั้ง 2 ประการ จะเห็นได้จาก คณะรัฐมนตรี ตลอดจนข้าราชการชั้นสูงทุกคน ไม่มีใครมีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์เลย ว่ามี และใช้บริการจากบัตร 30 บาทนี้ ไม่ว่าชนิดใดเลย อย่างน้อยก็เป็นการแสดงถึงการ leading by example" ข้าราชการและครอบครัวที่มีสิทธิรักษาตามสิทธิสวัสดิการข้าราชการ จะมีบัตร 30 บาทไม่ได้หรอกครับ เพราะมีสวัสดิการข้าราชการอยู่แล้ว ใครมีต้องเอาไปคืนให้วุ่นวายตั้งแต่ปีที่แล้ว ครม.เป็นข้าราชการการเมืองก็คงเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว อย่าไปลดสิทธิข้าราชการเลยครับ แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว รัฐบาลชวนเริ่มบีบข้าราชการด้วยบัญชียาหลัก แล้วมีข่าวลือว่าเร็วๆนี้รัฐบาลทักษิณก็จะเริ่มบีบต่อด้วยการบังคับใช้ Clinical Practice Guideline ซึ่งทั้งสองเรื่องมันก็คือลดสวัสดิการข้าราชการแบบตรงไปตรงมา ถ้าเป็นจริงก็อยากรู้เหมือนกันว่าข้าราชการจะรู้สึกอย่างไร จากคุณ : Pom.com - [ 26 ก.ย. 46 09:09:27 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คุณ Pom.com คคห 50 ครับ ขอบคุณครับ สำหรับข้อโต้แย้ง แต่ผมก็ได้ระบุในข้อความดังกล่าวไว้ด้วยว่า "อย่างน้อยก็เป็นการแสดงถึงการ leading by example" การ "leading by example" นี้ ผมไม่ได้หมายความว่า จะต้องทำจริง ทุกครั้งที่ป่วยไข้ แต่เป็น symbolic gesture ในฐานะผู้ริเริ่มโครงการ เพียงเท่านั้นเอง ย้ำ: เป็นการแสดงความเป็นผู้นำ อย่างเช่นที่รัฐบาล ทูลเกล้าถวายบัตรทอง 30 บาท ก็เป็น symbolic gesture เช่นกัน ผมยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่า "ขณะเดียวกัน กลับนำบัตรนี้ ทูลเกล้าถวาย เป็นการสร้างภาพพจน์ ที่อาจเอื้อมมาก" ความไม่เหมาะสมอยู่ตรงที่ว่า แทนที่จะน้อมเกล้าถวาย ทำไมนายก หรือรัฐมนตรี หรือข้าราชการผู้ใหญ่ ไม่แสดง symbolic gesture นั้นเสียเอง คนไทยส่วนใหญ่ ข้องใจในจุดนี้ครับ จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 26 ก.ย. 46 16:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 52 คุณสามสุขนี่เก่งจังนะครับเก่งทางด้านดื้อรั้นและเปลี่ยนประเด็น ผมคิดว่าพี่ๆข้างบนคงให้ข้อมูลที่คนทั่วไปฟังแล้วเข้าใจ เว้นแต่จะไม่อยากเข้าใจ ต่อไปนี้วิชาชีพี้จะด้อยค่าลงเรื่อยๆในสายตาสังคม แม้ว่ามันจะมีคุณค่าในตนองก็ตามที หมอที่เป็นคนธรรมดา มีท้อมีเหนื่อย โดยอาชีพแล้วเป็นงานที่ต้องทุ่มเทและเสียเวลาว่วนตนไป เมื่อกอนสังคมตอบแทนด้วยศรทธาและเงิน แต่เรื่องเงินนี่ถ้าดูเป็นตัวเงินอาจจะเยอะแต่ถ้าดูเทียบกับ workload แล้ว ไม่ใช่เลย แต่เราๆก็ยังได้ศรัทธาและความเข้าใจมาแทนซึ่งทำให้พอที่จะชดชเยและเป็นกำลังใจในการทำงาน แต่ตอนนี้มีแต่สายตาระแวงว่าหมอหวงแต่ผลประโยชน์จากสังคม รวมทั้งความกดดันและการทำงานแบบไม่ใช้สมองของผู้กำหนดนโยบาย เรื่องค่าใช้จ่ายและระบบใหม่ที่ทำให้การทำงานยากขึ้น ยังหรอกครับนี่แค่เรื่องเก่า ยังมีเรื่องการฟ้องร้อง เรื่องพรบ ยา อีกแค่นี้ก็นำให้หลายๆคนเริ่มเหนื่อยหน่ายแล้วครับ อยากให้คนที่อคติ หรือเจ้าของกระทู้ลองมา เป็น non participant observer ดูว่าวันๆหมอ คนทำอะไรบ้าง เรื่องของระบบใช่ว่าไม่มีใครติงไม่มีใครเสนอแต่พูดแล้ว ไม่มีใครฟัง พูดแล้วโดนนำไปบิดเบือน (มายา มายา หลอนสายตา) พูดแล้วโดดนด่า ไม่เป็นไรครับท้ายที่สุดคนที่ลำบากคือประชาชนนั่นแหละ ปล.ที่ uk มีปัญหา หมอไหลจากระบบจนต้องย้ายผู้ป่วยไปรกษาต่างประเทศแทน ปล2 ไอ้หัวกระทู้ที่มีชื่อสถาบันนั่นน่ะ ต่ำเกินไปนะครับ จากคุณ : กระบี่วิญญูชน (นศพ.) - [ 26 ก.ย. 46 22:44:32 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คุณ Me (คนเมืองคิ่น) คำว่า symbolic gesture นี่มันคล้ายกับคำว่าสร้างภาพหรือเปล่าครับ ถ้ามันใช่ก็อย่าไปให้ ครม. หรือข้าราชการผู้ใหญ่เขาทำเถอะครับ มันจะทำให้ระบบสับสนเปล่าๆ ระบบตอนนี้ประชาชนทุกคนมีประกันสุขภาพจากรัฐครับ แต่แบ่งเป็น 3 เกรด 1. สวัสดิการข้าราชการ มีราว 8 ล้านคน 2. ประกันสังคมมีราว 11 ล้านคน 3. 30 บาท มีราว 46 ล้านคน แต่ละเกรด ก็มีสิทธิต่างกันไป แค่นี้ก็วุ่นพออยู่แล้วครับ อย่าไปยุยงให้รัฐบาลเขาสร้างภาพทำนองที่คุณว่าเลย จะทำให้ระบบสับสนเปล่าๆ เท่าที่เคยสร้างภาพมาก็หนักพอควรแล้ว ถ้าอยากสร้างภาพ ต้องยุให้โรงพยาบาลเอกชนที่ ครม. และพรรคพวกมีหุ้น สมัครเข้าร่วมโครงการ 30 บาทให้ครบทุกโรงพยาบาลสิครับ สร้างภาพแบบนี้โครงการ 30 บาทไปโลดแน่ ผมเชียร์เต็มที่เลย หมอรัฐจะได้สบายขึ้น ไม่ต้องลำบากเหมือนทุกวันนี้ จากคุณ : Pom.com - [ 27 ก.ย. 46 08:56:08 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คุณ Pom.com คคห 53 ถ้าคุณเองยังยอมรับว่า symbolic gesture คล้ายกับการสร้างภาพ ครม และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไม่ควรทำ แล้วทำไมรัฐบาลทูลเกล้าถวายบัตรละครับ? ผมกลับเห็นว่า การริเริ่มโครงการ หรือนโยบายใดๆ การสร้างภาพ เป็นเรื่องธรรมดา บางครั้ง ควรทำด้วยซ้ำ เพื่อให้เป็นที่สนใจ และเห็นความสำคัญ ขอย้ำ: รัฐบาลสร้างภาพ ถูกต้อง แต่การทูลเกล้าถวายบัตร เพื่อภาพพจน์ ไม่ถูกต้อง นี่คือประเด็นของผม จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 27 ก.ย. 46 10:08:35 ]

ความคิดเห็นที่ 55 คุณ Pom.com ครับ คุณยังบอกอีกว่า: "ถ้าอยากสร้างภาพ ต้องยุให้โรงพยาบาลเอกชน ที่ ครม และพรรคพวกมีหุ้น สมัครเข้าร่วมโครงการ 30 บาทให้ครบทุกโรงพยาบาลซิครับ สร้างภาพแบบนี้โครงการไปโลดแน่ ผมเชียร์เต็มที่เลย หมอรัฐจะได้สบายขึ้น ไม่ต้องลำบากเหมือนทุกวันนี้" คุณพูดแบบนี้ ทำให้ผมสงสัยว่า คุณเข้าใจปัญหานี้แค่ไหน ว่า: *ทำไม รพ เอกชน สนใจเข้าร่วมโครงการ 30 บาท น้อย? *ทำไม นายทุนในรัฐบาลนี้ เข้าไปซื้อหุ้น รพ เอกชน? *ทำไมแพทย์ รพ รัฐ ลาออกจำนวนมาก? *ทำไม หลังจาก 2 ปี โครงการนี้มีปัญหามากขึ้นๆ? เมื่อคุณยังไม่ได้แก้ปัญหาที่มีอยู่ในลิสต์ข้างต้นนี้ คุณจะใช้วิธีไหน ยุให้ รพ เอกชนเข้าร่วมโครงการนี้ได้? จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 27 ก.ย. 46 10:29:19 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ประเด็นน่าสนใจดีครับ คุณ Me และคุณ Pom.com ขอให้ความเห็นนิดเดียวครับ ผมว่าการประเมินโครงการว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลนั้นน่าจะดูจากปัจจัย 3 ประการนี้ครับ 1.ในแง่ผู้ป่วยรายบุคคล 1.1มาตรฐานการรักษา - ตัววัดเช่น โรคเดียวกัน อัตราการหาย การตายต่างจากเดิมหรือไม่ 1.2 อัตราการเข้าถึงของบริการสาธารณสุข แต่คงต้องมีตัววัดที่เป็นปัจจัยด้านตรงกันข้ามด้วย เช่น บางกรณีมีการขอยาจากผู้ป่วยบางคนโดยไม่จำเป็น โดยให้เหตุผลว่านำไปเก็บไว้เผื่อตอนไม่สบาย ทั้งนี้เพราะเห็นค่ารักษาพยาบาลถูก และแพทย์บางท่านก็ไม่กล้าปฏิเสธด้วย ตัดใจจ่ายยาไป เพราะเกรงเรื่องการร้องเรียน 1.3 ความพึงพอใจของผู้รับบริการ 2.ในแง่ผู้ให้บริการ ปัจจัยนี้ ก็ละเลยไม่ได้นะครับ เช่น ตัววัดที่เป็นดรรชนีความเหนื่อยล้า ความเครียด หรือปริมาณงาน เทียบกับการพักผ่อนน้อยลง และเป็นผลที่ทำให้การตรวจการรักษาของแพทย์ผิดพลาดจากความเหนื่อยล้าได้ 3.ในแง่ของมหภาคที่งบประมาณ 3.1 งบประมาณโรงพยาบาลว่าขาดทุนไปมากน้อยเท่าไร 3.2 ดึงงบจากกองไหนมาโปะ นั่นคือการสูญเสียโอกาส หรือ cost opportunity ในงบก้อนนั้น ๆ ไป เช่นการทำถนนบริเวณชนบทที่จำเป็นอาจจะลดลง การพัฒนาการศึกษาบางด้านอาจจะต้องลดลง เพราะเป็นการดึงงบมา อย่าลืมว่าเงินมีจำกัด การดึงมา ก็คือการเสียเงินอีกก้อนไป ตรงนี้เป็นเรื่องธรรมดา นอกจากจะเพิ่มรายได้ หรือฐานภาษีเท่านั้น ตัววัดเหล่านี้ น่าจะมีข้อมูลอยู่นะครับ ดำเนินโครงการมานานแล้ว น่าจะมีผู้รวบรวมนำมาเสนอเสียที หรือถ้าผมตกข่าว ก็กรุณาแจ้งด้วยครับ อนึ่งเรื่อง clinical practice guideine นั้น ถ้าเป็น evidence based จริง ๆ ผมไม่กลัวครับ ว่าจะเป็นการลดมาตรฐานแต่อย่างใด แต่น่าจะเป็นการให้การรักษาที่จำเป็นจริง ๆ และตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์จริง ๆ และตัดการรักษาที่ไม่เป็น evidence based ออกไปครับ กลัวว่าจะเป็น แบบ consensus based แบบที่กระทรวงสาธารณสุขทำอยู่ ซึ่งไม่เน้นการอ้างหลักฐานทางการแพทย์ครับ เป็นเพียงการสร้างแผนภูมิจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นครับ ซึ่งอ้างอิงอะไร ๆ ได้ยากกว่าครับ อ้างจาก authority เท่านั้น เรื่อง symbolic gesture นั้นถึงแม้เป็นปัจจัยเล็ก ๆทางวิชาการที่จะประเมินโครงการในสายตาผม แต่ในทางความมั่นใจของประชาชนนั้น ปัจจัยนี้มีผลไม่น้อยทีเดียวครับ เคยเห็นประเทศหนึ่งที่ตอน SARS ระบาด แล้วกลัวกันเกินเหตุไม่มีใครเดินเข้า China town หรือเปล่าครับ ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีของประเทศนั้น แสดงความปลอดภัยด้วยตัวเอง โดยจองโรงแรมเข้าพัก และ รับทานอาหารใน China town เป็นตัวอย่างครับ แค่นี้ก็มีผลจิตวิทยาเยอะแล้วครับ คงยังไม่ต้องถึงขนาดนำโรงพยาบาลที่ ครม มีหุ้นเข้าโครงการหรอกครับ สุดท้าย การทุลเกล้าถวายบัตร นั้น ไม่เห็นด้วยเหมือนกันครับ แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 46 11:10:45 จากคุณ : siktp - [ 27 ก.ย. 46 11:08:43 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อีกหน่อย ข้าราชการ ก็จะได้บัตรทอง เหมือนกัน ( แต่ต้องรอให้ผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้าก่อนนะ อิอิ ) จากคุณ : รู้แล้ว - [ 27 ก.ย. 46 11:36:17 A:203.151.122.181 X: ]

ความคิดเห็นที่ 58 ผมว่า ประเด็นสามสิบบาท ที่เถียงกันไม่เลิกนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างมีส่วนถูกอยู่ แต่ว่า แต่ละฝ่ายยังมองปัญหาและให้น้ำหนักของปัญหาแต่ละข้อ ไม่แตกหรือไม่ครอบคลุมทุกจุดนั่นเอง หรือไปให้ความสำคัญกลับปัญหาข้อปลีกย่อยไม่ได้มององค์รวม มันจึงเถียงกันไม่จบ ในความเห็นของผม เปรียบการแก้ปัญหาสาธารณสุขเหมือน การลดความอ้วนนั่นเอง ในความคิดเห็นรัฐบาล ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยนั้นอ้วนเกินไป มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น มีองคาพยพที่ไม่จำเป็นอยู่มาก จึงต้องพยายามลดส่วนไม่จำเป็นนี้ลง เปรียบเสมือนคนอ้วน ซึ่งมีไขมันส่วนเกินอยู่ตามที่ต่างๆนั่นเอง ดังนั้นหนทางที่จะลดความอ้วนได้ดีที่สุดคือ จำกัดปริมาณพลังงานหรือสารอาหาร ที่เข้าไป นั่นคือการลดงบประมาณลงนั่นเอง โดยให้ปริมาณเงิน(หรือพลังงาน) ในระดับต่ำกว่าระดับต่ำสุดที่ร่างกายต้องการ เพื่อดำรงชีวิตปกติไว้ สิ่งนี้โดยหวังว่าจะเป็นการกระตุ้นให้มีการใช้ไขมันส่วนเกินออกมามากๆ ลดส่วนที่ไม่จำเป็นลง ระบบจะได้เพรียวลม บอบบางตามที่ต้องการ ร่างกายก็จะแข็งแรงขึ้นเพราะขจัดไขมันส่วนเกินได้ แต่ปัญหาอันหนึ่งที่แพทย์พบในการลดความอ้วนก็คือ ถ้าหากลดมากไป แทนที่จะเพรียวลมดี มันกลับก่อให้เกิดผลร้ายกลับมาแทน นั่นคือเกิดการย่อยสลายโปรตีนออกมาใช้เป็นพลังงานแทนไขมันนั่นเอง และโปรตีนทั้งหมดคือ เนื้อหนัง เอ็นไซม์ต่างๆ ที่เป็นตัวระบบทำงานให้กับร่างกายนั่นเอง ดังนั้นเมื่ออดถึงระดับหนึ่ง โปรตีนทั้งหลายจะสูญสลายไป และมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายแทนที่จะแข็งแรงขึ้นก็กลับทรุดโทรมลง ทำงานไม่ได้เนื่องจากขาดตัวทำงานคือกล้ามเนื้อและเอ็นไซม์ต่างๆนั่นเอง ถ้าแพทย์ที่ทำการลดน้ำหนักนั้นไม่รู้จุดนี้ว่าร่างกายไม่ได้กำลังสลายไขมัน แต่กำลังเอาโปรตีนมาใช้แล้ว กำลังกินตัวเองเพื่อความอยู่รอดแล้ว และกลับปล่อยไว้ให้ขาดอาหารต่อไป คนไข้ที่มาลดน้ำหนักคงตายแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่ตอนนี้แพทย์กำลังทุ่มเถียงกันในราชดำเนินเรานี้ จึงเกิดจากการมองต่างมุมของแพทย์ๆทั้งหลาย และผู้ตั้งตัวเป็นแพทย์ นั่นเอง แพทย์บางส่วนบอกว่ายังมีไขมันมากอยู่ให้อดต่อไป แต่แพทย์บางส่วนก็บอกว่า ตอนนี้ไขมันหมดแล้ว กำลังใช้เนื้อหนังของร่างกายอยู่นะ ดังนั้น ต้องเพิ่มอาหารได้แล้วแทนที่จะลดอาหารต่อ ดังนั้นแพทย์คนที่ให้ความเห็นก็ควรมีความรู้ และประสบการณ์พอสมควร และต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนด้วย เพื่อเวลาวินิจฉัยโรค จะได้ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด ไม่ทำให้คนไข้เสียหาย การถกเถียงกัน ทำได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบวิชาการ คือไม่ใช้อารมณ์กัน แต่ใช้เหตุผล ใช้หลักฐานมายันกัน ไม่งั้นเดี๋ยวคนดูคงได้เห็นแพทย์ชกปากกับแพทย์แน่นอน คนไข้จะอยู่หรือจะไปก็อยู่ที่การวินิจฉัยของแพทย์แล้วละครับ แพทย์ทั้งหลายคือพวกเราชาวราชดำเนินทั้งหมดที่กำลังออกความเห็นอยู่นี้แหละครับ ไม่ใช่หมออย่างเดียว หรือวิชาชีพใดอันเดียว เพราะสิ่งที่เรารักษาไม่ใช่คน แต่เป็น ระบบ ขอให้เถียงกันอย่างมีเหตุผลและหลักฐาน ครับ เพื่อให้ได้ข้อยุติครับ แล้วคนไข้จะรอดได้ จากคุณ : kfai (kfai) - [ 27 ก.ย. 46 12:07:41 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ตอบคำถามคุณ Me (คนเมืองคิ่น) ที่ถามผมว่า คุณพูดแบบนี้ ทำให้ผมสงสัยว่า คุณเข้าใจปัญหานี้แค่ไหน ว่า: ลองตรวจคำตอบผมให้หน่อยซิครับ *ทำไม รพ เอกชน สนใจเข้าร่วมโครงการ 30 บาท น้อย? ก็ค่าหัวประกันสุขภาพคนไข้มันถูกเกินไปซิครับ ที่ลองเสี่ยงเข้าไปเป็นหนูลองยาเจ๊งทั้งนั้น ลองให้เขาแบบที่บริษัทประกันสุขภาพเขาคิดจากสมาชิกซิครับ ขี้คร้านจะแย่งกัน หรือจะเอาฐานของค่าหัวเฉลี่ยของสวัสดิการข้าราชการที่ราว 8000 บาทก็ได้ แต่อย่าเอาค่าหัวประกันสังคมมานะ นั่นมันคนหนุ่มสาว แล้วก็มีส่วนหนึ่งไม่ใช้บริการมีประกันสุขภาพของตัวเองแต่รวมอยู่ด้วย *ทำไม นายทุนในรัฐบาลนี้ เข้าไปซื้อหุ้น รพ เอกชน? จริงๆก็มีแต่นายทุนสายท่านนายกเป็นหลักครับ ซึ่งจะเอามาคิดเป็นConspiracy theory ไม่ได้ รวยขนาดนั้นซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าครับ รพ เอกชนตอนนี้ก็ใช่ว่าจะดีขึ้นสักเท่าไร ตั้งแต่มี 30 บาท ลองดูผลประกอบการซิครับ ผมเองเข้าออกโรงพยาบาลเอกชนบ่อย มีญาติให้ดูแลเยอะ ก็ไม่เห็นโรงพยาบาลเอกชนจะดีขึ้นกว่าก่อนมี 30 บาท ตอนนี้คนชั้นกลางบางส่วนที่มีเส้นสายกลับไปใช้ 30 บาทมากขึ้นแย่งกับคนจน คนรวยมากๆแล้วเส้นใหญ่ๆย้ายไปใช้โรงเรียนแพทย์ทั้งนั้น หมอโรงเรียนแพทย์เก่งๆบางคนมีงานลดลง OPD คนไข้ลด มีเวลาดูคนไข้รวยๆมากขึ้น ใครว่าโรงพยาบาลเอกชนได้ผลดี ไม่ช่วยไปช้อนซื้อหุ้นโรงพยาบาลในตลาดหุ้นบ้างละครับ *ทำไมแพทย์ รพ รัฐ ลาออกจำนวนมาก? ก็งานหนักมากขึ้น เสี่ยงถูกฟ้องมากขึ้น รายได้ตก(แวบไปทำคลีนิคหรือรพ.เอกชนยากขึ้น) โอกาสไปเทรนเป็นแพทย์เฉพาะทางยากขึ้น เด็กรุ่นใหม่บรรจุเป็นข้าราชการยากขึ้น เป็นข้าราชการก็มีสวัสดิการแย่ลง เงินกองทุนรพ.ลดลงก็แย่ทั้งคนไข้แย่ทั้งหมอ *ทำไม หลังจาก 2 ปี โครงการนี้มีปัญหามากขึ้นๆ? ใหม่ๆความเลวร้ายมันยังไม่ชัดเจน เหมือนตอนนี้นะซิครับ แล้วตอนนี้ยังไม่ถึงจุดต่ำสุดหรอกครับ เรื่องแบบนี้แก้ปัญหาด้วยการสร้างภาพไม่ได้หรอกครับ ที่ผมพูดนะประชดเผื่อฟลุกนะครับ เผื่อนายกแกบ้ายุ ดันพระราม9 กับพญาไท...เข้าร่วมโครงการ ประชาชนก็ได้ประโยชน์ แต่โรงพยาบาลเจ๊ง แถมขอแจมคุณsiktp เรื่อง  clinical practice guideline จะทำก็ทำไปเถอะครับ แต่อย่าไปบังคับ หมอแต่ละคนมีพื้นฐานไม่เหมือนกัน ทุกวันนี้ที่โรงเรียนแพทย์ หมอคนแก่กับหมอเด็กยังแอบแลกคนไข้ 30 บาทกัน ถ้าใครเขามีความเชี่ยวชาญ สามารถรักษาคนไข้ได้ดีกว่าวิธีที่กำหนดจะไปห้ามเขาทำไม แล้วก็อย่าไปคาดหวัง guideline จากสมาคมวิชาชีพมาก ใครเคยเข้าประชุมจะรู้ว่ามีอิทธิพลจากหมออาวุโสมาก ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเรื่องตกยุคแล้ว แล้วก็ค่าevidence based นะ ใครใหญ่ก็พยายามจะดันผลวิจัยของตัวเองทั้งนั้นละครับ ไม่สนใจว่าข้อมูลมันเชื่อถือได้แค่ไหน แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 46 13:14:52 จากคุณ : Pom.com - [ 27 ก.ย. 46 13:10:09 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คุณเลดี้ตกคำพูดไปส่วนนึงนะครับ เรื่องที่บอกว่าคนไข้ประชาสงเคราะห์ลดลงไปน่ะ ก็เพราะระบบสามสิบบาทจะดึงคนไข้กลุ่มนี้ไปโรงพยาบาลใกล้บ้านตนเอง ก่อนที่จะส่งมาศิริราชในฐานะผู้ป่วย30บาท คุณไม่บอกต่อไปให้จบล่ะครับว่า ตั้งแต่มีสามสิบบาท ศิริราชเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มกว่าเดิมประมาณ250% ไปคิดเอาเองว่ากี่ร้อยล้านบาท จากคุณ : Bull Shirt - [ 27 ก.ย. 46 16:08:14 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ประเด็นเรื่อง clinical practice guideline ที่เป็น evidence based ครับ guideline ชื่อก็บอกตรง ๆ อยู่แล้วครับ ว่าไม่ใช่การบังคับ แต่หลายประเทศที่นำมาใช้นั้น เพื่อยืนยันว่า indication นี้ที่ใช้ยาตัวนี้ มีหลักฐานรองรับ และเบิกได้โดยไม่มีเงื่อนไขครับ ที่คุณ Pom.com เข้าใจและเห็นอยู่ ไม่ใช่ evidene based ครับ เป็น consensus based ที่แต่ละคนดึง evidence มาอ้างเท่านั้นครับ แต่ระบบการหาหลักฐานนั้นไม่เป็นระบบ การหาหลักฐานนั้น ถ้าเป็น evidence based จริง ๆ แล้ว การหาหลักฐานนั้น ใช้กระบวนการ systematic review และ meta-analysis ครับ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ครับ ตั้งแต่การตั้ง criteria ของ article ที่จะอ้างอิง การเลือกโดยคนสองคนแบบ independently และการใช้ methodologic quality เข้าไปจับ ไม่มีโอกาสที่จะลำเอียง หรือมีผลจากแพทย์อาวุโสใด ๆ เลยครับ ถ้าสงสัยให้ลองอ่านวิธีการทำ  systematic review / meta-analysis นะครับ ซึ่งต่างจากที่คุณเห็นชัดเจนครับ ที่คุณเห็นนั้นถึงแม้จะมีการอ้างอิง reference ก็ไม่ใช่ evidence based ครับ ลองอ่านบทความของ Richard Peto หรือ Iain Chalmers ก็ได้นะครับ ถ้าทำถูก methodology และไม่มี heterogeneity แล้วถือเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระดับสูงสุดที่ IA ครับ ( Centre for Evidence Based Medicine UK ) http://www.cebm.net/levels_of_evidence.asp แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 46 20:28:34 จากคุณ : siktp - [ 27 ก.ย. 46 20:18:22 ]

ความคิดเห็นที่ 62 โครงการ 30 บาท เป็นโครงการที่เกิดจากการศึกษาวิเคราะห์เพื่อแก้ปํญหาสาธารณสุขของไทยที่ได้สะสมกันมายาวนาน โครงการนี้ยังต้องอาศัยการรวบรวมและแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดจากทั้งตัวบุคคลในหลายฝ่าย ตลอดจนการเรื่องงบประมาณ การบริหาร การจัดการ .. ลำพังนักการเมืองคงไม่อาจทำให้โครงการนี้สำเร็จได้ บุคคลากรทางสาธารณสุขตลอดจนประชาชนทุกหมู่เหล่าต้องร่วมแรงร่วมใจกันจึงจะประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้มิใช่เพื่อจะให้เป็นเพียงผลงานของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นไปเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ และที่จริงก็เพื่อพวกเราทุกคนนั่นเอง จากคุณ : ชีพ ชูชัย - [ 29 ก.ย. 46 09:07:36 A:203.170.153.82 X: ]

ความคิดเห็นที่ 63 ในฐานะคนเสียภาษีคนหนึ่งอยากถามว่า 1.อาชีพนี้มันต่างกับข้าราชการอื่นๆตรงใหน ในเมื่อทุกคนมีหน้าที่เหมือนกัน อย่างครูก็งานหนัก แถมเงินเดือนก็คิดว่าได้น้อยกว่าอาชีพนี้ 2. คนที่เข้ามาทำอาชีพนี้คาดหวังอย่างไรก่อนที่จะเข้ามาเรียนและทำงานในหน้าที่นี้ เพราะส่วนตัวเห็นว่าอาชีพนี้มันเป็นอาชีพสงวนสำหรับคนที่รักด้านนี้จริงๆ(คือบริการ) 3. นอกจากงานเยอะขึ้นแล้ว เงินและสวัสดิการต่างๆที่ควรจะได้ตามระเบียบ ย้ำ! ตามระบียบที่ควรจะได้มันลดลงหรือเปล่า 4. เป็นไปได้ไหมที่ควรจะให้อาชีพนี้แก่คนที่รักจริงๆ ไม่ใช่เพื่อหวังอย่างอื่น เพราะคิดว่ายังมีคนที่รักอาชีพนี้แต่เขาไม่มีโอกาสเพราะตอนสอบสู้คนที่เก่งกว่าแต่ไม่ได้รักอาชีพนี้อย่างจริงๆเพราะสาขานี้มันรับน้อยและค่าใช้จ่ายต่อหัวมันสูงมาก สุดท้ายในฐานะคนที่มีบ้านอยู่ต่างจังหวัดขอย้ำว่าโครงการนี้มันดีมากสำหรับคนต่างจังหวัดอย่างตอนนี้มีญาติกำลังเป็นมะเร็งเต้านมกำลังรักษาอยู่ต้องไปหาหมอบ่อยเสียค่าบริการครั้งละ 30 บาท ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่รู้ว่าจะหมดไปเท่าไหร่แล้ว จากคุณ : แม้วดอยหลวง - [ 29 ก.ย. 46 10:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ครูสอนเด็กห้องละ 40 คน ทำงานตามเวลาราชการ หมอ รพ.รัฐบาล ตรวจคนไข้วันละ 200 คน กลางคืนต้องอยู่เวร วันรุ่งขึ้นไม่ได้หยุด เสาร์-อาทิตย์หยุดราชการ ต้องขึ้นมาตรวจคนไข้ตอนเช้า พยาบาล 1 คนดูคนไข้มากกว่า15-20 คน ต่อเวร ต่อคน (ตามมาตรฐาน ต้อง 10 ต่อ 1 ) จากคุณ : ให้ข้อมูล - [ 29 ก.ย. 46 13:29:18 A:203.113.67.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 65 เห็นบอกว่า ตั้งแต่มีโครงการ 30 บาทแล้ว แพทย์ทำงานหนักขึ้น คนไข้มากขึ้น แพทย์ทนไม่ไหวเลยลาออก ผมว่า โครงการ 30 บาท มันก็เป็นแค่ "โครงการ" มันไม่ใช่โรคระบาดที่ทำให้คนป่วยมากขึ้น จริง ๆ แล้ว คนไข้มากขึ้น หรือ คนไข้เท่าเดิม แต่คนกล้าไปหาหมอมากขึ้น เพราะคำว่า "30 บาท" ทำให้มั่นใจที่จะเดินเข้าโรงพยาบาทไปหาหมอ เพราะมั่นใจว่ามีเงินจ่าย ทักษิณกับสุดารัตน์ก็ยังบอกว่าโครงการนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องปรับปรุงอีก แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับคนจนทั่วไป ใครจะกล้าไปหาโรงพยาบาลแล้วขอสังคมสงเคราะห์ทุกราย บางคนก็ไม่รู้ว่ามี น่าเศร้าก็คือ แพทย์ลาออก คนที่เป็นแพทย์เพื่อช่วยเหลือคนในสังคม ได้รับการนับถือจากคนในสังคม ว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ กลับแสดงการไม่อยากช่วยเหลือคนในสังคม เพราะตัวเองงานหนักขึ้น บางคนก็บอกว่า โรงพยาบาลรัฐเสียค่าใช้จ่ายเพื่อโครงการนี้เยอะขึ้น โรงพยาบาลขาดทุน ผมว่ามันเป็นเงินที่ควรจะเสีย เงินงบประมาณเสียไปเพื่อรักษาชีวิตคนไทย จะมีงบประมาณไหนที่สำคัญกว่านี้อีก ปัญหาอยู่ที่ จำนวนแพทย์ต่อประชากรทั่วไปของไทยน้อยมาก ทำให้แพทย์รับภาระการรักษาพยาบาลในจำนวนมากไปด้วย เงินงบประมาณสำหรับโครงการไม่พอ ต้องเข้าใจว่าเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน อาจจะมีบางอย่างที่ไม่เหมาะสม ก็ต้องทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ลาออกอย่างเดียว เพราะรู้สึกว่าตัวเองทำงานหนัก ไม่คุ้มเงินที่ได้รับ เงินเดือนหมอที่รัฐจ่ายให้นี่ มีหมอคนไหนกล้าบอกหรือเปล่าที่ว่าน้อยนี่ได้เท่าไหร่ เอาหมอเพิ่งจบมาเลยก็ได้ เห็นพูดกันน้อย ๆ ตลอด ผมว่าไม่น้อยเลย ถ้าเทียบกับคนจบปริญญาตรีทั่ว ๆ ไป แต่มันน้อยถ้าเทียบกับที่จะได้จากโรงพยาบาลเอกชน คนที่เป็นแพทย์ เคยสังเกตหน้าคนไข้ หน้าญาติคนไข้ที่คุณรักษาให้เขารอดหรือเปล่า สีหน้าเขาปลาบปลื้มในบุญคุณของคนเป็นแพทย์มากขนาดไหน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้คุณรักอาชีพแพทย์บางเลยหรือไง เจอปัญหาหน่อยก็ลาออก ถามตัวเองว่ามาเรียนแพทย์ทำไมดีกว่า จากคุณ : kazama - [ 29 ก.ย. 46 14:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตอบ ความคิดเห็นที่ 65 1. ผมว่า โครงการ 30 บาท มันก็เป็นแค่ "โครงการ" มันไม่ใช่โรคระบาดที่ทำให้คนป่วยมากขึ้น จริง ๆ แล้ว คนไข้มากขึ้น หรือ คนไข้เท่าเดิม แต่คนกล้าไปหาหมอมากขึ้น เพราะคำว่า "30 บาท" ทำให้มั่นใจที่จะเดินเข้าโรงพยาบาทไปหาหมอ เพราะมั่นใจว่ามีเงินจ่าย มันทำให้เวลาที่คนเป็นโรคที่ไม่ต้องทำอะไรก็หาย โรคที่สามารถรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหมอ ก็ยังมาหาหมอ ไปเพิ่มภาระ เพิ่มคิวของคนไข้ที่เขาป่วยจริงๆ ให้มากขึ้นซะอีก 2. น่าเศร้าก็คือ แพทย์ลาออก คนที่เป็นแพทย์เพื่อช่วยเหลือคนในสังคม ได้รับการนับถือจากคนในสังคม ว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ กลับแสดงการไม่อยากช่วยเหลือคนในสังคม เพราะตัวเองงานหนักขึ้น เขาอาจจะลาออกเพราะเหตุผลส่วนตัวก็ได้ เช่น ทำงานไม่เป็นสุข ต้องการเวลาอยู่กับครอบครัวให้มากขึ้นหรือว่ามีปัญหาทางด้านสุขภาพ แล้วการลาออกนี่ มันก็เป็นสิทธิของทุกวิชาชีพอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ คุณทำงานๆ ไป ไม่พอใจงานเดิม ก็ลาออก ไปหางานทำใหม่ มีใครว่าคุณไหมล่ะ 3. บางคนก็บอกว่า โรงพยาบาลรัฐเสียค่าใช้จ่ายเพื่อโครงการนี้เยอะขึ้น โรงพยาบาลขาดทุน ผมว่ามันเป็นเงินที่ควรจะเสีย เงินงบประมาณเสียไปเพื่อรักษาชีวิตคนไทย จะมีงบประมาณไหนที่สำคัญกว่านี้อีก ตื่นได้แล้วครับ ........ เงินที่มันจะต้องเสีย มันอาจจะเป็นประโยชน์อย่างที่คุณว่าจริงๆ แต่อีกไม่ช้าไม่นาน มันก็จะ "หมด" ถ้าหมดแล้ว รพ.หายไปทั้ง รพ.เลยล่ะครับ แล้วคนไข้ในภายภาคหน้าจะเข้า รพ.ที่ไหนครับ ขอถามคุณหน่อย 4. เงินเดือนหมอที่รัฐจ่ายให้นี่ มีหมอคนไหนกล้าบอกหรือเปล่าที่ว่าน้อยนี่ได้เท่าไหร่ เอาหมอเพิ่งจบมาเลยก็ได้ เห็นพูดกันน้อย ๆ ตลอด ผมว่าไม่น้อยเลย มีคนเคยบอกไปแล้วครับ แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไร แต่ก็ราวๆ อาชีพราชการอื่นๆ นั่นแหละครับ 5. คนที่เป็นแพทย์ เคยสังเกตหน้าคนไข้ หน้าญาติคนไข้ที่คุณรักษาให้เขารอดหรือเปล่า สีหน้าเขาปลาบปลื้มในบุญคุณของคนเป็นแพทย์มากขนาดไหน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้คุณรักอาชีพแพทย์บางเลยหรือไง เจอปัญหาหน่อยก็ลาออก ถามตัวเองว่ามาเรียนแพทย์ทำไมดีกว่า ผมยังไม่ได้เป็นหมอนะ แต่พอจะนึกถึงใบหน้านั้นได้ แต่ใบหน้านั้นมันกำลังจะเลือนหายไป สำหรับปัจจุบัน คนไข้มองเราเป็นคนขายของแล้วครับ คนขายของเหมือนตาแป๊ะขายกาแฟ หรือพนักงานขายของที่ bigC ถามว่า คุณเคยซาบซึ้งกับพนักงานขายของใน BigC หรือเปล่า ที่กรุณาเอาของมาบริการให้คุณ ความคิดของคุณมัน เป็นอุดมคติเกินไปครับ มันเป็นไปได้จริงยาก... จากคุณ : (ก้อนหิน) ละเมอ -_- ..z..z..z - [ 29 ก.ย. 46 17:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ประเด็นการลาออกของหมอนี่ HOT จัง เรื่อง 30 บาทผมว่าหมอส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการ แต่ในทางปฎิบัติต้องถกเถียงกันอีกเยอะ แต่รู้สึกว่าผู้กุมนโยบายไม่ฟังเท่าไร แต่หมอส่วนใหญ่ก็พร้อมจะสู้ต่อนะผมว่า ส่วนกระแสลาออกที่มีมากตอนนี้เท่าที่ทราบไม่ใช่การคัดค้านโครงการ 30 บาทนะครับ เป็นเรื่อง พรบ.ยา พรบ.หลักประกันสุขภาพมากกว่า คุณ siktp ก็กล่าวแล้ว คห.34 ก็ยังโยงมาอีก รู้สึกว่าปัญหาเก่ายังไม่ได้ข้อสรุป รัฐก็เอาปัญหาใหม่มาใส่จนมันพันกันไปหมด .....จนหมอท้อครับ....... จากคุณ : sib (ม้าสีเทา) - [ 29 ก.ย. 46 22:13:02 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ครูสอนผิด เด็กไม่รู้หนังสือ ผลคือสอบตก หมอรักษาผิด ผลคือตาย พิการ มันจะไปเหมือนกันได้ยังไง เด็กไม่รู้หนังสือ ฟ้องร้องครูได้หรือเปล่า แต่ฟ้องร้องหมอได้หากรักษาผิด ง่ายๆอย่างนี้ แต่เงินค่าตอบแทนคิดอย่างเดียวกัน จากคุณ : ball - [ 29 ก.ย. 46 22:33:19 A:202.183.161.43 X: ]

ความคิดเห็นที่ 69 พ่อผมเป็นหมอเคยจะโดนฟ้องเพราะมีเด็กตาย ตอนนั้นชายคนนึงอุ้มลูกมาที่บ้านพ่อผม (เป็นคลินิก) เด็กคนนั้นเป็นหอบอาการหนักมาก พ่อผมทิ้งคนไข้ที่กำลังตรวจอยู่ (อาการไม่หนัก) เพื่อที่จะไปดูแลเด็กคนนั้น พ่อผมเห็นว่าอาการเด็กทรุดมากจนรักษาไม่ไหว จึงบอกให้ลูกน้องโทรเรียกรถพยาบาลที่โรงบาลใกล้ที่สุด พ่อผมรีบเอาหน้ากากครอบเพื่อที่จะให้ยายืดเวลาเด็กคนนั้นออกไป แต่ยังไม่ทันที่พ่อผมจะเอาหน้ากากใส่เด็กคนนั้นก็ตายในแขนพ่อผม ทั้งหมดเกิดขึ้นในประมาณไม่เกิน 3 นาที พ่อของเด็กคนนั้นจะฟ้องร้องพ่อผม พ่อผมเห็นด้วยกับ 30 บาท พ่อผมยอมเสียรายได้ไปเพื่อสนองนโยบายรัฐ แต่ดูสิ่งที่พ่อผมจะได้สิครับ คนไข้รายนี้ถ้าฟ้องร้องชนะ พ่อผมต้องจ่ายเป็นแสนๆ แถมโดนยึดไปประกอบโรคศิลป์ ทั้งหมดนี้เพียงเพราะว่าพ่อผมพยายามจะช่วย คุณรู้รึเปล่าว่ากฏหมายตั้งบทลงโทษไว้อย่างไร ถ้าหมอเมินเฉยนิ่งดูดายก็เสียแค่ไม่กี่พัน ในเมื่อกฏหมายมันออกมาอย่างนี้อย่าหาว่าหมอหลายคนใจดำนะครับ โชคดีที่ภรรยาของชายคนนั้นห้ามปรามไว้ซะก่อน ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าเรื่องจะไปขนาดไหน หมอก็คนต้องกินต้องใช้ ลูกหมอก็ต้องเรียนหนังสือ นโยบาย 30 บาทนี่ยังพอยอมรับได้ แต่นโยบายที่ให้หมอตรวจอย่างเดียวแต่ให้ซื้อยากับเภสัชกรล่ะ ไม่ไหวล่ะครับ แถมตรวจไม่ดีก็โดนหนัก ไม่ตรวจก็โดน ถ้ารัฐจัดสวัสดิการให้คนทั่วไปได้ก็ขอความมั่นคงให้หมอบ้างสิครับ จากคุณ : ลูกหมอ (Daedalus) - [ 30 ก.ย. 46 04:18:27 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ว่าแล้วตั้งคำถามสั้นๆดีกว่าว่า "พวกหมอที่นั่งโต๊ะอยู่ในสภามัวแต่ยุ่งเรื่องการเมืองน่ะ เคยได้ออกมาตรวจคนไข้เองแบบหมอทั่วไปบ้างไหม เอาแต่ตั้งนโยบายที่มันเป็น idealistic แต่พอทำจริงๆน่ะมันยาก" พ่อผมบอกว่าหมอทุกคนก็อยากที่จะตรวจให้คนไข้หาย แต่ก็มีหลายครั้งที่พอไปสั่งยาห้องยาบอกว่ายาหมด ได้ไง...ก็เพราะโรงบาลไม่มีตังสั่งยาบางตัว เพราะ 30 บาทนี่ไง อันไหนพอใช้แทนกันได้ก็ตามมีตามเกิดไปก่อน ดังนั้นก็โดนคนไข้บ่น เสียชื่อเสียง เสียเกียรติ์ ตัวอย่างง่ายๆเรื่องหนี้ 30 บาทนะ ผมเป็น นศ. มอเชียงใหม่ ที่โรงบาลสวนดอกเนี่ย อ. เคยบอกว่ารัฐติดหนี้โรงบาลอยู่ไม่รู้กี่ร้อยล้าน เพราะโครงการเนี้ยะ จากคุณ : ลูกหมอ (Daedalus) - [ 30 ก.ย. 46 04:28:41 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณคุณ siktp มากครับความรูแน่นมากผมอยากคุยกับคุณบ้างเผื่อจะได้มีความรู้มากขึ้น ถ้าไม่รังเกียจผมจะทิ้ง e-mail ไว้ ผมเบื่อแล้วล่ะครับกับประโยคว่า หมอต้องเสียสละ คนจนได้ประโยชน์ หมอวิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน คิดถึงชาวบ้านบ้างสิ คำพูดพวกนี้ผมเข้าใจครับว่าคนที่พูดออกมาคงไม่เข้าใจในระบบ การทำงานของแพทย์ ไม่รู้ว่าเราทำงานกันอย่างไร และไม่รู้เรื่องในระบบสาธารณสุข ก็ดีครับที่วิพากษ์วิจารณ์กัน แต่ก่อนจะมาเนี่ย ลอง review ดูดีไหมครับว่า หมอเขาทำอะไรกันบ้าง แล้วระบบใหม่ๆนี่มันกระทบต่อ ระบบสาธารณสุขในภาพรวมอย่างไร เราพูดถึงระบบในภาพรวมนะครับ พูดจนไม่รู้เท่าไหร่แล้วว่า welfare ของหมอก็ควรที่จะได้รับเช่นเดียวกับข้าราชการอื่น โดยคำนวณตาม workload และความเสี่ยงในการทำงาน น่าเบื่อจัง สิ่งที่ทำให้คนอยากเรียนหมอ มี - อย่างครับ รายได้ เที่ยบกัค่าครองชีพและภาระงาน การนับถือจากคนในสังคม ยความภูมิใจ่ได้รักษาคน แต่ต่อไปมันจะเหลือเพียงอันสุดท้ายอันเดียว ซึ่งหมอก็เป็นคนธรรมดาวันไหน เวลาไหนที่ท้อหรือเกนื่อย อ้ความภ มิใจนั่นมันหายไปแล้ว หมอจะทำอย่างไรมื่อสังคมทำให้เราทิ้งความเป็นหมอ มาเป็นพนักงาน seven ทำตาท routine จากคุณ : the_end04@hotmail.com (นศพ.) - [ 30 ก.ย. 46 21:11:18 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ..หมอดีๆ ก็มีเยอะครับ...อย่าไปเหมารวมหมด หมอที่คิดว่าตัวเองทำงานหนักนักหนานั่นน่ะ ออกเวรแล้วก็ไปประจำคลินิกต่อยังไหวอยู่นะครับ คนเหล็กจริงๆ... ผมรู้จักหมอโรคมะเร็งซึ่งงานล้นซะเรียกได้ว่า ยิ่งกว่าล้น นั่นน่ะผมยอมรับว่าหนักหนาจริงๆ... อยากให้คน...เห็นใจหมอ...และอยากให้รู้ว่าหมอก็คน ธรรมดาเหมือนกัน... ขอประณามคนมีอันจะกิน ที่นิยมใช้ 30 บาท อ้อ หมอรู้มั้ยครับ ว่าพนักงาน seven ทำงานหนักยิ่งกว่า หมออีก....แม้จะไม่รับผิดชอบมากเท่าหมอก็ตาม จากคุณ : siamese dog - [ 1 ต.ค. 46 05:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 73 30 บาท จะดีกว่านี้ ถ้ารัฐบาลไม่จำกัดงบประมาณในการรักษาให้ รพ รัฐบาลทำเหมือนรวย บอกว่า 30 บาม รักษาได้ทุกโรค แต่จริง ๆ มาจำกัดงบค่ายา ค่ารักษากับ รพ ทีนี้ รพ ก็ต้องพยายามจำกัดค่าใช้จ่าย แต่ผู้บริการต้องการแบบดีที่สุด แพงที่สุด มันก้เลยทำให้ไม่เข้าใจกันครับ เป้นเรื่องเป็นราวขึ้นมา  ภาพพจน์สาธารณสุขไทยเลยแย่ลง คุณ ๆ ต้องยอมรับความจริงที่ว่า ของถูกย่อมได้รับบริการที่ด้อยกว่าเสียเงินนะครับ  รถเมล์ยังมีรถธรรมดา ปรับอากาศ  เครื่องบินยังมีชั้น first class / economic class เพียงแต่รัฐบาลผิดพลาดตรงการประชาสัมพันธ์ ใช้ชื่อว่าเป็นบัตรทอง (ให้ชาวบ้านภูมิใจ)  จริง ๆ มันก็คือ บัตรสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยสมัยก่อนนั่นแหละ และที่ผิดพลาดมากยิ่งกว่าคือไปแจกบัตรทองทุกคน โดยไม่แยกคนจนคนรวย  ทำให้คนรวยมาใช้สิทธิ เบียดบังคนจน  และพวกคนรวยนี่แหละที่ชอบโวยวาย ต่อว่า การบริการ ผมว่าน่าจะใช้ชือว่าบัตรรักษามาตรฐานสำหรับประชาชน  ก็น่าจะดีนะ คนถือบัตรจะได้ไม่คาดหวังสิ่งที่ดีเลิศเกินความจำป็น  อย่าหลอกชาวบ้านเลยครับ และขอทีกับคนที่ชอบเรียกร้องให้คนอื่นเสียสละอ่ะ พอเถอะครับ อย่าใช้คำนี้พร่ำเพรื่อเลย แล้วคุณ สุนัขสยามครับ คุณอย่าเอาแต่ละอาชีพมาเทียบกันเลยครับ ทุกอาชีพย่อมต้องรับผิดชอบในอาชีพของตน มาเปรียบกันไม่ดีหรอกครับ ไม่แน่นะ ถ้ามีคนบอกว่าอาชีพคนกวาดถนนอาจจะรับผิดชอบมากกว่าคุณก็ได้ คุณจะคิดยังไง อย่าใช้ปากเหมือนชื่อเลยครับ แล้วคุณสามสุขครับ  ตกลงอายุเฉลี่ยของหมอไทย ยังอยู่ที่ 87 ปี แบบที่คุณเคยบอกหรือเปล่า หรือทำเป็นจำไม่ได้แล้ว แหม มีกระทู้เรื่องหมอทีไร สามสุขต้องมาร่วมแจมทุกทีเลยนะจ๊ะ สามสุข จำผมได้เปล่าล่ะ คิคิ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 46 10:32:27 จากคุณ : ผมเอง (asdft5) - [ 1 ต.ค. 46 10:02:06 ]

ความคิดเห็นที่ 74 อ้าวโดนหาว่าปากหมาซะแล่ว ผมป่าวเปรียบเทียบหรอกครับ ก็อยากให้หมอรู้กันไว้เท่านั้นเองว่าอาชีพอื่นไม่ได้ ทำงานกันสบายๆ นักหรอก... จากคุณ : siamese dog - [ 2 ต.ค. 46 01:20:30 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ผมแค่อยากชี้ให้คุณสุนัขสยามเห็นครับ ว่าจริงอยู่งานหนัก อย่างเดียว ไม่เท่าไหร่ แต่หนักใจนี่ลำบากนะครับ คุณเคยเห็นข่าวเด็กเซเว่นถูกฟ้องร้องเพราะหยิบสินค้าผิดให้คนซื้อเหรอเปล่า แต่เราเห็นบ่อยมาก หมอถูกฟ้องร้อง บางคนเรียกเงินเป้นร้อยล้านก็ยังมี แบบนี้ผมถึงไม่อยากให้คุณเอาอาชีพและอย่างมาเปรียบเทียบกันครับ หวังว่าคงเข้าใจเจตนาของผมนะ จากคุณ : ผมเอง (asdft5) - [ 2 ต.ค. 46 10:22:51 ]

ความคิดเห็นที่ 76 http://www.nanawebboard.com/cgi-bin/forum/board10/topic.pl?t=1537 โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม 2 ขอถอนยวงออกจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หลังปิดปีงบประมาณนี้เผยตั้งแต่เข้าโครงการ 2 ปีขาดทุนไปแล้วเกือบ 60 ล.แถมโดนคนไข้ด่ายับทำให้เสียภาพพจน์ พร้อมทำความเข้าใจและแจ้งกับผู้นำชุมชนเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์วรพันธ์ อุณจักร ผู้อำนวยการบริหารโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม 1 และ 2 เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม 2 จะออกจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งครบกำหนดสิ้นปีงบประมาณพอดี สาเหตุที่ต้องขอออกจากโครงการนี้ เนื่องจาก โรงพยาบาลไม่สามารถแบกรับภาระการขาดทุนต่อไปได้อีก โดยโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม 2 ได้เข้าร่วมโครงการนี้ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นระยะเวลา 2 ปีพอดี โดยมีปริมาณคนไข้ที่เข้ารับการรักษาในโครงการนี้ มีวันละไม่ต่ำกว่า 100 คน รายรับที่ได้จากโครงการนี้เพียงปีละ 14-15 ล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่โรงพยาบาลต้องรับภาระการจ่ายจริงถึงปีละเกือบ 30 ล้านบาท นายแพทย์วรพันธ์ กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกินกว่ารายรับแล้ว ยังประสบปัญหาจากโครงการนี้หลายประเด็นด้วยกัน คือ จำนวนประชากรที่ได้รับนั้นมีน้อยเกินไป เพราะการทำงานแบบเหมาจ่าย ต้องเอาจำนวนคนที่ไม่เจ็บป่วยมาถัวเฉลี่ยกับคนที่เจ็บป่วย แล้วมาใช้บริการ ซึ่งจากการศึกษาของกระทรวงสาธารณสุขเองพบว่า ควรจะมีประชากรอย่างน้อยที่สุด 3-5 หมื่นคน แต่ในเมืองเชียงใหม่ โรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งได้รับผิดชอบเพียงแห่งละ 1 หมื่นคนทำให้ประสบปัญหาและทางโรงพยาบาลเองก็อยู่ไม่ได้ ทำให้เมื่อเราออกจากโครงการแล้วจำนวนประชากรที่มีอยู่ ก็สามารถไปถัวเฉลี่ยให้กับโรงพยาบาลเอกชนอื่นได้ นอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาที่ระบบการจ่ายเงิน ของสำนักงานประกันสุขภาพ ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินออกมาให้ก่อน แต่จะให้ทางโรงพยาบาลที่เข้าโครงการ เป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายของสถานีอนามัย ที่เป็นเครือข่ายซึ่งโรงพยาบาลจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายไปก่อน แล้วค่อนทำการเบิกคืนทีหลัง ซึ่งถือเป็นอุปสรรคทางการเงินของโรงพยาบาลเอง ประกอบกับวัฒนธรรมการทำงานระหว่างภาครัฐกับเอกชน ที่ไม่เกื้อหนุนซึ่งกันและกันทำให้มีปัญหา นายแพทย์วรพันธ์ กล่าวอีกว่า ประเด็นสุดท้ายที่เป็นส่วนผลักดันอย่างมาก ที่ทำให้ผู้บริหารของโรงพยาบาลต้องตัดสินใจออกจากโครงการนี้คือ ความไม่เข้าใจกันระหว่างโรงพยาบาลกับคนไข้ โดยเฉพาะประเด็นการรักษาโรคบางโรค ที่ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในโครงการ 30 บาทได้ ซึ่งความไม่เข้าใจดังกล่าวทำให้เกิดการโต้เถียงที่รุนแรง ซึ่งบางครั้งกลายเป็นภาพพจน์ ที่ไม่ดีของโรงพยาบาลทำให้โรงพยาบาลเสียชื่อเสียงซึ่งไม่คุ้มกันเลย " บุคลากรของโรงพยาบาลเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ใกล้ชิดกับคนไข้บางราย ก็ถอดใจกันไปเลย เพราะทนกับเสียงด่าทอของคนไข้ไม่ไหว ทั้ง ๆ ที่เราก็ทำดีที่สุดแล้ว จึงคิดว่าทำไปก็ขาดทุนแถมโดนด่าอีก ผู้บริหารจึงลงมติให้ออกจากโครงการนี้ดีกว่า เพื่อรักษาชื่อเสียงของโรงพยาบาลไว้" นายแพทย์วรพันธ์กล่าว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้แจ้งเรื่องการออกจากโครงการ 30 บาท ให้กับผู้นำชุมชนในโซนที่โรงพยาบาล เป็นผู้รับผิดชอบไปบ้างแล้ว และคาดว่าเมื่อออกจากโครงการแล้ว จะไม่มีคนไข้มาขอใช้บริการในโครงการนี้ที่โรงพยาบาลอีก ซึ่งด้านผู้นำชุมชนเองก็เข้าใจ และมีการสื่อประชาสัมพันธ์ให้กับคนในชุมชนรับทราบไปแล้ว ข่าวจาก ผจก.ออนไลน์ จากคุณ : ข้าวหมูแดงจานละ 30 บาท - [ 2 ต.ค. 46 10:41:26 A:202.28.27.5 X:10.8.1.32 ]