ความคิดเห็นที่ 1 ชาวนาบางคนรวยกว่าวิศวกรบางคนอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ชาวนาทุกคนจะรวยกว่าวิศวกรทุกคน และเป็นไปไม่ได้ที่วิศวกรทุกคนจะรวยกว่าชาวนาทุกคน จากคุณ : แกะแหนม - [ 12 ต.ค. 46 00:42:51 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ชาวนา จ้างตนเอง ไอ้พวกวิศวกร เป็นได้แค่ลูกจ้าง จากคุณ : กระแช่ ณ ปากน้ำ - [ 12 ต.ค. 46 00:56:17 A:202.59.255.17 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทำไงก็ได้ให้ข้าวหอมมะลิของเราเป็นคล้ายๆสารเสพติด หาซื้อได้ที่ไทยเท่านั้น ตอนนั้นหละชาวนาจะเป็นใหญ่ แต่ต้องระวังพวกพ่อค้าคนกลางด้วย พวกชอบทำนาบนหลังชาวนาอีกที จากคุณ : plee - [ 12 ต.ค. 46 01:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมวิศวกรครับ แต่ละเดือนไม่พอกิน โถเศร้า จากคุณ : ละมั่ง - [ 12 ต.ค. 46 01:34:30 A:203.144.193.54 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 คือถ้าคุณอ่านหนังสือ Rich Dad Poor Dad อะไรนั่น มากจนเกินไป คุณอาจจะคิดเหมือนใครบางคนแบบไร้เหตุผลเรื่องนายจ้างลูกจ้าง โรเบิร์ต คิโรซากิ ถูกวิจารณ์เสมอว่าเป็นแค่คนเขียนหนังสือปลุกใจ ซึ่งก็จริงที่มันชักนำคนที่อ่านหนังสือของเขาไปในทางที่ผิด ทุกอย่างที่คุณใช้อย่างสะดวกทุกวันนี้มันเป็นเพราะลูกจ้างนั่นแหละครับที่นั่งพัฒนาในแลป และพวกลูกจ้างวิศวกรก็เป็นนายจ้างของสมอง จากคุณ : Mollusk - [ 12 ต.ค. 46 02:41:13 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กลับมาถึงคำถาม ถ้าพูดถึงชาวนา ไม่ใช่คนที่ปลูกข้าวทุกคน ดังนั้น ชาวนา จะปลูกอะไรแค่อย่างเดียวไม่ได้ เช่นทำนาสวนแต่ละอย่าง ให้ผลผลิตปีละครั้ง อย่างน้อยควรจะมีพืชผลการผลิตต่างๆกันไปที่ให้ผลเดือนละครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเรื่องไร่นาสวนผสมมาแต่สมัยผมเพิ่งจำความได้ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพืชผล ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้ เทคโนโลจี และ พันธุวิศวกรรม ชาวนาต้องศึกษาว่า ปลายทางของผลผลิตของเขาไปอยู่ที่ไหน ความต้องการมีที่ไหน เมื่อไหร่ ขนส่งไปอย่างไร ใครเป็นผู้ขน จัดการอย่างไร รายจ่ายเท่าไหร่ แล้วนำมาคิดว่าจะต้องตั้งราคาเท่าไหร่ โดยไม่พึ่งพ่อค้าคนกลาง ซึ่งแน่นอนว่าชาวนาต้องรวมตัวกัน จริงๆแล้วเรื่องต้นทุน อย่างการปลูกข้าวสมัยก่อน ก็มีการลงแขก ซึ่งมีต้นทุนต่ำมาก เป็นวัฒนธรรมที่เกือบสูญหายไปแล้ว รัฐบาล ไม่ได้ช่วยอะไรให้เกิประโยชน์ มองปัญหาผิด แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรแปลงทรัพย์สินเป้นทุน เป็นความคิดที่ไม่ฉลาด และมาจากประเทศอุ๖สาหกรรมอย่างเปรู ไม่ใช่เกษตรกรรม ถ้าจะถามว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เรื่องนี้ต้องให้เวลาศึกษา การที่จะศึกษาปัญหาแล้วมาแค่เขียนในนี้ เพื่อให้คนที่มีคุณภาพที่เรารู้กันดีอยู่ในนี้อ่าน มันเป็นการเสียเวลาครับ แต่ถ้าจะบอกวิธีการแก้ปัญหาง่ายๆเดพียงหนึ่งบรรทัด ก็บอกได้ว่า ให้ยึดถือประราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครับ เพราะท่านทรงทอดพระเนตรเห็นปัญหาที่แท้จริง จากคุณ : Mollusk - [ 12 ต.ค. 46 03:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ชาวนาจ้างตัวเองให้พ่อค้ามันกดขี่ใช่ป่าวนายกระแช่ จากคุณ : ศิรพล (guyver) - [ 12 ต.ค. 46 03:26:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ชาวนาญี่ปุ่นรวยกว่าวิศวกร เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นรับซื้อข้าวในราคาสูงมาก แต่ก็แปลกที่ถึงแม้อาชีพชาวนาญี่ปุ่นเป็นอาชีพที่ทำแล้วรวย แต่ลูกๆชาวนากลับไปทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทกันเกือบหมด อีกหน่อยญี่ปุ่นคงต้องจ้างชาวนาไทยไปช่วยทำนาให้แน่ๆ จากคุณ : นายชัย - [ 12 ต.ค. 46 03:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมขอบอกก่อนว่าเป็นเด็กชาวเมือง โตในเมือง ไม่เคยทำนา ไม่เคยทำสวน เพราะฉะนั้นคงมีหลายอย่างที่ผมไม่ทราบ แต่ผม "รับรู้" มาว่าชาวนาไทยนั้นลำบาก และไม่สามารถ มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ทำงานก็หนัก เจ็บป่วยก็ลำบาก จะเรียนก็ลำบาก (อันนี้ฟังคุณสานิดมา) มีหนี้สิน ชาวนาในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมันนี เขาลำบากเหมือนชาวนาของเราหรือ เปล่าครับ (อันนี้ก็ไม่เคยเห็นอีก ไม่รู้ ใครรู้ก็บอกผมที) แต่ได้ยินมาว่าคุณภาพชีวิตดีกว่า ผมคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม ทรัพย์สิน ทางปัญญามีไม่มาก นำเข้ามากกว่าส่งออก จะมีก็แต่ สินค้าเกษตรนี่กระมัง ที่เราปั้นออกมาจากน้ำ จากดิน แล้วส่งออกได้ ถ้าคนที่ทำจุดนี้เขาไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ผมก็คิดว่าไม่มีวันที่ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ถ้าทำได้ ผมคิดว่ามันน่าจะดีกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยรวมครับ ปัญหาคือทำอย่างไร? ไม่ต้องคิดเรื่องระดับชาติหรอกครับ เราไปไม่ถึง คิดใกล้ๆตัวนี่แหละ คิดว่าชาวนาต้องปรับปรุงตัวเองอย่างไร หมู่บ้านต้องปรับปรุงตัวเองอย่างไร อบต ต้องปรับปรุงตัวเองอย่างไร ที่สำคัญ วัด จะมีส่วนช่วยในการปรับปรุงนี้อย่างไร โรงเรียนจะมีส่วนช่วยอย่างไร ไม่ต้องคิดไกล คิดใกล้ๆ ช่วยกันคิด ใครอยู่ใกล้วัด ก็ไปช่วยวัดทำ ใครอยู่ใกล้โรงเรียนก็ไปช่วยโรงเรียนทำ ใครอยู่ใกล้ อบต ก็ไปช่วย อบต ทำ บางเรื่อง มันไม่สำคัญหรอกว่า ระดับชาติเขาจะคุยกัน อย่างไร ถ้าตัวเล็กๆอย่างเราทำเท่าที่เราทำได้ มันก็ต้อง ทำได้ พอดีเมื่อสักครู่เพิ่งได้ดู Finding Nemo มา หัวผมช้า เลยไม่ได้อะไรนัก ได้มาแค่ Keep Swimming มันไม่สำคัญจริงๆว่าระบบใหญ่ๆมันเป็นอย่างไร สถานการณ์มันเป็นอย่างไร (จริงๆก็สำคัญอยู่) แต่ถ้าเรา keep swimming เรื่องดีๆมันต้องเกิดขึ้น สรุปละ ที่ตั้งกระทู้มาก็ไม่มีอะไร แค่อยากจะบอกว่า ผมคิดว่าถ้าชาวนาไทยไม่รวย ประเทศไทยก็ไม่สามารถ เรียกตัวเองได้ว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว แน่นอน จากคุณ : ขุนแสวงสรรพกิจ (ขุนแสวงสรรพกิจ) - [ 12 ต.ค. 46 04:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมก็เคยเป็นวิศวกรครับ แหะๆ เงินเดือนไม่พอเหมือนกัน แต่ผมงงมากเมื่อทราบว่ารายได้ของเกษตรกรจำนวนมาก น้อยกว่ารายได้ของผมหลายเท่า นั่นผมตัวคนเดียว แต่ รายได้เกษตรกรนั่นทั้งครอบครัว ผมอยู่ลำบาก เขาไม่ ลำบากยิ่งกว่าผมหลายเท่าหรือ? (แต่เขาก็ยังอยู่กันได้!!??) ผมละสงสัยจริงๆว่าอะไรทำให้ช่องว่างรายได้มันสูงนัก แต่ก่อนมันคงไม่สูงขนาดนี้ (หรือว่าสูง?) อันที่จริงถ้าลดช่องว่างนี้ได้ ปัญหาคงจะหมดไปจาก ประเทศไทยหลายปัญหาเลย จากคุณ : ขุนแสวงสรรพกิจ (ขุนแสวงสรรพกิจ) - [ 12 ต.ค. 46 04:39:42 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เรามีเพื่อนๆ ..... ที่บ้านเค้ามีอาชีพของบรรพบุรุษ แบบทำ สวน ไร่ นา ที่แถบภาคอีสาน ที่สนิทกันบ้าง เท่าที่สังเกตดู ครอบครัวของเค้า และ ตัวเพื่อนๆเอง บางคน ชอบที่จะทำตัวสบายๆ ไม่ซีเรียส ... เรื่องเรียน ... เรื่องทำงาน ดูเหมือนครอบครัวของเพื่อนๆ เค้าจะทำงานเพื่อแค่เลี้ยงตัว และ อยู่ได้ในปัจจุบันเท่านั้น ว่าง ..... ก็ดื่ม เล่น กิน เที่ยว ไม่สะสมเงินทอง ไม่ค่อยสนใจเรื่องของเพื่อนๆ หรืออะไรๆที่อยู่รอบๆตัวเค้า แต่ถ้าเมื่อไรที่มีผู้ชักนำ และ ชี้แนะ เค้าก็ชอบที่จะเข้าไปร่วมด้วยอย่างจริงจัง แบบซีเรียสเลย ..... __________________________________________________________ อาจเป็นเพราะ ..... วิถีการดำเนินชีวิต ในแถบภูมิภาคของเค้า ต้องประสบกับภัยธรรมชาติมากๆ บ่อยๆ อย่าง หน้าร้อน ... ก็ร้อนจนพื้นดินแตกแห้ง น้ำไม่มีดื่มกิน บางครั้งก็มีไฟไหม้ป่าอีกด้วย พอหน้าฝน ... น้ำก็มากเกินไป จนท่วมถึงหลังคาบ้าน สัตว์เลี้ยง สวน ไร่ นา เสียหายหมด พอหน้าหนาว ... ก็หนาวจนตัวชา แทบจะขยับทำอะไรไม่ได้ นั่งอยู่แต่หน้ากองไฟกันทั้งวัน __________________________________________________________ สิ่งแวดล้อมแบบนี้ ..... อาจทำให้เพื่อนๆของพวกเรา แถบภาคนั้น หมดความคิดสร้างสรรค์ที่อยากจะทำอะไร และ เลยท้อไม่กล้าคิดทำอะไร มั้งคะ ...??? เลยทำให้ บุคคลที่คิดแต่จะฉวยโอกาส คอยเอาเปรียบพวกชาวสวน ชาวไร่ อยู่ตลอดเวลา ที่จริง ..... ทางรัฐบาล น่าจะส่งเสริมการศึกษาให้มากๆ กว่าที่เป็นอยู่ และ ควรมีโรงเรียนหรือหน่วยงานที่สอนวิชาชีพ ในภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเป็นขั้นตอน ที่ถูกต้อง เหมาะสม จริงจัง และจริงใจจริงๆ ซึ่งสิ่งเหล่านั้น ..... ก็จะทำให้พวกเราสามารถมีพัฒนาการเองได้ในอนาคต ... !!! __________________________________________________________ และที่สำคัญสุดๆ ..... ต้อง ชี้นำ ... เฃิญชวน ให้เค้าเข้าใจ และ เห็นคุณค่า รวมทั้งต้องรู้สึกภูมิใจในงานที่เค้ากำลังทำอยู่นั้น ให้ได้ด้วย พวกเค้าจะได้ไม่ละทิ้งบ้านเกิด ไปทำงานกันที่บ้านอื่น เมืองอื่น ...!!! __________________________________________________________ ที่จริง ..... รัฐบาลมีเงินสนับสนุนเรื่องอื่นๆ มากมาย แต่ทำไม เงินที่จะสนับสนุน ในด้านการศึกษาของประชาชนทั่วๆไป ถึงมีน้อยจัง แม้จะมีสัดส่วนที่มากแล้ว เมื่อเทียบกับกิจกรรมการงานอื่นๆ ที่รัฐต้องสนับสนุน แต่เราว่า ..... ก็ยังดูน้อยไปอยู่ดี __________________________________________________________ รัฐบาล ..... เอาแต่สนับสนุนให้ชาวบ้าน ใช้เงินซื้อของเอื้ออาทรต่างๆ อย่างมากมาย แต่ รัฐท่าน ..... ไม่ให้ ... ความรู้ ... ความคิดอ่าน ในการดำเนินชีวิต อย่างมีประสิทธิภาพที่แท้จริง แต่กลับมาสอนให้รู้จักเป็นหนี้ ...!!! แบบนี้ ..... เมื่อไร พวกเราจะรู้จักสร้างสมดุล ให้กับชีวิตของตัวและสิ่งแวดล้อม ได้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตเผ่าพันธุ์ ของตัวเอง ล่ะคะ .....????? __________________________________________________________ โชคดีนะคะ \[=^-^=]/ ..... \[=^๐^=]/ จากคุณ : น้ำตาล - [ 12 ต.ค. 46 06:05:15 A:203.107.144.217 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 ชาวนาต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเหมือนกับวิศวกรทำสิครับ แต่อะไรที่ต้องใช้แรงงานเข้าแลกแทนใช้สมองเนี่ย ส่วนมากไม่ค่อยรวยหรอกครับ ยกเว้นกีฬา จากคุณ : Dinoman - [ 12 ต.ค. 46 06:37:07 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าความรวยหมายถึงการสะสมทุนในการเศรษฐศาสตร์แล้วล่ะก็.....ชาวนาไทยไม่มีวันรวยกว่าอาชีพอื่น ๆหรอกครับ....และใจผมเองไม่อยากให้วัฒนธรรมแบบนั้นมันเข้ามาทำลายโครงสร้างสังคมแบบพอเพียงของเขาไป.......ความ "สุก" ที่ได้จากวัฒนธรรมแบบนั้นมันเป็นสุขแบบร้อน    ต้องแย่งชิงแข่งขันต่อสู้กันเพื่อเอาชนะคนอื่นๆ......ผู้ชนะเท่านั้นจึงจะถึงฝั่งของความรวยอย่างที่ว่า แต่ถ้าความรวยในที่นี้หมายถึงการสะสมทรัพย์ทางจิตวิญญาณพร้อม ๆกับการสร้างปัจจัยทางวัตถุอย่างพอเพียงแล้วล่ะก็....... ชาวนาไทยในอดีตมีอยู่เยอะครับ ..เป็น ”สุข”  แบบเย็นที่ดูแต่เฉพาะเปลือกนอกไม่ได้ .....    ชีวิตจะดูเรียบง่าย  ไม่โหดร้าย   มีน้ำใจต่อกัน       สังคมไทยพัฒนาตนเองมาจากวิถีกสิกรรมที่คนต้องพึ่งพากันในอาชีพ....ประชาสังคมในระบบเก่าจึงยึดโยงกับการเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย    เป็นความสุขที่อยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง  ระหว่างมาตรฐานการบริโภค   กับคุณภาพชีวิตที่ต้องมีพร้อมของการคงอยู่ของทรัพยากรและห่วงโซความสัมพันธ์ในทางสังคม สังคมเก่าจึงเป็นประชานิยมในอีกลักษณะที่ขาดความสะดวกสบายทางวัตถุ  แต่ถึงพร้อมด้วยมาตรฐานของความยั่งยืนทางจิตใจ    อันเปรียบได้กับ “สุขเย็น”  ที่หมายถึง   เย็นไปตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติบนพื้นฐานความสมดุลของวัตถุและจิตใจไปพร้อมกัน....ส่วนสุขในแนวใหม่    มักจะเกิดมาจากอาการสุดโต่งของอาการเสพบริโภควัตถุ   แต่ขาดดุลภาพทางสังคมและจิตใจ  จึงน่าจะเรียกว่าเป็นสุขร้อน “สุก”  หรือสุกเอาเผากิน  มาตรฐานความสำเร็จของชีวิตสมัยใหม่จะวัดความสำเร็จของชีวิตที่อยู่ความมั่งคั่งหรือมีเงินตรา     คำว่าความเจริญจึงมักที่จะยึดติดกับนัยะของสังคมการบริโภคเป็นพิเศษ    ไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพชีวิตทางจิตวิญญาณแต่อย่างใด ความรวยในความหมายของวันนี้คือที่มาของ... "ความถูก " ... ที่มาของ "ความเก่ง ".... และเป็นหนทางหนึ่งที่จะสลับร่างให้คนไม่ดีกลายเป็นคนดีได้ . และถ้าสังคมนี้เป็นสังคมบูชาเงินมากกว่าบูชาความดีงาม สุดท้ายคนรวยเงินตราจะได้รับการยกย่องให้กลายเป็นเทวดายุคใหม่ในสังคมไทยครับ .. แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 46 07:27:46 จากคุณ : ไทยพันธุ์แท้ - [ 12 ต.ค. 46 07:24:05 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมสงสัยมานานแล้วทำไมประทศเราถึงได้ส่งเสริมกันจัง ไอ้อาชีพเกษตรกรรมปลูกข้าวเนี่ย เพราะมันเป็นอาชีพถ่วงความเจริญ เป็นภาระสังคม อย่า อย่ามาอ้างว่าถ้าชาวนาไทยไม่ปลูกข้าวแล้วผมจะอดตาย ผมซื้อข้าวจากจีนจากเขมร เวียตนามก็ไดเผลอๆถูกกว่าข้าวเมืองไทยอีก บ้านผมไม่ได้ปลูกแอปเปิ้ลทำไมผมมีแอปเปิลกินละ สังเกตไม๊คนทำนาเนี่ยจนแทบทุกคนแล้วคนจนเนี่ยก็เป็นปัญหาให้ประเทศมานานแล้วสารพัดปัญหามาจากความยากจนเป็นต้นเหตุผมว่าเราน่าจะเลิกส่งเสริมได้แล้วไอ้อาชีพปลูกข้าวน่ะ คิดดูข้าวกี่ลำเรือแลกหนังฮอลลีวูดได้เรื่องนึง หรือแลกรถยนต์ได้คันนึง ถ้าเป็นผมนะผมจะส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทำไงให้ต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยเยอะๆ (ไม่ใช่มีแต่คนคอยปล้นจี้ข่มขืนแหม่มอย่างทุกวันนี้) จะได้สร้างโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก โอ๊ยสารพัดที่จะเป็นเงินเป็นทอง 2. ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนต์ เอากันตั้งแต่ชั้นมัธยมเลย มีเปิดสอนนักเรียนจะได้เรียนรู้เค้าทำหนังกันยังไง เผื่อจบ ออกไปอาจจะเป็นผู้สร้างหนังบ้างดีกว่ามานั่งท่องสะพานอะไรยาวเท่าไหร่ ประธานาธิบดีประเทศชิลีเกิดวันที่เท่าไหร่ 3. ส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ ผลิตแพทย์ออกมาเยอะๆเลย ให้ทุนเรียนฟรี คัดคนสมองดีแล้วให้เริ่มเรียนพื้นฐานการแพทย์ตั้งแต่ป.6เลยไม่ต้องมานั่งท่องว่าพระเจ้าเหามีเมียกี่คนชื่ออะไรบ้าง เปลืองพื้นที่สมองเปล่าๆ ผลิตแพทย์ออกมามากๆแล้วทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์เลยให้ ประเทศเพื่อนบ้านมารักษาในไทยคนไทยก็มีงานทำไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งดำนา จากคุณ : คนขวางโลก - [ 12 ต.ค. 46 08:20:58 A:202.183.129.131 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 4. ส่งเสริมการส่งออก สินค้า สมมุตคุณ ผลิตตุ๊กตาชาววังได้นึกออกไม๊ถ้าจะส่งไปขายอเมริกาต้องทำไง งง งงเลยใช่ไม๊ ก็เพราะไม่มีใครคิดส่งเสริมการส่งออกเลย ลองเดินดูตามตลาดจตุจักรซีจะเห็นฝีมือคนไทยผลิตสินค้าดีและราคาถูกด้วย ถ้ามีหน่วยงานที่ทำให้การส่งสินค้าออกเป็นเรื่องง่ายๆเหมือนเราส่งจดหมายเงินจะเข้าประเทศเราอีกแค่ไหน หรืออย่างฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยแล้วเกิดไปถูกใจโซฟา ชุดรับแขกซักชุดแล้วอยากซื้อเอากลับบ้านเค้าจะทำไง มันยุ่งยากมาก เค้าอยากซื้อมีกำลังซื้อ แต่ซื้อไม่ได้เพราะไม่มีปัญญาขนกลับประเทศ จากคุณ : คนขวางโลก - [ 12 ต.ค. 46 08:30:24 A:202.183.129.131 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 5.ส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิต ฝรั่งหรือจีนจะเข้ามาตั้งโรงงาน ( เลือกที่ไม่มีมลภาวะมากนัก) ก็ขายที่ให้เค้าไปเถอะโรงงานนึงอย่างมากก็10ไร่ ที่ก็อยู่ในเมืองไทยนี่แหละ เค้าขนที่ดินกลับไปประเทศเค้าไม่ได้หรอก มันแค่จิตวิทยาเท่านั้นว่าเค้าเป็นเจ้าของ ส่วนระเบียบต่างๆเราก็ตั้งไปซิ ว่าคนงานหรือวิศวกรต้องใช้คนไทย หรือวัถุดิบต้องใช้ของเราอย่างน้อยกี่เปอร์เซนต์ ระบบรักษาสิ่งแวดล้อมต้องทำยังไง ค่าแรงอย่างน้อยต้องเท่าไร นอกจากเราจะมีงานทำไม่ต้องตากแดดทำนาแล้วเรายังได้เทคโนโลยีจากเค้าโดยไม่ต้องซื้อด้วย จากคุณ : คนขวางโลก - [ 12 ต.ค. 46 08:41:23 A:202.183.129.131 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 หาลูกชาวนาเรียนวิศวกรน้อยมากเลย จากคุณ : d4b - [ 12 ต.ค. 46 08:47:54 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ชอบคห 13 มากครับ คุณไทยพันธุ์แท้ คุณคนขวางโลกครับ เรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยวเราก็ทำกันอยู่แล้ว และก็ในความคิดผมก็มากเกินไปแล้วด้วย สภาพแวดล้อมถูกทำลายไปเยอะมาก ควบคุมก็ยากมาก ธรรมชาติมัน"ช้ำ" ไปหมดแล้ว วันนึงเมื่อมันถูกทำลายไปหมด ใครจะมาเที่ยวครับ ส่งเสริมธุรกิจการทำภาพยนตร์เนี่ยน่ะครับ จะขายให้ใครดูครับ ถ้าจะส่งออกให้ชาวโลกดูได้ต้องจ้างฝรั่งมาแสดง และบทก็ต้องเป็นภาษาอังกฤษ หรือไม่ก็รอให้ภาษาไทยเป็นภาษาสากลก่อน เพราะลำพังตลาดในประเทศก็แย่งกันเจ๊งอยู่แล้ว หนังที่ทำเงินจริงๆน้อยน่ะครับ ถ้าเอาอนาคตเด็กมาผูกกับการทำหนังละก็มันจะไม่คุ้มเอานา ถ้าทำตามแผนเศรษฐกิจของคุณขวางโลก คิดเล่นๆน่ะ ลงทุนกับการผลิตแพทย์ เมื่อมีแพทย์มาก ก็ต้องสร้างสถานพยาบาลมาก ลงทุนกับการก่อสร้างอีก หมอเต็มบ้านเต็มเมือง เงินเดือนหมอก็ลดลงเพราะเป็นอาชีพทั่วไป เพื่อนบ้านก็บอกว่าไอผลิตหมอบ้านไอเองได้ไม่มาหรอกเมืองไทย มลภาวะเต็มไปหมด พอดีราคาข้าวแพงมากเพราะตอนนั้นมีประเทศที่ปลูกข้าวไม่กี่ประเทศแล้วเขาก็หันมาโก่งราคาข้าว ใครปลูกข้าวเป็นรวยเอารวยเอา คนไทยหันมาบริดภคขนมปังมากขึ้นเรื่อยๆ คนเก่งๆก็ไม่ยอมเรียนแพทย์ไปสมัครไปทำนาแทน ต้องส่งลูกหลานไทยไปเรียนทำนาจากเวียดนาม ปลาก็ต้องซื้อกินเพราะการท่องเที่ยว และ การอุตสาหกรรม ทำลายสมดุลไปหมดแล้วปลาไปเกิดที่ประเทศอื่นกันหมด ป่าวหรอกครับ จิงๆแล้วผมก็อยากที่จะให้คนทำนาน้อยลง แต่รัฐเขาคงพยายามอยู่ ผมเป็นห่วงวิถีชาวบ้านจะหายไปหมด เพราะสังคมชาวนาคือการพึ่งพา หากว่ามีชาวนาน้อย เน้นเทคโนโลยีในการผลิต ก็จะกลายเป็นชาวนาพันธุ์ใหม่ ซึ่งก็ดีน่ะแต่ก็เป็นห่วงสภาพสังคม อยากให้ชาวนาไทยลดจำนวนแต่แรงผลิตเท่าเดิมจะได้มีรายได้สูงขึ้น แต่ก็ต้องหาทางออกให้เขาทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ขายแรงงาน เช่นมีกิจการอุตสาหกรรมท้องถิ่นในครัวเรือนที่สร้างรายได้ได้ดี อาจจะป็นหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภันท์นี้ก็ได้ จากคุณ : Composite (Composite) - [ 12 ต.ค. 46 12:01:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 1. ผมเห็นด้วยกับคุณคนไทยพันธุ์แท้ครับ 2. ส่วนที่จะตอบคุณคนขวางโลก คุณ composite ก็แสดงความเห็นไว้ส่วนหนึ่งแล้วครับ 3. เรียนท่านเจ้าของกระทู้ครับ...ผมว่าที่ท่านคิดนั้น ถ้าทำได้มันก็คงดี เพราะชาวนามีมากว่า 40% ของประชากรทั้งหมด แต่ผมคิดว่าคงเป็นได้แค่ความฝัน เพราะมันไม่มีวันเป็นไปได้ในความเป็นจริงในเงื่อนไขแบบ "ทุนนิยม" โดยสิ้นเชิง...ประเทศที่ชาวนา (ว่าๆกันว่า) ร่ำรวยนั้น มันไม่ใช่เพราะกลไกที่มันควรเป็นในระบบทุนนิยม แต่เป็นเพราะรัฐบาลประเทศนั้นๆให้การอุดหนุนต่างหาก...ต่างจากประเทศไทยซึ่งรัฐบาล (ที่ผ่านมาๆ) ไม่ให้ความอุดหนุนแล้ว ยังช่วยพวกเจ้าที่ดิน นายทุน นายทุนนายหน้า ธนาคาร ฯลฯ กดขี่ชาวนาเสียอีก จากคุณ : นายเจ็ดตัวอักษร - [ 12 ต.ค. 46 12:45:02 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณน้ำตาลคงไม่เคยมีเพือนที่เป็นลูกชาวนาจากภาคอื่นๆกระมัง................เหมือนกันนั่นแหละคะ คุณจะให้พวกเขาทำอะไรและดิฉันว่าไม่ว่าจะมาจาคภาคอะไรพ่อแม่เป็นใครอยู่ที่การปลูกฝังมาต่างหาก อย่าเหมาทั้งภาค อีกประการหนึ่งคิดว่าลูกคนจืนต่างหากที่ถูกปลูกฝังเรื่องการทำมาหากินค่อนข้างเคร่งครัดกว่า .............หรือคุณว่าไม่จริง????????????????????????????????? จากคุณ : ดอกบัวหลวง - [ 12 ต.ค. 46 13:02:12 A:203.149.43.54 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 มีชาวไร่ชาวนาอยู่มากใช่ไหมครับ ที่เป็นชาวนารับจ้าง หรือเช่าที่นาเขาทำ พวกนี้ รวมกับคนงานในเมืองที่ต้องเช่าที่เขาอยู่ คือ คนที่เราน่าจะเห็นใจ ซึ่งมีจำนวนมากมาย ช่วยเขาได้ ด้วยการทำให้ค่าแรงสูงขึ้น และ ของกินของใช้ราคาถูกลง แต่จะต้องกระเทือนชนชั้นเจ้าของที่ดิน ทำให้ชนชั้นนี้หายไปเลย ทั้งนี้ไม่ต้องริบที่ดินเขา ขอเพียงเก็บภาษีที่ดินเท่ากับค่าเช่าที่ดินที่ควรเป็น ไม่ว่าที่ดินนั้นๆ จะให้เช่าหรือไม่ จะใช้ประโยชน์อย่างไรหรือไม่ ก็ตาม แต่ควรค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ค่อยๆ เพิ่มภาษีที่ดิน และยกเลิกภาษีอื่นๆ ไปทีละอย่างชดเชยกัน อาจใช้เวลา ๒๐-๓๐ ปี เพื่อให้เวลาผู้คนปรับตัว และเป็นการชดเชยสำหรับผู้เพิ่งซื้อหาที่ดินมาใหม่ และโปรดระลึกว่า คนที่มีอาชีพเจ้าของที่ดินอย่างเดียวนั้นมีน้อย ส่วนมากจะเป็น นายทุน หรือ ผู้ทำงาน (แรงสมอง, แรงกาย) ด้วย บางส่วนก็เป็นทั้ง ๓ อย่างเลย คือ เจ้าของที่ดิน นายทุน และ ผู้ทำงาน ผลดี – (ภาษีทั้งหลายมีผลทำให้ของแพงขึ้น แต่ภาษีที่ดินมีผลตรงข้าม) ๑. มนุษย์มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น เพราะภาษีที่ดินแบบนี้ทำให้ทุกคน รวมทั้งทารก เสมือนเป็นเจ้าของที่ดินเสมอภาคกัน ๒. ที่ดินจะไม่ถูกเก็งกำไรเก็บกักปิดกั้นไว้ แต่จะเปิดออกเพื่อหาประโยชน์ให้คุ้มภาษีที่ดิน (ที่ดินเปิด คือโอกาสทำงานเปิด) ๓. ค่าเช่าที่ดินจะลดต่ำลง (เพราะการเก็งกำไรที่ดินลด) แรงงานและทุนจึงได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจากการผลิต ๔. ซ้ำแรงงานและทุนไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ หรือเสียน้อยลง จึงมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นด้วย ๕. สินค้าจะมีราคาถูกลง เพราะการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรสรรพสามิต และอากรขาเข้า เป็นต้น ๖. ความสามารถแข่งขันกับต่างประเทศจะสูงขึ้น เพราะต้นทุนการผลิตต่ำลง ต่างชาติจะนิยมมาเที่ยวไทยมากขึ้น ดีกว่าฮ่องกง สิงคโปร์ เพราะเราจะปลอดภาษี (ส่วนที่ทำให้ของแพง) มากกว่า ๗. เกิดความคล่องตัวในการย้ายถิ่นฐาน เพราะที่ดินและบ้านจะมีราคาหรือค่าเช่าถูกลง และหาได้ง่ายขึ้น ที่ดินในเมืองจะได้รับการใช้ประโยชน์มากขึ้น มีบ้าน แฝลต หรือคอนโดให้เช่ามากขึ้น แต่ค่าเช่าต่ำลง ปัญหาการเดินทางเช้าเข้าเมืองเย็นกลับออกนอกเมืองที่ติดขัดอัดแอเสียเวลามากจะบรรเทาลง ปัญหาแหล่งเสื่อมโทรม (slums) ในเมืองจะบรรเทาลงเช่นเดียวกัน ๘. กรณีพิพาทขัดแย้งแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินจะลดลงมากโดยอัตโนมัติ ความยุติธรรม ที่ดินมีอยู่แล้วตามธรรมชาติก่อนมีมนุษย์ ราคาของที่ดินที่เกิดแล้วเพิ่มสูงขึ้นก็มิใช่เพราะการกระทำของ “แต่ละคน” แต่เป็นเพราะการมีอยู่และกิจกรรมของ “ส่วนรวม” รวมถึงภาษีที่เก็บไปบำรุงประเทศ จึงไม่ควรที่คนหนึ่งต้องทำงานจ่ายเงินให้แก่อีกผู้หนึ่งเพื่อสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่และทำมาหาเลี้ยงชีวิตตนเองในแผ่นดินนี้ ที่ดินที่มีค่าเช่าหรือราคาสูงลิบลิ่วคือที่ดินในทำเลย่านธุรกิจหรือที่ดินในเมืองที่มีคนหนาแน่น ซึ่งการร่วมมือแบ่งงานกันมีสูงสุด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสูงสุด แล้วกลับไปเพิ่มราคา/ค่าเช่าที่ดิน ปัจจุบันคนจนไร้ที่ดิน ต้องเสีย ๒ ต่อ คือ ๑. อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเสียภาษีทางอ้อมจำพวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีสินค้าเข้า (เสียมากเมื่อเทียบกับรายได้ เพราะได้มาเท่าไรก็อาจต้องจ่ายหมด ไม่มีเหลือเก็บ ซ้ำอาจต้องกู้) ๒. แล้วกลับต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินเพิ่มขึ้นๆ อีกด้วยเนื่องจากภาษีที่ตนเองต้องจ่ายตามข้อ ๑. ถูกนำไปสร้างถนน ทำท่อระบายน้ำเสีย บริการสาธารณะต่างๆ จัดเจ้าพนักงานดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย ป้องกันอัคคีภัยอันตรายทั้งหลาย . . . ฯลฯ . . . ฯลฯ . . . ซึ่งไปทำให้ชุมชนมีความน่าอยู่ขึ้น ก็เลยทำให้ที่ดินมีราคาหรือค่าเช่าสูงขึ้นๆ (ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว) ผู้ได้ประโยชน์คือปัจเจกชนแต่ละคน แต่ละบริษัท ที่ได้ค่าเช่าหรือราคาที่ดินไป หรือแม้แต่เก็งกำไรเก็บกักที่ดินไว้ก่อน โดยไม่ต้องทำอะไร (หมายถึงเฉพาะที่ดิน ไม่รวมค่าเช่าห้องหรืออาคาร ซึ่งต้องคิดแยกจากที่ดิน ซึ่งการลงทุนสร้างห้องหรืออาคารมีความสมควรที่จะได้รับผลตอบแทน) ท่านที่สนใจจะช่วยแก้ไขปัญหาสังคมอย่างจริงจัง หรืออยากทราบสาเหตุ โปรดดู หนังสือ "ความยากจนที่ไม่เป็นธรรม" ที่ www.pitlok.com/econbuu/suthon/suthon4.doc ถึง www.pitlok.com/econbuu/suthon/suthon9.doc และต้องขออภัยที่ "นิสิตเอกเศรษฐศาสตร์" ผู้เอื้อเฟื้อนำหนังสือขึ้นเวบ ยังค้างอยู่เล็กน้อย ซึ่งขอเป็นไฟล์เพิ่มได้จาก suthon@clickta.com ครับ จากคุณ : สุธน หิญ - [ 12 ต.ค. 46 14:06:24 A:202.133.169.138 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 อยากออกความคิดเห็นมากๆ แต่ตอนนี้ขอฟังก่อน คุณคนขวางโลก ไม่ลองคิดว่าถ้าซื้อข้าวจากต่างชาติกิน มันจะความมั่นคงในเรื่องอาหารมากน้อยแค่ใหนครับ ประเทศไทยเป็นต่อประเทศอื่น ก็เพราะอยู่ในเขตการเพาะปลูกที่ดีที่สุดในโลก น่าจะหยิบความเป็นต่อนั้น มาขยายโอกาสดีกว่า เห็นด้วยกับคุณไทยพันธุ์แท้ ความสุขที่ดื่มได้ กินได้ สัมผัสได้ มันอยู่ที่ท้องทุ่งและชีวิตการเป็นอยู่อย่างพอเพียง แต่มันจะเป็นความทุกข์ทันทีถ้าคนกรุงซึ่งไม่ได้เคยมีชีวิตแบบนั้นลงไปคลุกคลีใช้ชีวิตแบบชาวนา อาจลงไปอยู่ได้แบบสั้นๆ สุดท้ายก็ต้องวิ่งเข้ามาหารายได้ ซึ่งตนเองถนัดมากกว่า เราคนกรุงมุ่งที่การหารายได้สูงๆ แต่ถามจริงๆ มันวัด"ความสุข" ที่แท้จริงได้หรือไม่ ปัจจัย 4 ของคนกรุงหรือคนเรียนสูง เมื่อตีค่าเป็นเงินแล้ว เป็นกี่เท่าของเงินเดือน ชีวิตลูกจ้าง ยังไงก็เป็นแค่ลูกจ้างแต่หากคิดว่านั่นคือความสุข นั่นคือจุดมุ่งหวัง มันก็ต้องตะกายกันอยู่เื่รื่อยไป คนเรียนสูง ได้ทำงานตามที่ตนเองหวังไว้กี่คน แต่เมื่อเทียบความสะดวดสบาย แน่นอน คนกรุงย่อมมีมากกว่า ผมคิดว่าแนวปรัชญาชีวิตของชาวนา หรือภาคเกษตรกรรมทำให้เป็นความสุขได้ง่ายกว่าชีวิตในกรุงนะครับ แค่เพิ่มราคาผลผลิตขึ้นอีกไม่มาก เขาก็พอมีพอกินได้แล้ว สำคัญว่าพวกเราชาวกรุง กล้าซื้อข้าวสารแพงขึ้น กิโลละ 1-2 บาทมั๊ย เจ้าสัวซีพีเคยบอกไว้น่าคิด เรากินข้าวราคาถูก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ต่ำมากเมื่อเทียบกับเงินเดือน เราลองคิดค่าข้าว แม้ๆ ที่เรารับประทานดูซีครับ ในหนึ่งเดือนเรากินข้าวกี่มากน้อย ถ้าไม่กินตายมั๊ย มองกลับกันถามว่าคนไทยไม่กินข้าว ตายมั๊ย ตอบว่า ตาย ความจำเป็นพื้นฐานด้านอาหาร พวกเราให้ความสำคัญและตีค่าน้อยเกินไปมั๊ย เมื่อเทียบกับ เครื่องนุงห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ตราบใดไม่ให้ความสำคัญปัจจัยสี่ ตัวแรก คืออาหาร ตราบนั้น ชีวิตชาวนา ก็ยังคงย่ำแย่อยู่ตลอดไป อันนี้ไม่ได้พูดถึง ชาวนาประเภทที่ทำเป็นอุตสาหกรรมการเกษตรนะครับ พูดถึงชาวนาผู้ปลูกข้าวทั่วๆไป ชาวนาไม่ขี้เกียจหรอกครับ ทำงานหนักกว่าในโรงงานเยอะแยะ เราถึงได้เห็นลูกหลานชาวนา ก้าวเข้าหาอาชีพขายแรงงาน จากคุณ : can - [ 12 ต.ค. 46 14:31:12 A:203.147.27.123 X:203.147.27.91 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ความลำบากของชาวนาที่เราเห็นนั้น เป็นเพราะเราเอาความรู้สึกของตัวเองไปวัดกับเขา ความลำบากของคนๆ หนึ่ง ไม่สามารถจะไปเทียบเคียงกับคนอื่นที่ต่างกันได้ ตัวอย่าง เช่น ชาวนาไม่ลำบากที่จะเดิน แต่ถ้าเป็นเรา..เราลำบากแน่นอน เราเป็นวิศวกร หรือพ่อค้าได้นั้น เพราะเรามีทางเลือก แต่ชาวนานอกจากจะไม่มีทางเลือกแล้ว เขายังไม่รู้จักทางเลือกอีกด้วย คนที่ไม่รู้จักรสชาดของความอร่อย ย่อมไม่เคยรู้สึกเดือดร้อนที่จะไม่มี แต่คนที่เคยมี...เมื่อขาดไปก็จะรู้สึกว่าเดือดร้อน ดังนั้นการที่เราจะหยิบยื่นอะไรไปให้ชาวนานั้น จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่ควรจะเป็นสิ่งที่เป็นความต้องการของเขา...ไม่ใช่เป็นความต้องการของเรา คำถาม ทำไมชาวนาต้องทำนา? คำตอบ ชาวนาต้องทำนา เพราะ เขาเป็นชาวนา ถ้าเราไม่เข้าใจคำตอบนี้ ก็อาจคิดว่าเป็นคำตอบที่ยอกย้อน แต่ถ้าเข้าใจ...ก็แปลว่าเราเริ่มที่จะรู้จักชาวนาแล้ว จากคุณ : บนคันนา - [ 12 ต.ค. 46 14:31:44 A:203.155.153.5 X:203.118.76.32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ทำไมเกษตกรบางประเทศรวยมากเลย มีบ้านหลังใหญ่ มีรถหลายคัน มีที่ดิน มีฟาร์ม มีเครื่องมือเครื่องจักรทันสมัย // เมืองไทย เป็นหนี้ เล่นหวย ขายที่ กดราคา ..ประท้วง // สงสารชาวนาจังครับ ทั้งที่ข้าวที่ส่งไปขายต่างประเทศราคาแพงมากเลย เห็นขายในห้าง ที่สวิสฯ ไม่กี่ขีด แต่ราคาหลายร้อย-พัน ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ทำได้เพียงกินข้าวให้หมดทุกเม็ด เฮ้อ... จากคุณ : กรุณาใช้บริการช่องถัดไป - [ 12 ต.ค. 46 14:48:47 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดของคุณสุธนและคุณบนคันนาน่าคิดครับ ว่างๆจะเข้าไปอ่านครับคุณสุธน พอดีอาชีพหลักผมทำนาพอดี อิ อิ เล่นเน็ตเป็นอาชีพรองครับ จากคุณ : can - [ 12 ต.ค. 46 14:52:18 A:203.147.27.123 X:203.147.27.91 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ชาวนา ไม่ใช่อาขืพหนึ่งของประเทศนี้ เมื่อไม่ใช่อาชืพ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปส่งเสริม แต่ ชาวนา เป็นคนอีกชนชั้นหนึ่งของประเทศนี้ ที่มีความแตกต่างมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ควรต้องทำคือ จะต้องไม่ให้มีชาวนาอีกต่อไป จากคุณ : บนคันนา - [ 12 ต.ค. 46 14:52:23 A:203.155.153.5 X:203.118.76.32 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มาอ่านความเห็นที่ 26 กลับอีกอย่างหนึ่ง กรุณาอธิบายเพิ่มหน่อยครับ มันยังไงกันแน่ ไม่ให้มีชาวนาก็จับใส่เครื่องบินไปทิ้งต่างประเทศหรือไงครับ(ฮา) จากคุณ : can - [ 12 ต.ค. 46 15:05:32 A:203.147.27.123 X:203.147.27.91 ]

ความคิดเห็นที่ 28 <<<< ## ความคิดเห็นที่ 20 <<<< คุณน้ำตาลคงไม่เคยมีเพือนที่เป็นลูกชาวนาจากภาคอื่นๆกระมัง <<<< ดิฉันว่าไม่ว่าจะมาจาคภาคอะไร พ่อแม่เป็นใคร อยู่ที่การปลูกฝังมาต่างหาก <<<< อย่าเหมาทั้งภาค ............. หรือคุณว่าไม่จริง????????????????????????????????? <<<< จากคุณ : ดอกบัวหลวง _________________________________________ อ้างอิงจาก ### ความคิดเห็นที่ 11 <<<< เรามีเพื่อนๆ ..... ที่บ้านเค้ามีอาชีพของบรรพบุรุษ แบบทำ สวน ไร่ นา ที่แถบภาคอีสาน <<<< ที่สนิทกันบ้าง เท่าที่สังเกตดู ครอบครัวของเค้า และ ตัวเพื่อนๆเองบางคน _________________________________________ แต่เราใช้ประโยคเริ่มต้นว่า ..... เท่าที่สังเกตดู ครอบครัวของเค้า และ ตัวเพื่อนๆเอง <<< บางคน >>> เรามิได้มีเจตนาว่ากล่าว หรือ เหมารวม อย่างที่ท่านเข้าใจ ใดๆทั้งสิ้น _________________________________________ ขอโทษ ... นะท่าน ที่การแสดงความคิดเห็นของเรา ทำให้ท่านเกิดความรู้สึกไม่ดีมากๆ ได้ถึงปานนั้น ... !!! _________________________________________ แล้วก็ ขอบคุณมากๆ ที่กรุณาชี้แนะ และ ท้วงติง ...!!! _________________________________________ โชคดีนะคะ บ๊ายบายคะ "น้ำตาล" \[=^-^=]/ ..... \[=^๐^=]/ จากคุณ : น้ำตาล - [ 12 ต.ค. 46 15:08:16 A:203.107.160.80 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าการศึกษาของลูกหลานชาวนาดีขึ้น ข้าวราคาดีขึ้น ต่อไปชาวนารุ่นต่อๆไปจะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นครับ รัฐบาลปัจจุบันกำลังทำ 1. เอาเงินกำไรหวยบนดินมาเป็นทุนการศึกษาฟรีให้คนจนซึ่งรวมทั้งลูกหลานชาวนา มีคนเขียนเรียงความมาขอทุนกว่า 3 แสนรายแล้วครับจากที่ฟังคุณทักษิณวันเสาร์ 2. ขายส่งออกข้าว ยาง ฯลฯ ให้ได้ราคาดีขึ้น เปิดตลาดใหม่ๆมากขึ้น(อินเดีย จีน ตะวันออกกลาง อาฟริกา ฯลฯ) ตอนนี้ทั้งข้าว ยางเห็นผลเป็นรูปธรรมดีแล้ว ยังต้องลุยผลผลิตอื่นๆต่อไปอีก 3. ถ้าทีมงานรัฐบาลยังขยันลุยทำงานบ้าเลือดยังงี้ ยังจะเห็นพัฒนาการดีๆอะไรอีกเยอะครับ แต่ต้องเตรียมใจไว้ด้วยการพัฒนาไปตามกระแสโลกทุนนิยมแบบนี้ ผู้คนจะมีรายได้มากขึ้น คนว่างงานจะน้อยลง เด็กจบใหม่มีงานรองรับ แต่ส่วนใหญ่จะต้องเหนื่อยขึ้นทำงานหนักขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น จากทำงานเสมือนเดินจะกลายเป็นวิ่งถ้าหยุดตัวเองไม่เป็นชลอความเร็วไม่เป็น ไม่รู้จักศึกษาเอาหลักพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์สอนไว้ดีแล้วมาใช้ เหนื่อยตายครับวิ่งไม่หยุดเนี่ย!! จากคุณ : อากง - [ 12 ต.ค. 46 15:11:44 A:202.133.131.23 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 เป็นคำถามที่น่าคิดครับ ทำงัยชาวนาไทยถึงจะรวยกว่าวิศวกร หลายๆท่านยกตัวอย่าง อเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่น มากล่าวอ้าง เพราะว่ารัฐบาลเหล่านี้รับซื้อข้าวในราคาสูง??? ถ้าผมจะยกตัวอย่างประเทศ อิสราเอล ออสเตรเลีย ที่ประสบความสำเร็จ อาชีพเกษตรกรมีรายได้สูงมากประเทศหนึ่งและประเทศเหล่านี้มีการอุดหนุนสินค้าเกษตรไม่มาก 1.ประเทศเหล่านี้ใช้เทคโนโลยี การผลิตพืชผลทางการเกษตร ในเชิงปริมาณและคุณภาพ กล่าวคือจำนวนผลผลิตต่อไร่สูงรัฐบาลมีการพัฒนาและวิจัยตลอดเวลา 2.เกษตรกร มีพื้นที่เพราะปลูกต่อคนสูง 3.รัฐบาลมีความสามารถหาตลาดเพื่อส่งออก ส่วนประเทศไทย จริงๆแล้วเกษตรกรไทยมีทั้งประสบความสำเร็จ มีทั้งหลมเหลว และที่ล้มเหลวส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวนา อย่างที่เจ้าของกระทู้ว่ามา ทำไมชาวนาไทยถึงยากจนและล้มเหลว ส่วนหนึ่งผมคิดว่า 1.รัฐบาลชอบภูมิอกภูมิใจเสมอว่า ข้าวหอมมะลิ ของไทยราคาแพง หรือส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก แต่ถ้ามองดูดีๆจะเห็นว่า ผลผลิตต่อไร่ ต่ำ สู้ไม่ได้แม้กระทั่งเวียดนามที่ผลผลิตต่อไร่สุงกว่า 2.ชาวนาไทยมีพื้นที่เพราะปลูกต่อคนต่ำอีกด้วย โดยเฉลี่ยประมาณคนละ 10 ไร่ 3.กำไรจากการขายข้าวแทนที่จะตกอยู่กับชาวนา แต่กลับไปตกอยู่ที่พ่อค้าคนกลางและบริษัทส่งออก โดยสรุปชาวนาไทยล้มเหลวมาตลอด เพราะรัฐบาลไทยยังมีความสามารถไม่เพียงพอ ยังไม่ได้พัฒนาและวิจัย เพื่อเพิ่มผลผลิตและเกษตรกรยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม เห็นด้วยครับที่ว่าตราบใดชาวนาไทยยังยากจนประเทศไทยก็ยังไม่สามารถได้ชื่อประเทศพัฒนาแล้วไปได้ จากคุณ : Athit - [ 12 ต.ค. 46 15:47:32 A:203.118.64.54 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 ความคิดเห็นที่ 27 คูณรู้จักผีตองเหลืองไหมครับ ชาวนาก็ไม่ต่างอะไรกับผีตองเหลือง (กรุณาอย่าเอาภาพชาวนาที่ที่ใส่กางเกงยีนมาเทียบนะครับ) ขอโทษ-ที่อาจเปรียบแรง เพราะต้องการความชัด คุณว่าทั้งชาวนา และ ผีตองเหลือง ต้องการเงินหรือเปล่า? ถ้าเอาเงินไปกองไว้ตรงหน้าพวกเขา แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? วันนี้รัฐบาลเริ่มนโยบายที่ถูกต้องกับผีตองเหลือง ด้วยการเอาเจเนอเรชั่นใหม่มาถ่ายทอดความรู้ให้ ขณะที่ทุกรัฐบาลทำกับชาวนาเหมือนเดิม คือสนับสนุนสารพัดแบบ โดยที่การสนับสนุนนั้น ไม่เคยตกไปถึงชาวนา แต่ย้อนกลับมาหาคนที่...สนับสนุน(บางคน) ลูกหลานของชาวนามีโอกาสได้เรียนรู้แค่ไหน ลูกหลานของคนธรรมดา ก็ยิ่งจะรู้มากกว่า หนีห่างขึ้นไปอีก สุดท้ายลูกชาวนาเรียนจบ...มันก็ต้องมาเป็นชาวนา ตามบรรพบุรุษสืบไป ถ้าเราทำให้ทั้งผีตองเหลืองและชาวนา มีความเป็นคน เช่น คนไทยทุกคนในประเทศนี้ได้ ประเทศนี้ก็จะไม่มีผีตองเหลืองหรือชาวนาอีกต่อไป เราจะมีคนทำนา โดยที่ไม่เป็นชาวนา แต่อาจเป็นคุณ เป็นผม หรือ อีกหลายๆ คน ที่อยากจะมีอาชืพทำนา โอกาสที่อาชืพทำนา จะเป็นอาชืพในฝันของคนรุ่นใหม่ ก็จะเกิดขึ้น จากคุณ : บนคันนา - [ 12 ต.ค. 46 15:59:23 A:203.155.153.5 X:203.118.76.32 ]

ความคิดเห็นที่ 32 วิธีแก้ ในตตรกของคุณบนคันนา คือเปลี่ยนอาชีพชาวนาหรือครับ จากคุณ : Athit - [ 12 ต.ค. 46 16:12:02 A:203.118.64.54 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตลาดข้าวไทยตอนนี้แคบมากครับ เราส่งออกข้าวได้ไม่กี่ประเทศเอง ถ้าเราแค่ขยายตลาดไปก็เท่านั้นครับ เราต้องสร้างตลาดใหม่ ซึ่งถ้าเราทำได้ จะมีผลทำให้ต่างชาติต้องแห่มากราบซื้อข้าวจากชาวนาไทยเลย ตอนนี้ชาวนาญี่ปุ่นรายได้เยอะกว่าวิศวกรไทยแน่นอนครับ ในซุปเปอร์มาร์เกตแห่งหนึ่งใจกลาง กทม ซึ่ง NGO จะยกกำลังไปประท้วงทำลายชาติ วันที่ 19 นี้ ขายข้าวไทยขายถุงละ 30 บาท แต่ขายข้าวญี่ปุ่น 90 บาท และไม่น่าเชื่อว่าแพงแล้วเจือกขายดีพอ ๆ กับข้าวไทยอีก เป็นเพราะอาหารญี่ปุ่นครับ ที่แพร่นิยมในหมู่คนไทยและแพร่ไปทั่วโลก ข้าวญี่ปุ่นก็มีเอกลักษณ์ เข้ากับอาหารญี่ปุ่น ข้าวไทยล่ะอร่อยไม๊ .. ไม่รู้ .. แต่อาหารไทยอร่อยที่สุดในโลก ถ้าเราเปิดร้านขายอาหารไทยให้ได้ทั่วโลกล่ะ ถ้าฝรั่งมันอร่อยอย่างที่ผมรู้สึก ข้าวไทยจะส่งออกได้กว้างเหมือน ข้าวญี่ปุ่น บะหมี่จีน พิซซ่าอิตาเลียน ไม๊ ผมเคยไปกินอาหารไทยในต่างประเทศอยู่บ้าง ก็เห็นฝรั่งเข้าเค้ามากินเต็มภัตตาคาร ถึงแม้ราคาจะโคดแพง (คือถ้าลดราคาลงมั่งก็ดีครับ จะได้สนับสนุนตลาดในทุกระดับ) รัฐบาลนี่แว่ว ๆ ว่ากำลังจะทำครับ คือกำลังจะมีนโยบายส่งเสริมร้านอาหารไทยให้ไปเปิดมาก ๆ ในต่างประเทศ ถ้าต่อไปมีรถเข็นขายข้าวแกงไปตั้งคู่กับร้านขายฮอทดอกในเมืองนิวยอร์คได้ นั่นแหละครับชาวนาไทยรวยแล้ว แต่ตอนนั้นห่วงว่า ถ้าข้าวไทยราคาสูงเหมือนทองคำ ชาวนาไทยจะโดนพ่อค้ากวาดซื้อที่นาจนหมด ทำให้กลายสภาพจากชาวนาที่ทำนาเอง กลายเป็นลูกจ้างทำนารับเงินเดือนของเถ้าแก่ไปน่ะสิครับ แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 46 16:49:53 แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 46 16:49:10 แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 46 16:45:56 จากคุณ : เซียวฟง - [ 12 ต.ค. 46 16:35:41 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เหมือนอย่างที่เคยเรียนมาเมื่อนานมาแล้ว เลยรับรู้มาว่าอาชีพทำนา ทำไร่ในประเทศไทยที่มันไม่เจริญเพราะมันต้องพึ่งพาธรรมชาติอยู่มากกว่าเทคโนโลยี ไอ้ครั้นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีให้นำมาใช้มากกว่าธรรมชาติก็ขาดแคลนทุนทรัพย์และความรู้ที่จะนำมาใช้ คนทำนาก็หวังจะให้ลูกเรียนสูงๆ ที่ประกอบอาชีพได้เงินง่ายๆ ไม่ต้องมาลำบากเหมือนกับตัวเอง ลูกคนทำนาส่วนใหญ่เห็นพ่อแม่ลำบากแล้วก็ไม่อยากมาลำบากเหมือนพ่อแม่อีก อยากหาเงินเยอะๆ มาให้พ่อแม่เพื่อที่จะให้พ่อแม่เลิกทำนา ราคาข้าวก็ตกต่ำ รัฐบาลกี่ปีกี่รุ่นก็ไม่เห็นจะส่งเสริมให้ดีขึ้น คนเรียนเกษตรก็เป็นคนที่เอนท์หมอ วิศวะไม่ติด แล้วเมื่อไร อาชีพเกษตรกรมันจะเจริญก็ไม่รู้ ทำไมรัฐบาลไม่ส่งเสริมให้ทุนคนเรียนเกษตรอย่างจริงจัง คัดคนเรียนเก่งๆ ตั้งแต่มัธยม มีใจรักอยากพัฒนาการเกษตร หรือเป็นลูกหลานเกษตรกรก็ได้ เอาแบบที่มีผืนไร่ผืนนาของตระกูลตัวเองยิ่งดี ส่งไปเรียน ดูงาน เมืองนอกเมืองนา แล้วให้กลับมาพัฒนาเป็นตัวอย่าง ให้ทุนกู้ยืมมาซื้อเทคโนโลยี ทำนาทำไร่แบบสมัยใหม่ ถ้าการผลิตดี สินค้าก็ดี ในเมื่อเรามี supply ขนาดนี้แล้ว รัฐบาลก็ต้องจัดหา demand ให้เช่น หาวิธีการส่งออก อย่างนี้น่าจะดีขึ้นนะ ว่าแต่เขามีโครงการแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า จากคุณ : jusuran - [ 12 ต.ค. 46 17:12:41 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ชัดเจนครับ แต่แก้เรื่องวิธีการผลิตแบบนายทุนน้อยอย่างที่คุณบนคันนาอธิบาย คงไม่จบครับ เพราะปัจจุบันคนทำนาบางคนก็อยู่ได้ไปรอด มีชีวิตสุขสบายตามอัตภาพ หน้านาทำนา นอกจากนั้นก็ทำอาชีพเสริม มีเคครื่องอำนวยความสะดวกครับ ตูุ้้เย็น ทีวี รถปิ๊กอัพ รถไถ แต่มันได้ซักกี่เปอร์เซ็นต์ของชาวนาทั้งระบบ ทางออกหนึ่ง ก็คือกำไรจากการขายข้าว ประเภทผลิตเป็นถุงๆนั่นแหละครับ ความรวยมันมาหลังจากข้าวหลุดจากมือชาวนาแทบทั้งนั้น ผมไม่เคยได้ยินว่า พ่อค้าข้าวขาดทุนย่อยยับ เห็นแต่รวยเอารวยเอา ลองๆมองจุดนี้ เส้นทางของข้าว มันเป็นยังไงบ้าง มีส่วนใหนจะกลับไปพัฒนาชาวนาได้บ้าง ผมไม่คิดว่าแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน คือสูตรที่จะเปลี่ยนแปลงรงนั้นได้หรอกครับ เท่าที่ดูก็คือ สร้างหนี้หใม่ ที่ใหญ่กว่าหนี้เก่า นอกนั้นยังต้องไปนั่งลุ้นความสำเร็จของโครงการขอกู้.... ขอดูอีกซัก 2-3 ปี ครับ เพราะวิธีที่รัฐบาลนี้ทำ ยังเก็บข้อมูลที่จะชี้วัดไม่ชัด แต่ธนาคารโลกก็เตือนๆมาแล้ว...อาจเป็นทฤษฎีใหม่ ที่ใครๆในโลกนี้ยังคิดไม่ออกครับ จากคุณ : can - [ 12 ต.ค. 46 17:29:20 A:203.147.27.123 X:203.147.27.91 ]

ความคิดเห็นที่ 36 พวกที่เขียนกระทู้ นี่แหละ เลิกเอาเปรียบชาวนา เสียที ซื้อข้าว ซื้อผัก ผลไม้ หน่อยเดียว บ่นว่าแพง แล้วเมื่อ ไหร่ ชาวนาจะมีเงินเล่า ถ้าเราทุกอาชีพยังไม่เลิกเอาเปรียบเขา ซื้อของชาวนาถูก แต่ขายสินค้าต่างๆ ให้เขาแพง บวกกำไรเยอะๆแก้ไม่ได้หรอก จากคุณ : ล้อเล่นนะ - [ 12 ต.ค. 46 17:43:35 ]

ความคิดเห็นที่ 37 Some one above mentioned American farmers... They have big problem too but.. and still in use... they got a big help from US government for example.. this year you produce too much soybean.. next year the government say... you produce just a half of what you produced last but you will get money from the government in full and you must leave the land unsuded ( can grow grass only). That's just a part of it. จากคุณ : Isvasu - [ 12 ต.ค. 46 18:39:06 A:203.149.37.119 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 สวัสดีค่ะพี่ขุน จากคุณ : เลดี้..จริงๆนะ - [ 12 ต.ค. 46 19:12:27 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เออ ถามหน่อยเหอะ ที่ออกความคิดมากันนี่ เคยไปคุยกับชาวนาจริงๆไหมครับ ผมเป็นวิศวกรที่มีญาติเป็นชาวนาโดยแท้ ทุกวันนี้ญาติผมยังทำนาอยู่ และไม่เคยคิดว่าจน เพราะนอกจากทำนาแล้วยังมีรายได้เสริมจากเลี้ยงไก่ด้วย มีลูกจ้างเพียบ คนจนจริงๆ คือลูกจ้างต่างหาก ไม่มีอะไรเลย ไม่มีความรู้ ไม่มีที่ดิน พวกนี้หาเช้ากินค่ำครับ รับจ้างไถนา รับจ้างถางไร่ หาได้ก็ลงขวดเหล้า เออ ชีวิตเขาก็คงมีความสุขแหละ จากคุณ : เก่ง - [ 12 ต.ค. 46 19:43:12 A:163.184.18.220 X: ]

ความคิดเห็นที่ 40 ใช่ไม่เชื่อลองไปถาม ชาวนา ที่ได้รับ สปก.4-01 ที่ภูเก็ตสิครับ คลายเครียดนะ จากคุณ : ผีเพื่อนหงส์ - [ 12 ต.ค. 46 22:28:05 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ชาวนาบ้านผมทำนากันทั้งปี ไม่เห็นหยุดซักที โรงสีรวย รถเกี่ยวข้าวรวย รถตีดินรวย รายเคมีเกษตรรวย เจ้าของที่รวย ชาวนาจน จากคุณ : คนสุพรรณ (ZAPPER) - [ 12 ต.ค. 46 22:48:04 ]

ความคิดเห็นที่ 42 พ่อผมเป็นชาวนา เขาไม่ค่อยมีเงิน แต่ไม่มีความคิดเห็นแก่ตัวช่วยงานยส่วนรวมตลอด สอนให้ลูกๆทุกคนอย่าเห็นแก่ตัวเอง ให้ทำงานประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัว แต่อย่าให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะการประกอบอาชีพของตนเอง ครับ ผมคิดว่าพ่อผมท่านเป็นคนรวยเพียงพอแลวครับ ไม่ทราบ คนที่มีอาชืพเป็นวิศวกรรวยเท่าๆกับพ่อผมหรือเปล่า กครับารมีเงินมากไม่ได้แปลว่ารวยตามความหมายของพ่อผม จากคุณ : นายนิยม - [ 13 ต.ค. 46 08:11:08 A:203.113.56.76 X: ]

ความคิดเห็นที่ 43 อย่าให้เห็นว่า "คนขวางโลก" กินข้าวที่ปลูกโดยชาวไทยนะ เออเกิดเป็นชาวนามันผิดมากเหรอถ้าเค้ามีทางเลือกที่ดีกว่าใครหล่ะอยากจะเกิดมาเป็นชาวนา แต่ถ้าไม่มีชาวนาไทย "คนขวางโลก" คงไม่มีโอกาสโตขึ้นมาแสดงความอับปัญญาอย่างงี้หรอก จากคุณ : วิศวกรลูกชาวนา (V_MAN) - [ 13 ต.ค. 46 16:29:22 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เงิน ไม่ได้เป็นเครื่องวัดฐานะ รวย - จน ในความหมายของหลายๆคน และที่ผมใช้คำว่าวิศวกร ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ เป็นแค่ตุ๊กตาเอามาเปรียบเทียบ สำหรับคำว่าชาวนา ผมนำมาใช้เพราะคิดว่าเป็นตัวแทนของเกษตรกรส่วนใหญ่ ของประเทศ และที่ใช้คำว่ารวย เพราะคิดว่ามันน่าจะทำให้เด็กๆเห็นภาพ และเข้าใจได้มากกว่าคุณภาพชีวิตอันพึงมี ใครไม่ทราบว่าคุณภาพชีวิตอันพึงมีคืออะไร จะไปหาบทความของอาจารย์ป๋วยมาอ่านประกอบก็ได้ ไม่ทราบว่ามีชาวนากี่ครอบครัวที่สามารถมีคุณภาพชีวิตดังที่ปรากฏในบทความได้ ไม่น่าเชื่อว่าเพราะคิดมากไป สารที่ตั้งใจส่งกลับไปไม่ถึง หลายคนเข้าใจผิด เข้าใจผิดว่าผมมาเบ่งแทนวิศวกรคนอื่น ว่าวิศวกรนี่โคตรจะรวย เข้าใจผิดว่าผมมาทับถมชาวนา ว่าชาวนานี่โคตรจะจน เข้าใจผิดว่าผมอยากให้ชาวนาเห็นเงินเป็นใหญ่ ประเทศไทยมีปัญหาก็เพราะช่องว่างทางรายได้ระหว่าง อาชีพมันมาก คุณต้องซื้อเครื่องมือแพงจากต่างประเทศ ก็เพราะคุณมัวแต่ซื้อข้าวราคาถูก ผมเห็นด้วยมากที่สุดกับความเห็นของคุณ can คนบ้านเรา ไม่ให้ความสำคัญ (โดยนัยทางเศรษฐกิจ - ใช้คำนี้มันซะเลย คิดมากๆเดี๋ยวสื่อสารผิดพลาดอีก) คือข้าวราคาจานละ ๒๐ - ๓๐ บาท บ่นว่าแพง ราคาตั๋วหนัง ๑๐๐ - ๒๐๐ บาท ไม่บ่น เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม ขวดเท่ามดในคลับบาร์ราคา ๑๐๐ - ๑๐๐๐ บาท เสื้อผ้า รองเท้าจากต่างประเทศ ราคาหลายพัน ไม่บ่น จ่ายได้ ซื้อได้ ข้าวราคา ๒๐ - ๓๐ บาท บ่นได้ตั้งแต่เช้ายันเย็น ค่าแรงวิศวกร เดือนละ ๑๕๐๐๐ บาท ปีละ ๑๘๐๐๐๐ บาท วิศวกร(บางคน - หลายคน) บ่นว่าน้อย เรียนมาสูง ใช้สมองมาก ขอมากกว่านี้อีกหน่อย ค่าแรงชาวนา (และรวมไปถึงเกษตรกรสายอื่นๆ) ได้เดือนละเท่าไรก็ไม่รู้ ปีละเท่าไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าบ่น จะถูกตอกหน้ากลับว่าก็ ดันไปใช้แรงงานนี่ ไม่ใช่สมอง วิศวกรใช้สมอง ชาวนาใช้แรง รายได้เลย น้อยกว่าได้ ไม่เป็นไร อยากรู้เหมือนกันว่า ทำนาเนี่ย มันใช้แค่แรงจริงๆหรือ มันไม่ต้องใช้สมองจริงๆหรือ มันง่ายมากจนใครก็ได้มาทำก็ได้อย่างนั้นหรือ ผมว่าไม่ใช่ ทำนามันก็ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะด้าน ประสบการณ์เฉพาะตัวเหมือนกัน ยาก หนัก เหนื่อย ทำไมคนถึงบอกว่า จะหนักจะเหนื่อย ก็ไม่เป็นไร เป็นชาวนาเอารายได้ไปเท่านี้พอ ผมอยากใช้ชาวนามีรายได้สักเท่าไร? ไม่ขอมากหรอก ขอแค่ไม่มากไม่น้อยไปกว่าคนที่เข้ามาตอบกระทู้นี้ก็พอ - หรือไม่ยอม!? ถ้าคุณชาวนาทั้งหลาย เห็นว่าการที่ผมมองเห็นความไม่เป็นธรรมตรงนี้คือการดูถูกชาวนา คือการเป็นทาสทุนนิยม คือการเป็นทาสวัตถุนิยม ก็ไม่เป็นไร ในกาลข้างหน้าผมก็ไปทำในส่วนของผม ส่วนพวกคุณจะอยู่เฉยๆผมก็ไม่ว่าอะไร ผมอยากจะตอบความเห็นของหลายๆท่านแต่เวลาไม่อำนวย จะมาตอบเมื่อมีเวลาครับ จากคุณ : ขุนแสวงสรรพกิจ (ขุนแสวงสรรพกิจ) - [ 13 ต.ค. 46 16:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ตอบคุณแกะแหนมครับ ความเห็นที่ ๑ ครับ ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันต้องมากกว่า น้อยกว่า เท่ากับ ในลักษณะคณิตศาสตร์หรอกครับ ผมขอใช้คำว่า "ทัดเทียม" ก็แล้วกัน ทัดเทียม มันยังพอต่างกันได้บ้าง แต่มันก็ "ทัดเทียม" กัน ไม่ต่างกันสุดขั้ว ข้อใหญ่ใจความคือเรื่องช่องว่างระหว่างอาชีพนี่แหละครับ ------------------------------------------------ ตอบคุณmollusk ความเห็นที่ ๖ เห็นด้วยนะครับ ตรงที่ว่า ความรู้ และ ข้อมูลข่าวสาร นั่นเองคือคำตอบ ผมก็คิดอย่างนั้น ต่อไปคือทำอย่างไรจึงจะไปได้ถึงจุดนั้นเท่านั้นเอง ------------------------------------------------ ตอบคุณน้ำตาล ความเห็นที่ ๑๑ ผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่าคุณน้ำตาลต้องการจะบอกอะไรผม แต่สภาพสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างนั้น ก็มีหลายคนเอามาอ้างเหมือนกันว่าเป็นเหตุให้ต่างประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นอย่างนั้น คือชีวิตต้องสู้ เช่นญี่ปุ่นภัยธรรมชาติก็มาก ประชาชนเลยมีคุณภาพ พอคุณเอาเรื่องเดียวกันมาอธิบายสภาพของคนไทย ผมเลยงงๆนิดหน่อยว่า เอ๊ะ จริงๆแล้วมันน่าจะเป็นอย่างไรแน่ มีภัยมาก เลยแกร่ง แล้วก็เจริญ หรือว่ามีภัยมาก เลยท้อ แล้วก็ด้อยพัฒนา? อันนี้ถ้าสนใจคุยต่อจะแตกประเด็นก็ได้ครับ ------------------------------------------------ ตอบความเห็นที่ ๑๒ คุณ Dinoman อย่างที่บอกนั่นแหละครับ ผมไม่เชื่อหรอกว่า สักแต่ว่ามีแรงก็ปลูกข้าวได้ ------------------------------------------------ ความเห็นที่ ๑๓ คุณ ไทยพันธุ์แท้ ผมเสียใจจริงๆที่ไปใช้คำว่ารวย ผมน่าจะใช้คำว่าคุณภาพชีวิต แทน มีประกันสุขภาพ มีประกันสังคม เจ็บป่วยหาหมอได้ไม่ต้องนอนรอความตาย เกิดมามีโรงเรียนให้เรียน ครึ้มอกครึ้มใจก็ไปดูหนัง ฟังเพลง แก่ตัวลงก็ไม่ต้องกังวลถึงอนาคตนัก ฯลฯ ------------------------------------------------ ตอบคุณคนขวางโลก ความเห็นที่ ๑๔ ถึง ๑๖ ถ้าวัดศักยภาพเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ประเทศไทยตามหลังต่างประเทศอยู่ประมาณร้อยปีครับ พยายามจะตาม และลดการนำเข้าเป็นสิ่งที่ดี แต่จะใช้เป็นความหวัง เป็นอนาคตของประเทศนั้น ผมว่ามันเลื่อนลอยเกินไป อาหาร ยังไงก็ต้องกินครับ ศักยภาพเรามีอยู่ ถ้าใช้เต็มที่ก็มีที่ยืนได้อย่างสง่าผ่าเผยในสังคมโลกได้ ไม่ต้องง้อใคร ชาวนาไทย นักวิชาการเกษตรของไทย มีความสามารถระดับโลก แต่ไม่ค่อยทราบกันเพราะมัน low profile ไม่กรี๊ดกร๊าดเหมือนของไฮเทค จากคุณ : ขุนแสวงสรรพกิจ (ขุนแสวงสรรพกิจ) - [ 13 ต.ค. 46 17:54:07 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ตอบคุณเจ็ดตัวอักษร ความเห็นที่ ๑๙ ๓. ผมก็ว่ามันคงยากเอาการ แต่ที่ว่าเป็นไปไม่ได้นั้นผมไม่เห็นด้วย เพียงแต่ต้องเปลี่ยนมุมมอง แทนที่จะคาดหวังความเปลี่ยนแปลงจากข้างบน (คือระดับชาติ) ลงมา ก็คาดหวังการเปลี่ยนแปลงจากระดับล่าง (คือชุมชน) เสีย เหมือนที่ดู Finding Nemo มาน่ะครับ ถ้าทำอะไรไม่ได้ Keep Swimming ดีกว่าไม่ Swimming ------------------------------------------------------ ตอบคุณสุธญ ความเห็นที่ ๒๑ การปฏิรูปที่ดิน เป็นกุญแจหนึ่ง ที่ทำให้บางประเทศ (เท่าที่ทราบ) ในยุโรปเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ เป็นเรื่องน่าสนใจครับ แต่จะเป็นไปได้ประชาชนจะต้องเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อน ผมว่าคุณสุธญเปิด Pantown หรือ Yahoo Group เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เลยดีกว่าครับ ไว้เผยแพร่ข่าว ผลการศึกษา และหาแนวร่วม ถ้าเปิดจริงผมก็จะสมัครด้วย แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีกิจกรรมต่อเนื่องเท่านั้นเอง ถ้าติดขัดทางเทคนิค(เกี่ยวกับเว็บ หรือคอมพิวเตอร์) ผมยินดีให้ความร่วมมือเพราะพอมีความรู้ทางนี้อยู่บ้าง -------------------------------------------------- ตอบคุณ can ความเห็นที่ ๒๒ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ดังที่เขียนไว้ในความเห็นก่อนหน้านี้ -------------------------------------------------- ตอบคุณบนคันนา ความเห็นที่ ๒๓ ผมคิดว่าสิ่งที่เรียกว่า "คุณภาพชีวิตที่ดี" เป็นสิ่งที่ทุกคน มีสิทธิได้โดยไม่จำเป็นต้อง "ร้องขอ" ครับ คนที่ไม่อยากได้ไม่เอาก็ได้ ไม่ได้บังคับ แต่ผมอยากให้ทุกคนมีสิทธิที่ว่านี้โดยไม่ต้องไปร้องขออ้อนวอนความเมตตาจากใคร เคยดูโฆษณาของรังนกยี่ห้อหนึ่งไหมครับ ที่ว่าใช้ทาน ไม่ได้ใช้ทา น่ะ มีตอนนึงที่แสดงภาพเปรียบเทียบคนในพื้นที่ กับหนุ่มเมืองกรุง ภาพนั้น มันไม่ได้แสดงความแตกต่างทางพันธุกรรมที่ขึ้นอยู่กับพื้นที่ภูมิประเทศนะครับ (คนหนึ่งขาว คนหนึ่งดำ) แต่มันแสดงความแตกต่างของ "ชนชั้น" ครับ ถ้าคนในพื้นที่ เขารักที่จะดำ ผมก็ไม่ยัดเยียดความขาวให้เขาหรอก (ไม่เหมือนโฆษณาเครื่องสำอางบางยี่ห้อ) แต่สิ่งที่ผมสนใจ คือสิ่งที่เรียกว่า "ชนชั้น" มันต้องหมดไป คนไทยเหมือนกัน ต้องเท่าเทียมกันครับ ซึ่งเรื่องชนชั้นนี่ คุณก็เอ่ยเองในความเห็นต่อๆมา ซึ่งในส่วนนั้นผมเห็นด้วยครับ --------------------------------------------------- ตอบคุณ athit ความเห็นที่ ๓๐ ถ้ารัฐบาลหาตลาดข้าวได้มากกว่านี้ ชาวนาไทยจะรวยหรือเปล่าครับ หรือว่าคนอื่นจะรวย ถือว่าถามแตกประเด็นก็แล้วกัน เพราะโดยรวมผมเห็นด้วย ถึงผลผลิตต่อไร่จะเพิ่มขึ้น ตลาดข้าวใหญ่ขึ้น ขายข้าวได้มากขึ้น ชาวนาจะรวยขึ้น....หรือไม่!? จากคุณ : ขุนแสวงสรรพกิจ (ขุนแสวงสรรพกิจ) - [ 13 ต.ค. 46 23:08:18 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ตอบคุณเซียวฟง ความเห็นที่ ๓๓ และก็เลยต่อเนื่องมาถึงความเห็นของคุณเซียวฟง เพราะพูดเรื่องขยายตลาดเหมือนกัน สิ่งที่ทำอยู่ก็ดีครับ ไม่ค้าน แต่ว่าอุปสงค์มันจะเพิ่มมากพอที่จะเพิ่มรายได้จริงๆหรือเปล่า และย้อนกลับไปหาคำถามเดิมว่าเมื่อยอดขายเพิ่ม...ใครรวย? มีเรื่องหนึ่ง ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่รู้จะไปค้นมายังไงเหมือนกัน เอาเป็นว่าผม สันนิฐาน ก็แล้วกัน มีประเทศหนึ่ง ฝรั่ง แต่รายได้ของประเทศส่วนใหญ่มาจากสินค้าเกษตรกรรม (แต่ประเทศนี้ก็ขาย "ดีไซน์" ด้วย) ไม่ทราบว่าเป็นนโยบายของเขาหรือเปล่า จึงได้เปิดโรงเบียร์ไปทั่วโลก แล้วเบียรของเขาใช้ "ข้าวของเขา" ทำ ยิ่งขายเบียร์ได้มาก ข้าวก็ขายได้มากตามไปด้วย ข้าวของเรามีลู่ทางแบบนั้นไหมครับ (ไม่ต้องเป็นเบียร์ก็ได้ เพราะข้าวคนละพันธุ์) อีกอย่างหนึ่ง ถ้าตลาดมันไม่กว้าง เราก็ลดพื้นที่เพาะปลูกข้าวลง ให้เพียงพอดีกับตลาดที่เรามี แล้วกำหนดราคาให้ได้ตามที่ควรจะเป็น อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือครับ ทีน้ำมัน ตลาดมันก็ไม่ได้ใหญ่กว่าโลกใบนี้ แต่เขาก็จำกัดกำลังผลิตได้เพื่อกำหนดราคาให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะไปเข้าทางนิทานเรื่องชายตกปลากับนักธุรกิจที่มีคนส่งเมล์ส่งต่อมาให้อ่าน แก้ปัญหาวนไปมาเหมือนงูกินหาง ไม่จบสิ้น --------------------------------------------------- ตอบความเห็นที่ ๓๔ คุณ Jusuran ไม่สงสัยในความเห็นครับ แต่มีคำถามกลับข้อเดียวว่า ถ้าเกิดคนเรียนเก่งนิยมเรียนการเกษตร เราจะบ่นไหมว่าเมื่อไรวงการหมอ วงการวิศวกรรม จะเจริญ อันนี้ผมถามนอกประเด็นเล็กน้อย แซวเล่นพอคันๆ :) ------------------------------------------- ตอบคุณล้อเล่นนะ ความเห็นที่ ๓๖ อย่างที่เรียนไปตั้งแต่ต้นว่าไม่เคยรู้จักชาวนาท่านใดเป็นการส่วนตัว ข้าวผมก็ซื้อจากร้านหน้าปากซอย จะว่าผมเอาเปรียบเขาได้อย่างไรคุณ? ผมทราบครับ ว่าคำตอบคือ ผมไปเอาเปรียบเขา "โดยระบบ" แล้วจะให้ผมทำไงครับ เดินไปซื้อข้าวจากชาวนาเองหรือ? ตรงนี้แหละที่ผมเอามาตั้งกระทู้ถามว่า ระบบมันมีอะไรผิดปรกติ ระบบมันมีอะไรแปลกๆหรือเปล่า คนกินข้าวทุกวัน ทำไมชาวนาไม่รวย? ไม่ได้อยากเอาเปรียบเขาหรอก แต่ทำอย่างไรจึงจะไม่ไปเอาเปรียบเขาล่ะ????? ------------------------------------------- จากคุณ : ขุนแสวงสรรพกิจ (ขุนแสวงสรรพกิจ) - [ 14 ต.ค. 46 00:48:39 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถามว่าทำได้ไหมหากที่เราจะปฏิวัติขั้นตอนการผลิตข้าวทั้งหมด ตั้งแต่การปลูก การเก็บ การขนส่ง การสี การบรรจุ การ ขายปลีก ขณะนี้ผลต่างของกำไรระหว่างชาวนากับ พ่อค้าคนกลางมันมากไปซึ่งรู้ๆกันอยู่ หากเราจะขยายตลาดอย่างไร ผยุงราคาอย่างไร แต่ถ้าระบบการผลิตข้าวสารถุงหนึ่งๆยังเป็นแบบนี้อยู่ เม็ดเงินจะตกไปถึงชาวนาสักเท่าไหร่กัน ผมมีเพื่อนบางคนที่จบวิศวะจุฬามา แต่ก็กลับไปทำงานโรงสีบ้าง ส่งออกข้าวบ้าง ที่เป็นกิจการดั้งเดิมของครอบครัว พวกนี้เป็นเพื่อนที่ไม่สนิทนัก เรื่องกิจการส่วนตัวเราก็ไม่ก้าวก่ายกัน แต่ก็พอได้เคยฟังพวกเขาคุยให้ฟังบ้าง พวกนี้มองธุรกิจ ผลกำไรเหนือคุณธรรมอยู่แล้ว ไม่เคยที่จะเห็นอกเห็นใจชาวนาหรอก เพราะชอบถือคติว่าสมัย ป๊าเขา อาก๋ง เขา เริ่มต้น ยังมีเงินน้อยกว่าชาวนาอีก แต่ชาวนาไม่มีปัญญาที่จะคิดก้าวหน้าเอง ไม่มีความคิดดิ้นรนเอง ทำไมเขาจะต้องเห็นใจคนพวกนั้น ด้วยการที่ผมเห็นดังนี้จึงทราบได้ว่า ไม่มีทาง ที่จะให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้หาก รัฐไม่ยื่นมือเข้าไปอย่างเต็มที่ และ ดำเนินนโยบายอย่างเด็ดขาดโดยที่พร้อมที่จะต่อสู้กับกลุ่มอำนาจธุรกิจเดิมเพราะกลุ่มนี้ไม่ยอมเสียประโยชน์แน่ ทำอย่างไรที่จะทำให้กลุ่มนี้ยอมกำไรน้อยลงให้ชาวนาได้เงินเพิ่มขึ้น เอาแค่ตรรกะง่ายๆ ถ้าธุรกิจการทำนาค้าข้าวไม่ดีจริง ทำไมคนขายข้าว คนส่งออกข้าว ร่ำรวยขนาดนี้ หากให้การศึกษาลูกหลานชาวนาแล้วต้องให้อำนาจแก่เขาด้วย อำนาจที่จะสามารถสู้กับพ่อค้าคนกลางได้ ให้เขาเห็นว่าพอมีทางอยู่สุขสบายได้ ไม่เช่นนั้นลูกหลานที่ได้รับการศึกษามาก็จะเข้าเมืองกันหมด จากคุณ : Composite (Composite) - [ 14 ต.ค. 46 07:28:02 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นครับ บางความเห็นที่ไม่ได้ตอบ ก็เพราะว่าผมอาจจะมองพลาดไปหนึ่ง ความเห็นสั้นๆสมบูรณ์ในตัวหนึ่ง หรือเป็นความเห็นที่ตอบความเห็นอื่นหนึ่ง แต่ก็อ่านครบถ้วนไม่ตกหล่น ตอบคุณ Composite ผมเองไม่เคยคุยกับชาวนา กับโรงสียิ่งไม่เคย แต่ผมก็คิดว่าถ้าหากจะสรุปว่าเพราะโรงสีไม่มีคุณธรรม มันก็ออกจะไม่เป็นธรรมกับโรงสีอยู่สักหน่อย เพราะเขาทำการค้านะครับ แล้วก็อยากให้คิดว่าชาวนาเองก็ทำการค้า คือปลูกข้าวขาย (และเมื่อมันเป็นการค้า เป้าหมายก็คือต้องมีกำไร) (สำหรับพวกนิยมไทยโรแมนติกจะให้ชาวนามีคุณธรรมปลูกข้าวแจกผมก็ไม่ว่านะ ไปถามชาวนาเอาเองว่าเขายอมไหม) ถ้าคิดอย่างนี้ คือคิดว่ามันเป็นการค้า เป็นปัญหาทางการค้าของชาวนาที่ต้องแก้ไข เราอาจจะได้คำตอบที่แปลกออกไปและพอจะเป็นไปได้บ้างก็ได้ จากคุณ : ขุนแสวงสรรพกิจ (ขุนแสวงสรรพกิจ) - [ 15 ต.ค. 46 01:56:22 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ขอชมเจ้าของกระทู้ครับ ว่าท่านติดตามตอบกระทู้ดีมากและใช้เหตุผล ในการตอบ ขอฝากคุณ "วิศวกรลูกชาวนา" ครับผมก็บอกแต่แรกแล้วครับ บ้านผมไม่ได้ปลูกแอปเปิ้ลผมก็มีแอปเปิ้ลกินครับ ถ้าคนไ ทยไม่ได้ทำนา ผมก็ซื้อข้าวจีน เเขมร เวียตนามกินได้ อาจจะถูกกว่าข้าวไทยอีก ถ้าคุณคิดแนวนี้ผมก็ว่าคุณเป็นหนี้บุญคุณฝรั่ง ถ้าไม่ได้ยาของฝรั่งผมว่าคุณตายเสียแต่ยังเล็กๆแล้ว ถูกไม๊ครับ อีกอย่างผมไม่ได้ว่าชาวนาผิดตรงไหน เพียงแต่บอกว่าเราควรทำอย่างอื่นดีกว่า ผมขอเปรียบเทียบดังนี้โลกนี้เปรียบเหมือนชุมชนแห่งหนึ่งประเทศต่างๆ เปรียบเหมือนบ้าน แต่ละหลัง ญี่ปุ่นเปรียบ เหมือนเจ้าของร้านขายมอไซด์ เยอรมัน เป็นเจ้าของร้านขายรถยนต์ฝรั่งเศษเป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้า น้ำหอม ส่วนคนไทยเราทำนา ข้อมูลเท่านี้คุณพอมองเห็นฐานะความเป็นอยู่ของบ้านแต่ละหลังไม๊ครับ ผมรู้จักอยู่คนนึงอยู่อุบล เป็นครอบครัวชาวนา พ่อแม่แบ่งที่นาให้หลายไร่ แกไม่ชอบทำนา จึงขายที่นาให้พี่น้อง เอาเงินมาซื้อปิคอัพแล้ววิ่งรับเสื้อผ้าจากกทม ไปขายที่จังหวัด ไม่กี่ปีออกรถเพิ่มอีกหลายคันปลูกบ้านหลังเบ้อเริ่ม ส่วนพี่น้องที่รับซื้อที่นาต่อจากแกก็ยังเป็นชาวนายากจนเหมือนเดิม จากคุณ : คนขวางโลก - [ 15 ต.ค. 46 10:20:45 A:202.183.129.131 X: ]

ความคิดเห็นที่ 51 ใครชอบอาชีพอะไรก็ทำไปเถอะครับ ถ้าทำแล้วมีความสุขหรือที่คุณพอใจ อย่าว่าคนโน้นคนนี้เลย ทำอะไรก็ทำไปเถอะครับทำให้ดีที่สุด เราอยู่ในโลกแห่งการแข่งขัน ต้องกระตือรือล้นครับ ผลิตข้าวไม่มีคุณภาพ คนก็ไม่ซื้อ วิศวกรไม่เก่งใครละจะจ้าง ทุกอย่าง เป็นไปตามกลใกในตัวของมันเอง จากคุณ : tjmax - [ 18 ต.ค. 46 05:11:18 A:203.116.61.131 X:203.117.147.83 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ปัญหาเกษตรกรถูกกดขี่ ไม่ใช่เรื่องกลไกการตลาดพื้นๆนะครับ ผลิตข้าวไม่มีคุณภาพ?? ที่ทานๆกันอยู่ทุกวันนี่ข้าวไม่มีคุณภาพหรือครับ สินค้าน่ะมีคุณภาพนะครับแต่ว่าระบบทุนนิยมผูกขาดและโอกาสที่ไม่เท่าเทียม อำนาจที่ไม่เป็นธรรมต่างหากที่กดเขาไว้ ผลิตข้าวคุณภาพดี ราคาก็ต่ำ ผลิตข้าวคุณภาพห่วย ราคาก็ยิ่งต่ำ (ยังไม่พูดถึงรายจ่ายทั้งหลาย ทั้งปุ๋ย และยาฆ่าแมลง) จากคุณ : ขุนแสวงสรรพกิจ (ขุนแสวงสรรพกิจ) - [ 20 ต.ค. 46 17:05:02 ]