อีกมุมหนึ่งของ 14 ตุลา โดย พ.ญ.จินดา ยงใจยุทธ

    มติชนรายสัปดาห์ ประจำวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2546 ปีที่ 23 ฉบับที่ 1209
    บทความพิเศษ โดย พ.ญ.จินดา ยงใจยุทธ
    อีกมุมหนึ่งของวันที่สิบสี่ตุลา

    เย็นของวันที่สิบสามตุลา ความสนุกสนานของการชุมนุม และละคร จำอวด ล้อเลียนผู้เผด็จการทหารก็สิ้นสุดลงด้วยการบุกเข้าโจมตีของทหารและตำรวจ

    นักเรียน นักศึกษา ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะถูกทำร้ายได้ขนาดนั้น ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

    ทุกคนตกใจและหวาดกลัว มีการแตกหนีไปคนละทิศทาง ส่วนหนึ่งหนีไปพึ่งพระบารมีในพระราชวังดุสิต สวนจิตรลดา

    อีกส่วนหนึ่งบาดเจ็บ หนีข้ามฟากไปยังโรงพยาบาลศิริราช มีเรือของทหารเรือช่วยเหลือ

    นักศึกษาที่เป็นหัวโจก พวกแพทย์และนักศึกษาแพทย์เก็บซ่อนไว้ที่หอพักแพทย์ พวกบาดเจ็บก็ได้รับการรักษาพยาบาล พวกที่เหลือได้เปลี่ยนเสื้อผ้านักศึกษาออก เอาเสื้อของนักศึกษาแพทย์และพยาบาลใส่

    ผู้ชายบางคนใส่เสื้อพยาบาล เสื้อตีเกล็ดที่หน้าอกสำหรับผู้หญิง ถ้าจะจับกันจริงๆ คงไม่ยาก บางคนร้องว่า "ว้ายฉันมีนม"

    คืนวันที่สิบสามตุลา ที่โรงพยาบาลศิริราชมีความชุลมุนวุ่นวายมาก ไม่ทราบว่ามีใครวางเพลิงที่ตึกอำนวยการ แต่ดับได้ทัน พวกแพทย์ฝึกหัดและพยาบาลออกไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ที่ธรรมศาสตร์และสนามหลวง วันนั้นเป็นวันเสาร์ ใครที่อยู่เวรก็ช่วยกันเท่าที่จะทำได้

    ข้าพเจ้ายังพักอยู่ที่บ้านพักของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ สามีเป็นศัลยแพทย์อยู่ที่นี่ คืนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    เขาอาจคิดว่าข้าพเจ้าเป็นฝ่ายทหาร



    เช้าตรู่ของวันที่สิบสี่ตุลา คุณจารุวรรณ พยาบาลห้องผ่าตัดโทรศัพท์มาตามตัว บอกว่าให้ไปโรงพยาบาลด่วน มีนักศึกษาบาดเจ็บมาก ข้าพเจ้าเป็นวิสัญญีแพทย์ของโรงพยาบาลศิริราช สามีของข้าพเจ้าขับรถไปส่ง ระหว่างทางเห็นนักศึกษาเดินกันเป็นกลุ่ม นักเรียนตัวเล็กๆ ก็มี ที่สวนจิตรลดา มีนักศึกษาอยู่มากมายหลายคนเดินถือไม้กระบองร้องตะโกนด่าไปตามถนน

    เมื่อเข้าไปใกล้ท้องสนามหลวง คนตามท้องถนนก็มากขึ้นจนรถแทบจะผ่านไม่ได้ รถของข้าพเจ้าเป็นรถเยอรมัน ประเภทเดียวกับนายทุนขุนศึกผู้กดขี่ ข้าพเจ้าขอร้องให้สามีส่งลงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ มิฉะนั้นรถจะพังและถูกกระทืบ

    ข้าพเจ้าเดินไปหาแท็กซี่ พบกับ ท่านธีรศักดิ์ กรรณสูต เพื่อนเขย "นั่นหมอจะไปไหน" เขาวิตกที่เห็นข้าพเจ้าหายเข้าไปในกลุ่มนักศึกษาและกลับไปบ่นกับภรรยาซึ่งเป็นเพื่อนรักของข้าพเจ้า นั่นคือจุดที่ข้าพเจ้าเริ่มการผจญภัยในวันนั้น

    แท็กซี่พาข้าพเจ้าไปส่งที่ท่าราชวังหลวง เขาด่ารัฐบาลและผู้เผด็จการไปตลอดทาง "ผมส่งได้แค่นี้" เขาทราบว่าข้าพเจ้าจะไปไหนและจะทำอะไร เขาอวยพรให้ข้าพเจ้าโชคดี

    ที่ห้องผ่าตัดโรงพยาบาลศิริราช ทุกคนวุ่นวายกับการผ่าตัด ทุกคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาโดยพร้อมเพรียง ไม่มีครั้งใดที่ทุกคนจะร่วมมือร่วมใจกันได้ถึงเพียงนี้

    ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะช่วยอะไร ทุกคนเข้าประจำตามหน้าที่หมดแล้ว จึงเดินไปท่าน้ำและลงเรือของทหารเรือข้ามไปขึ้นที่ท่าของธรรมศาสตร์ ที่ดูว่างเปล่า ทุกคนหนีออกไปหมด

    รถพยาบาลของศิริราชจอดอยู่ใต้ต้นโพธิ์ มีแพทย์ฝึกหัดยืนอยู่หลายคน เท่าที่จำได้ มีคุณหมอกริช คุณหมอภูษิต คนนี้เป็นทหารที่กองทัพบกฝากให้เรียนแพทย์ วันนี้เขาไม่มีวี่แววของการเป็นทหารอยู่เลย คุณหมอธีรศักดิ์ คุณหมอสมหวังและพยาบาลอีกสามสี่คน เขาชวนข้าพเจ้าขึ้นรถ "ไปเที่ยวกัน"

    เราขับรถไปตามถนนราชดำเนิน ผ่านคนเป็นกลุ่มๆ ในที่สุดก็ไปถึงสวนจิตรลดา มีนักศึกษาอยู่มากมาย หลายคนเดินมาถามเหตุการณ์ข้างนอก เราบอกว่ายังไม่มีอะไร และแนะนำว่า ควรจะอยู่ในนี้ พึ่งพระบารมีจะปลอดภัยที่สุด มีอาหารที่ทางพระราชวังจัดประกอบเลี้ยงตามพระกระแสรับสั่ง อันเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่หาที่สุดมิได้ พวกหมอและพยาบาลไปรับประทานด้วย บอกว่าอาหารชาววังอร่อยดี

    ข้าพเจ้าเสียดายที่ไม่ได้ไปกินด้วย ทำให้วันนั้นข้าพเจ้าต้องประทังความหิวกับกล้วยน้ำว้าที่ขอมาจากแม่ค้ากล้วยแขกหนึ่งเครือ แกส่งกล้วยที่มีทั้งหมดให้เราแล้วบอกว่าวันนี้ไม่ขายแล้ว รถพยาบาลของเรามีกล้วยแขวนอยู่หนึ่งเครือที่พวกเราใช้ประทังชีวิตในวันนั้น เพราะไม่ทราบว่าจะไปหากินที่ไหน

    คุณหมอกริชแนะนำให้ไปรอดูเหตุการณ์ที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า เราดีใจที่การเปิดสะพานนี้ได้ย่นย่อระยะทางที่จะไปโรงพยาบาล มิฉะนั้น จะมีการสูญเสียชีวิตมากกว่านี้ ถ้าใครเห็นรูปเหตุการณ์สิบสี่ตุลาจะเห็นรถพยาบาลคันหนึ่งจอดอยู่ พวกเราอยู่ที่นั่น ขณะนั้นทุกอย่างสงบ ทั้งสองฝ่ายคงรอ "ถามใจเธอดูก่อน" เราได้แต่ขอร้องเด็กตัวเล็กๆ ให้กลับบ้านไม่มีผล ทุกคนดื้อดึงและจะต่อสู้

    ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพยาบาลคนหนึ่งร้องกรี๊ด หันไปดู เห็นนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังรุมกระทืบตำรวจ ซึ่งขับมอเตอร์ไซค์ข้ามมาจากอีกฟากหนึ่ง ข้าพเจ้าแผดเสียง "หยุดเดี๋ยวนี้" ทุกคนหยุดชะงักมองหน้า ข้าพเจ้ารู้ตัวอย่างหนึ่งว่าคนกลัวข้าพเจ้า บอกว่าดุ ไม่มีใครยอมสอบปากปล่ากับข้าพเจ้า คราวนี้ได้ผล ตำรวจคนนั้นน่าสงสารมาก หน้าเขาซีดขาว "ตำรวจคนนี้เขาไม่รู้เรื่องอะไร เขาไปทำงานตามหน้าที่ เขามีลูกตัวเท่าหนูนี่แหละไปทำเขาทำไม"

    เราต่อรองกับเด็กๆ ว่าถ้าไม่ยอม พวกเราก็จะกลับโรงพยาบาลไม่ช่วยเหลือพวกนักศึกษา พวกเขาถอยออก เราส่งหมวกคืนให้ตำรวจ หมวกถูกเหยียบแบนบู้บี้ ให้เขาถอดเสื้อตำรวจออก กลับบ้านและห้ามแต่งเครื่องแบบ เขาพึมพำขอบคุณพวกเราแล้วขับรถกลับไปทางเดิม

    เขาเป็นคนแรกที่ได้ช่วยชีวิตในวันนั้น



    เราหิวน้ำจึงพากันเดินข้ามถนนไปที่อนุสาวรีย์ทหารอาสา มีรถเข็นขายเครื่องดื่มจอดอยู่ ขณะนั้นมีเสียงประทัดแตกอยู่บนหัว "ใครจุดประทัด" ข้าพเจ้าถาม คุณหมอภูษิตแพทย์ทหารร้องตะโกนว่า "ปืนกลครับ หมอบลง" เฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่รอบๆ มีเสียงปืนกลเป็นระยะๆ

    เราใช้อนุสาวรีย์เป็นเกราะกำบัง เมื่อเฮลิคอปเตอร์บินห่างไป พวกเราวิ่งจี๋กลับไปหลบอยู่ในรถพยาบาล เราทราบว่าเฮลิคอปเตอร์บินไปยิงกราดที่โรงพยาบาลศิริราช กระจกตึกอำนวยการแตก ลูกปืนตกอยู่ มีคนเก็บไว้เป็นพยาน ไม่มีทางที่ใครจะปฏิเสธได้

    เราคอยกันอยู่พักหนึ่ง ใกล้ๆ เที่ยง มีรถถังโผล่ออกมาข้างกรมประชาสัมพันธ์สองสามคัน มีทหารถือปืนเดินมาข้างๆ สักครู่ก็มีทหารเต็มไปหมด เราตกลงจะย้ายไปตั้งหลักที่โรงแรมรัตนโกสินทร์หรือโรงแรมรอยัล โรงแรมนี้น่าจะบันทึกไว้ว่าเป็นโรงแรมประวัติศาสตร์ ทั้งเหตุการณ์สิบสี่ตุลา และพฤษภาทมิฬ โรงแรมนี้ได้มีการช่วยเหลือช่วยชีวิตคนไว้เป็นอันมาก เมื่อพฤษภาทมิฬ มีการเปิดห้องผ่าตัดในโรงแรมนี้

    เมื่อเห็นทหารออกมาพร้อมกับรถถัง อารมณ์ของทุกคนก็ร้อนแรง พวกไทยมุงออกมายืนบนถนนอัษฎางค์

    คุณประพัฒน์ควงกระบองอยู่ที่กลางถนนราชดำเนิน ทุกคนเชียร์กันใหญ่ยกย่องเรียกว่าไอ้ก้านยาว

    ทหารคงหมั่นไส้เลยยิงล้มลง คุณหมอกริชวิ่งนำพวกเราไปอุ้มคุณประพัฒน์ขึ้นรถพยาบาล นำกลับไปยังโรงพยาบาลศิริราช

    หลังจากนั้นทหารเริ่มใช้กระสุนจริงไม่ใช่แก๊สน้ำตา ทำให้มีคนหนีกลับไปจนบางตา พวกเราต้องรับคนไข้ส่งโรงพยาบาลจนเหนื่อย นักศึกษาคนหนึ่งถูกยิงที่หน้าอกข้างขวาเป็นรูเล็กๆ ไม่มีเลือดออก เขาบ่นว่าแน่นหน้าอก ข้าพเจ้าปลอบว่าแผลเล็กนิดเดียว ไม่เป็นอะไรมาก เมื่อส่งเขาแล้วก็กลับออกมา เข้าไปโรงพยาบาลอีกครั้ง มีคนบอกว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ลูกปืนได้ทะลุทะลวงปอดจนไม่สามารถช่วยได้

    ในฐานะที่เป็นวิสัญญีแพทย์ มีความชำนาญในการให้น้ำเกลือมากกว่าแพทย์สาขาอื่น ข้าพเจ้าต้องแทงเส้นในขณะที่รถโขยกไปมาไม่ใช่ของง่าย เมื่อถึงโรงพยาบาลทุกคนก็เฮมาที่รถ ช่วยกันอุ้มคนที่บาดเจ็บลงเปล หามไปห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็วจนข้าพเจ้าไม่ทันที่จะส่งน้ำเกลือให้ ผลก็คือน้ำเกลือหลุด เมื่อคนไข้ถึงห้องผ่าตัด ถ้าอาหารหนัก เส้นเลือดจะหดตัว ทำให้การหาเส้นเลือดเพื่อให้น้ำเกลือและเลือดยากยิ่งขึ้น

    หลังจากเหตุการณ์สิบสี่ตุลา มีการประชุมเพื่อหามาตรการรับอุบัติภัยหมู่ โดยใช้เหตุการณ์สิบสี่ตุลาเป็นตัวอย่างของความผิดพลาด



    วันที่สิบสี่ตุลาเป็นวันอาทิตย์ ท้องสนามหลวงมีการติดตลาดนัด พ่อค้าแม่ค้ายังอยู่กันที่นั่นมากพอสมควร ทหารได้ยิงปืนเข้าไปในท้องสนามหลวง ทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าถูกลูกหลงไปด้วย เราช่วยพาเขาไปโรงพยาบาล ใครที่ตายลงก็พลอยเป็นวีรชนไปกับเขาด้วย

    พวกเราช่วยกันมากถึงกับบังอาจขับรถตัดหน้าเวลาทหารกำลังประทับปืนยิง ทำให้เขาต้องลดปืนลงเพราะไม่อยากยิงรถพยาบาล ทำให้เราช่วยประชาชนไม่ให้ถูกยิง มันหลายครั้งเข้าจนเขารู้เจตนาของพวกเราและหมั่นไส้เขาเลยยิงเฉียดรถของเราเป็นการเตือน

    เรายังกินกล้วยเครือนั้นประทังชีวิต บ่ายแก่ๆ เพื่อนที่โรงพยาบาลส่งก๋วยเตี๋ยวราดหน้ามาสองสามห่อ มีจดหมายฝากมาด้วย เขาเขียนว่า "จินดากลับเข้าที่โรงพยาบาลได้แล้ว เธอมีครอบครัว มีลูก ปล่อยให้หนุ่มๆ เขาซ่ากันไป"

    ข้าพเจ้ากำลังจะตักก๋วยเตี๋ญวเข้าปาก รู้สึกว่ามีสายตาสองสามคู่มองดู พวกนักศึกษาที่นอนอ่อนระโหยข้างถนนจ้องดูห่อก๋วยเตี๋ยว ข้าพเจ้าต้องยกก๋วยเตี๋ยวให้เขา พวกนั้นกินอย่างหิวกระหาย บอกว่าวันนี้เพิ่งจะได้กิน

    ผลบุญที่ได้เสียสละ สักครู่ก็มีคนขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นเอามาให้พวกหมอ บอกว่าวันนี้ไม่ขายแล้ว พวกเรานั่งรับประทานเป็ดตุ๋นพร้อมกับเชียร์ประชาชนและนักศึกษาเผากรมประชาสัมพันธ์ กองสลากและตึกที่สี่แยกคอกวัว ทหารถอยออกไปบ้างแล้ว ลืมเล่าว่าโรงแรมถูกยิงหน้าต่างกระจกแตกเป็นช่องใหญ่

    นักเรียนและประชาชนเริ่มจลาจล มีการไปทุบกระจกร้านวิทยาศรมซึ่งขายยาและเครื่องมือแพทย์ ร้านอาหารกระป๋อง อสร. พวกเขาขนเครื่องมือแพทย์และอาหารกระป๋องมาให้เราด้วยความหวังดี เครื่องมือแพทย์นั้น มีคีมถอนฟัน ที่ขูดมดลูก เราห้ามพวกเขาให้หยุดทำ บอกว่ามันไม่มีประโยชน์ มันใช้ไม่ได้สำหรับเหตุการณ์วันนี้

    อาหารกระป๋องนั้นเขาตั้งโชว์ไว้นานเป็นปี เมื่อเปิดรับประทาน มีหลายคนท้องเดิน รวมทั้งข้าพเจ้า หลังจากเหตุการณ์สงบลง แทนที่จะได้นอนพัก กลับท้องเดินวิ่งเข้าส้วม

    กรมประชาสัมพันธ์รอดจากเพลิงไหม้ มีคนบอกว่า คุณพิชัย วาศนาส่ง ท่านเขียนแบบไว้ดีมาก ไฟไหม้ยาก กองสลากกำลังลุกไหม้ท่ามกลางความสะใจของประชาชน ตึกที่สี่แยกคอกวัวก็ไหม้และมีคนติดอยู่และตายบนกันสาด

    น่าอนาถใจที่ไม่มีใครช่วยเขาได้ ถ้าไม่มีการจลาจล คงมีการช่วยชีวิตได้

    เย็นลงทหารถอนออกไป มีข่าวลือว่าจะมีการเอาระเบิดมาทิ้งที่ถนนราชดำเนิน พวกหมอหลายคนขอให้ข้าพเจ้ากลับโรงพยาบาล "อาจารย์อย่าเสี่ยงเลย ไปพักเสีย พวกผมอยู่กันได้"

    ข้าพเจ้ายอมกลับ เมื่อถึงโรงพยาบาล สมเด็จพระราชชนนีทรงกล่าวปราศรัยทางโทรทัศน์ ทำให้พวกเราใจชื้นขึ้นว่ามีผู้ใหญ่ออกมาทำอะไรสักอย่างในขณะที่บ้านเมืองกำลังวิกฤต

    คุณหมอธารา ตริตราการ ชวนข้าพเจ้าไปกราบที่พระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดา เผื่อท่านจะช่วยอะไรได้บ้าง

    ไม่นาน ก็ได้ยินคนร้องไชโย พวกผู้เผด็จการได้ออกนอกประเทศไปแล้ว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัสทางโทรทัศน์ว่า วันนี้เป็นวันมหาวิปโยค



    หลังจากวันที่สิบสี่ตุลา ข้าพเจ้าได้คุยกับแท็กซี่ท่าพระจันทร์ เขาเล่าว่าพวกเขาตั้งโรงครัวประกอบเลี้ยงอยู่ที่ข้างตึกศิลปศาสตร์ อาหารก็ไปเอาที่ท่าเตียนซึ่งแม่ค้าให้มาฟรีๆ ที่น่าสงสารคือเวลาทหารมาซื้อก็ไม่ยอมขายให้ มิหนำซ้ำยังโดนแม่ค้าไล่และด่าให้

    เช้าวันจันทร์ เพื่อนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ชวนข้าพเจ้าข้ามฟากไปดูที่ถนนราชดำเนิน มีศพคนนอนตายบนกันสาดตึกที่ไหม้ไฟ กองสลากไหม้ไม่เหลือ มีคนมาเดินดูกันมากมาย ในที่สุดก็ชวนกันมารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมรอยัล เมื่อจะชำระเงิน พนักงานบอกว่าไม่คิดเงินคุณหมอ เพราะเป็นวีรชน เพื่อนบอกว่าข้าพเจ้าซ่ามาก

    การเป็นวีรชนในวันนั้นทำให้ข้าพเจ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในเวลาต่อมา มันร้ายจนข้าพเจ้าถูก ศรภ. ตามประกบตัวอยู่พักหนึ่ง หลังจากตามเข้าออกร้านทำผม ร้านขายผ้าและช็อปปิ้งตามศูนย์การค้าอยู่พักหนึ่งก็หยุดตาม

    นี่เป็นคำบอกเล่าของท่านผู้ใหญ่คนหนึ่งใน ศรภ.


    หน้า 38

    จากคุณ : Yuyu - [ 17 ต.ค. 46 16:07:13 ]