* หญิงไทยจ๋า กรุณาอย่าร่านมากไปกว่านี้จะได้ไหมจ๊ะ?

    กรุณาอย่าร่านไปกว่านี้จะได้ไหมจ๊ะ?

    โดย ยอดรัก ตวันรอน

    ต่อไปนี้คนไทยเราควรจะต้องมีวัฒนธรรมประเพณีทางชู้สาวกันขึ้นมาใหม่อีกประเพณีหนึ่งคือ ผู้หญิงผู้ชาย ที่ต้องการสมสู่กันอย่างสัตว์จะไม่ต้องมีพิธีรีตองหรือมีหลักเกณฑ์อะไรมาก เพียงแต่เดินผ่านหน้ากันกลางถนนหนทางก็อาจจะกวักมือเรียกกันมาทำอะไรก็ได้ตามความพอใจ

    นี่เป็นข้อความสำคัญข้อความหนึ่งที่มีพรรคพวกมาปรารภกับผม เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา และนำเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ไม่หนุ่มและเด็กสาวที่เป็นเพียง เศษสาว คนหนึ่งที่ออกมาประกาศถึงความรักและความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน หลังจากรู้จักมักคุ้นไม่กี่วัน

    ผู้ชายหรือเด็กหนุ่มเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงของประเทศ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าทั้งครอบครัว ในฐานะที่ได้สร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ สำหรับฝ่ายหญิงนั้นได้ทราบว่าเธอมีชื่อเสียงมากมายในฐานะนักร้อง ซึ่งคนอย่างผมไม่ยอมรับว่า ไม่น่าจะต้องมีชื่อเสียงเพราะร้องเพลงจัณฑาลพวกนั้น แต่คนไทยที่มีเคราะห์กรรมหนักพวกหนึ่งก็ยอมรับ ยกย่องและเทิดทูนกันมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งไม่กี่วันมานี้ มีคนมาบอกผมว่า หล่อนบุกเข้าไปนั่งกอดนักกีฬา เพื่อป้อนไอศกรีมกันถึงในสนามกีฬา พร้อมกับการทำท่าจะโอบกอดหรือโอบกอดอย่างเปิดเผยต่อหน้าคนมากมายไปแล้ว เพื่อจะนำมาประกาศว่าเธอจะรัก และเป็นเจ้าของนักกีฬาคนนี้แต่เพียงผู้เดียว!

    หนังสือพิมพ์ทุกฉบับนำข่าวมาประโคมกันยิ่งกว่ารายละเอียดในการประชุมเอเปกที่เราลงทุนกันไปแล้วอย่างหนัก พร้อมกับโทรทัศน์หลายรายการก็นำมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อ ที่คาดว่าครึกโครมกว่าเมืองไทยต้องเผชิญสงคราม 9 ทัพ ในสมัยรัชกาลที่หนึ่งเป็นไหนๆ

    มันเป็นข่าวที่ยิ่งใหญ่และอึกทึกครึกโครมกันไปหมดทั้งชาติ!

    เราจะอยู่กันอย่างไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลยเชียวหรือต่อไปนี้ พรรคพวกคนนั้นพูดต่อไปอีก เราจะพากันทำหน้าที่แทนสัตว์เดียรัจฉาน โดยไม่มียางอายอะไรเหลือไว้สักนิดเชียวหรือ?

    ผมเห็นใจพรรคพวกที่เป็นเดือดเป็นร้อนรายนั้นมาก แต่ผมตอบอะไรไม่ได้หรือไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เพราะในความรู้สึกและในความเข้าใจของผม ผมรู้แต่เพียงว่า บ้านนี้เมืองนี้ในปัจจุบันนี้ทุกอย่างมันหมดหวังไปหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้ามันมีแต่ความชั่วช้าเลวทรามและเสื่อมลงอย่างไม่มีทางแก้หรือแก้ไม่ไหวแล้วทั้งสิ้น

    แม้ว่าในความรู้สึกของคนจำนวนมาก รู้สึกกันว่าบ้านเมืองน่าจะมีการแก้ไขกันไปได้มากแล้ว มีผู้มีบุญลงมาเกิดให้เห็นพร้อมด้วยกฤษฎาภินิหารอันไม่เคยมีมาก่อน ก็เชื่อว่าทุกอย่างจะแก้ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร

    แต่ผมไม่มีวันเชื่อและไม่มีวันหวังว่ามันจะสามารถแก้ไขได้ หรือจะทำอะไรให้ดีขึ้นนอกจากจะเลวอย่างหนักยิ่งขึ้นไป

    เพราะว่าเราได้ทอดทิ้งความเป็นไทยและวัฒนธรรมประเพณีของเราทั้งหมด ไปเป็นเวลานานเกือบจะร้อยปีมาแล้ว!

    เช่นเดียวกับคนไทยที่สามารถจะรักษาความเป็นไทยเอาไว้ได้นั้น เราก็ไม่ได้สร้างและเราไม่ได้ปลูกฝังขัดเกลาอะไรขึ้นมาในระยะเวลาเกือบร้อยปีเหมือนกัน!!

    การสร้างบ้านสร้างเมืองของไทยแต่โบราณมานั้น เป็นการสร้างด้วยการออกคำสั่ง ประชาชนพลเมืองของเราทั้งชาติหลังจากสุโขทัยมาจนถึงรัชกาลที่ 5 ไม่มีใครมีสิทธิที่จะคิดอ่านหรือกระทำการใดๆ ที่เป็นความคิดและความต้องการของตนเอง เพราะคนไทยทุกคนจะต้องเป็นทาสเป็นไพร่ ทาสและไพร่ในสมัยโบราณไม่มีสิทธิที่จะพูดหรือจะคิด หรือเสนอความต้องการหรือจะต้องทำอะไรหรือไม่ทำอะไรแล้วแต่นายทาสจะสั่ง

    ในระดับบ้านเมืองหรือในระดับประเทศ ในยามที่บ้านเมืองมีชนชั้นปกครองที่ดี มีศีล มีสัตย์ มีคุณธรรมในการปกครองบ้านเมืองก็เรียบร้อย ประชาชนในบ้านเมืองก็ไม่มีปัญหา

    มาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 และที่ 5 ประเทศถูกรุกรานจากประเทศล่าเมืองขึ้นฝรั่ง ซึ่งคอยแผ่อิทธิพลร้อยแปดเข้ามา โดยประการต่างๆ เพื่อฮุบเอาประเทศในเอเชียเป็นเมืองขึ้นที่สมบูรณ์ตามรูปแบบ ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และที่ 5 เริ่มลงมือหาทางรับมือกับฝรั่งเหล่านั้น ซึ่งพอเอาตัวรอดมาได้ แต่ประชาชนยังไม่มีส่วนร่วมและยังไม่รู้ว่าประเทศไทยหรือชนชาติไทยกำลังจะเผชิญปัญหาอะไรที่จะมาถึง แต่สิ่งหนึ่งในหลายๆ สิ่งก็คือ การพยายามลงทุนในด้านการศึกษาเพื่อให้ประชาชนพลเมืองรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเปิดโอกาสให้คนไทยรู้จักคิด รู้จักทำ แทนที่จะรอรับฟังคำสั่ง

    สิ่งที่พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ และต่อมาจนถึงรัชกาลที่ 6 ที่ 7 ได้ทรงกระทำอย่างหนักเท่าที่เงินและความพร้อมของประเทศจะทำได้ ประการแรกก็คือ การให้การศึกษาแบบสมัยใหม่ เริ่มต้นจากทรงจัดตั้งโรงเรียนสวนกุหลาบ เป็นต้นมา แต่ก็ทำได้น้อยมาก แต่ก็พยายามทำกันมาอย่างสุดความสามารถ ด้วยวัตถุประสงค์เพียงสิ่งเดียวคือ การสร้างคนใหม่ๆ ที่โลกเขามีกันขึ้นมา

    การศึกษาของไทยในสมัยนั้น ได้อาศัยวัดที่ให้การศึกษาพออ่านออกเขียนได้กัน แต่เนื้อหาสาระที่การศึกษาสมัยนั้นก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นหลัก

    ในอันดับต่อมา ถึงแม้ว่าการศึกษาเล่าเรียนหรือการสร้างคนที่ว่านั้น จะอยู่ในขอบเขตจำกัดในด้านเนื้อหาสาระของความรู้สำหรับการดำรงชีิวิตและไม่ก่อความยุ่งยากโสมมให้แก่สังคมก็คือ การสอนให้รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างสังคมชาวพุทธคือ มีศีล มีธรรม มีการร่วมมือ มีการแบ่งปันและการเสียสละ ไม่กระทำชั่วและกรรมเวรใดๆ เป็นอันขาด

    สมัยนั้นโรงเรียนทั่วไปหรือส่วนใหญ่สำหรับสามัญชนทั่วไปก็อาศัยวัด หรือวัดจะจัดตั้งโรงเรียนสอนกันเอง โดยไม่มีโรงเรียนรัฐบาลทั่วถึง สิ่งหนึ่งที่ผู้ปกครองบ้านเมืองสมัยนั้นสามารถประคับประคองสังคมไทยไว้ได้ ก็อาศัยหนังสือบางๆ เพียงสองสามเล่ม สำหรับให้อ่านให้ศึกษาและต้องจดจำกันในหมู่คนรุ่นนั้นคู่กันไปกับหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาจากวัดและการอบรมบ่มเพาะภายในครอบครัว

    หนังสือสามเล่มที่ว่านั้น พิมพ์ด้วยกระดาษหยาบๆ เพราะสมัยนั้นเป็นสมัยที่ไม่มีอะไรทันสมัยหรือไม่สามารถจะเลือกได้ เล่มแรกที่สำคัญที่สุดเท่าที่ผมจำชื่อได้ก็คือ หนังสือชื่อ สมบัติผู้ดี ที่ผู้เขียนดูเหมือนจะเป็นพระยาหรือสมเด็จพระยาสุนทเรนท์ราชาอะไรทำนองนี้แหละ ผมก็ลืมไปเสียแล้วเพราะมันนานมาแล้ว อีกเล่มหนึ่งก็คือ นิทานอีสป ที่เสนอให้คนไทยสมัยนั้น รู้จักเรื่องของ ม้าอารี หรือ กระต่ายกับเต่า หรือ ไก่แจ้ ที่ขึ้นโก่งคอขันบนกำแพงเมืองเวลาไปตีชนะไก่ตัวอื่น ทุกเรื่องล้วนแต่เป็นภาษิตสอนใจที่สอนให้เกิดความคิดและยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกต้องที่ได้เรียนได้อ่านมา

    จากคุณ : อนาถหญิงไทย สมเพชคนไทย - [ 19 ต.ค. 46 18:23:11 A:203.118.93.60 X: ]