P2596816 ทำไมถึงมีการยกเลิกสอบตรงในสมัยก่อนครับ []

ความคิดเห็นที่ 7

ก่อนการปฏิรูปการศึกษา 2521 การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็เรียนว่า
Entrance ซึ่งสอบในเดือนเมษายน ใช้ข้อสอบที่ทบวงฯจัดขึ้น
เลือได้ 4 อันดับ ตอนนั้น การสอบมศ.5 (ม.ปัจจุบัน) ใช้ข้อสอบส่วนกลาง สายวิทย์ ใครได้ 80% ขึ้นไป ถื่อว่าติดบอร์ด (topสุด ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ (ตอนนั้นจะแข่งขันอยู่ สอ รร. คือสวนกุหลาบกับเตรียมอุดม ผลัดกันชิงอันดับหนึ่ง) สายศิลป์ ได้ 75% ขึ้นไปถือว่าติดบอ์ด (ส่วนมากเตรียมจะครองอันดัีบหนึ่งมาตลอด) ยุกนั้นโรงเรียนดังๆ ก็จะเน้นให้นักเรียนทำคะแนนสูงสุด ติดบอร์ดกันให้ได้มากที่สุด ผมเรียนสมัยนั้น (2514) ก็มีกวดวิชากันแล้ว จนเกิดกระแส 14 ตุลา 16 ศูนย์นักเรียนเริ่มคัดค้านระบบการศึกษาแบบแข่งขัน ด้วยเหตุผลว่า การศึกษาเน้นชิงดีชิงเด่น คนต่างจังหวัดเสียเปรีบย เพราะเน้นข้อสอบออกจากส่วนกลาง จนละเลยภูมิปัญญาท้องถิ่น การศึกษาไม่เนย้นให้รับใช้สังคม มุ่งแต่การสอบ Entrance (ไม่ช่การสอบตรงหรือการรับตรง) สมัยนั้นการสอบ Ent ทุกคนจะไม่รู้ว่าตนจะติดคณะไหน เพราะนักเรียนไม่รู้ว่่าคะแนนสอบเข้าแต่ละวิชาตนเองได้เท่าไร จึงต้องแล้วแต่ดวง การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมืองและว้ฒนธรรมครั้งใหญ่ หลัง 14 ตุลา มีผลให้เกิดการปฏิรูปการศึกษา ออกพรบ.การศึกษา 2521 ขึ้นมา เปลี่ยนหลักสูตร เอาหลายวิชาที่เป็นหมวดเดียวกัน มายำเป็นวิชาเดียว เริ่มตั้งแต่ชั้นประถม เช่น สปช สลน เป็นต้น ให้รร.ต่างจังหวัดเพิ่มหลักสูตรท้องถิ่นเข้าไปด้วย แต่โชคร้าย ระบบการสอบ Ent ยังคงใช้ระบบเดิม คือเนื้อหาเน้นในหลักสูตรหลัก ออกโดยอ.มหาวิทยาลัย จึงยิ่งทำให้นร.กวดวิชาหนักเข้าไปอีก จนเริ่มมีการคิดจะเปลี่ยนระบบการสอบ Ent ใหม่ โดยให้นร.สอบวิชาหลักปีละ 2 ครั้ง (ตค.-มีค.) ข้อสอบออกโดยทบวงฯ(อ.มหาวิืทยาลัย) กำหนดให้ใช้ GPA เป็นส่วนหนึ่งของคะแนนคัดเลือก เพื่อให้นักเรียนสนใจเรียนในชั้นเรียนด้วย โดยวางแผนว่า อีก 5 ปี จะเพิ่มค่า GPA ขึ้นมาด้วย แล้วลดน้ำหนักวิชาหลักลง โดยเชื่อว่าส่วนกลางจะสร้างข้อสอบกลาง (National Test) เป็นค่าวัดเปรียบเทียบว่า GAP รร.ไหนกดเกรด รร.ไหนเกรดเฟ้อ วิธีสอบแบบนี้ ทำให้นร.มีคะแนนสอบเดือนตุลา พอจะเอาไปคำนวณว่าคณะไหนที่ตนเองชอบ มีโอกาสสอบติดหรือเปล่า วิชาไหนคะแนนน้อย ก็ไปสอบใหม่เดือน มีค. แล้วไปสมัครเลือกคณะในเดือนเมษา โดยไม่ต้องสอบใหม่ (เอาคะแนนสูงสุดเดือน ตุลาหรือมีนามาใช้ตัดสิน) หลังใช้ระบบนี้มา 2-3 ปี นร.เริ่มรู้ว่าคะแนนวิชาหลักเป็นตัวตัดสิน การกวดวิชาหลักๆ ก็ยิ่งแพร่หลายมากยิ่งขึ้น จนนร.ไม่น้อยละเลย GPA ที่จะได้จากโรงเรียน (5%ของ GPA เท่ากับคะแนนเต็ม ประมาณ 38 สูงสูด จาก 444 หรือ 700 คะแนนเต็ม) จากการอ่านเวปบอร์ดที่นร.สะท้อนในเวปต่างๆ ส่วนมากไม่ชอบ GPA เพราะพวกเขาเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พลาดคณะสาขาที่ตนเลือก แพ้เส้นยาแดงผ่าแปด และส่วนมากที่ระบุตนเองเป็นนร.จากรร.ที่มีชื่อในกทม.เป็นส่วนใหญ่ แต่นร.ต่างจังหวัดส่วนมากจะชอบ ทำให้มีโอกาสติดมากขึ้น ที่จริง การเพิ่ม GPA จาก 5% เพิ่มให้มากขึ้น มีอยู่ในแผนของสภาอธิการบดีฯ ที่กำหนดว่าจะต้องให้ความสำคัญกับการเรียนในโรงเรียน ให้นร.ทำกิจกรรมในรร.มากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการขากวุฒิภาวะหรือมนุษยสัมพันธ์ในการใช้ชีวิตร่วมกัน ตอนนั้นเหล่าอธิการบดีเชื่อว่า การสอบที่เน้นคะแนนวิชาหลักมากๆ จะทำให้นร.สนใจแต่จะกวดวิชาหลัก ละเลยวิชาอื่นๆ ละเลยการการทำกิจกรรมในโรงเรียน แม้แต่นร.ที่สอบเทียบได้ ก็ไม่ให้สมัครสอบ ส่วนตัวผมนั้น ผมเข้าใจว่าปัญหาจะเพิ่ม GPA หรืิอไม่ แค่ไหนนั้น เป็นปัญหาที่เหล่าอธิการบดีปัจจุบันไม่รับผิดชอบในแผนที่สภาอธิการบดี ชุดก่อนๆ ได้ตกลงไว้ ไม่พยายามประกาศ ชี้แจงตั้งแต่ต้นปี ปล่อยปละละเลย แต่กลับจะมาเน้นให้เอาคะแนนวิชาหลักเป็นเกณฑ์ตัดสิน ถึงขนาดบางคณะประกาศจะไม่เอาวิชาภาษาไทย สังคมเข้ามาเกี่ยวอีกเลย จะเอาวิชาที่ตรงกับสาขานั้นเป็นเกณฑ์อย่างเดียว (ที่จริง คณะเด่น เช่น วิศวะ และอีกหลายคณะ ก็ไมเอาคะแนนภาษาไทย ัสังคม อังกฤษ มาร่วมคิดคะแนนตัดสินอยู่แล้ว เพียงแค่ขอให้สอบได้ไม่น้อยกว่า 30 เทานั้น)

จากคุณ : ฉันเอง - [ 25 ธ.ค. 46 23:39:47 A:202.28.9.67 X:10.7.251.164 ]

ความคิดเห็นที่ 8

เอ้า...ตาแก่แล้วมาเล่าให้ฟังให้นะ...สอบเอ็น ปี 2510 ครับ สมัยนั้นเขามีสภาการศึกษา เวลาสมัครสอบเอ็นให้เลือก 6 คณะ ตารางสอบเป็นวิชาๆไป ไม่ตรงกันทุกวิชา ใครชอบทั้งวิทย์ทั้งศิลป์ ก็สามารถสอบได้ทั้งนั้น

แต่คุณต้องเลือกก่อนว่าจะเลือกคณะใดบ้าง แล้วไปดูวิชาที่คณะนั้นๆเขากำหนดให้สอบ

ส่วน ม.6 สมัยนั้นเรียก มศ. 5 เวลาสอบไล่กำหนดสอบข้อสอบกลาง เหมือนกันทั้งประเทศ ดังนั้นเขาจึงจัดอันดับได้ว่า ใครติดบอร์ดบ้าง การติดบอร์ดแสดงว่าเป็นคนเก่ง ตั้งแต่ลำดับที่ 1-50

ทั้ง 2 สายคือสายวิทย์-สายศิลป์ สมัยนี้หนังสือพิมพ์เขาประกาศแค่ ที่ 1 ประเทศไทย

ดังนั้นสมัยก่อน จะมีคนเก่ง สายละ 50 คน กระจายไปทั่วประเทศ เด็กต่างจังหวัดก็ติดบอร์ดได้ จังหวัดผมต้องมีติดบอร์ดแน่นอน ปีละคน 2 คน ที่หนึ่งเขาชิงกันแค่ เตรียมอุดมกับสวนกุหลาบ (บางทีก็เด็กต่างจังหวัดนั่นแหละ อิ อิ แต่มาสอบเข้าเรียนเตรียม-สวนกุหลาบ)

ก่อนหน้านั้น ก็สอบเอ็นเป็นคณะๆ แต่ละมหาวิทยาลัยเลือกกันเอง ต่อมาจึงมีสภาการศึกษาจัดสอบให้

ถ้าเป้าหมายของกระทรวงศึกษาจะกลับไปใช้แบบเก่า แสดงว่า ด็อกเตอร์ทั้งหลายที่ทำงานมาตลอด 20-30 ปี บ้าตำราฝรั่งมากเกินไป สุดท้ายก็ต้องกลับไปใช้แบบเดิม

พูดตรงๆนะ สมัยก่อน มศ.4-5 (ม.5-ม.6) เขาเรียนกันไม่กี่วิชาหรอก มีคณิตศาสตร์ (แยกๆรายวิชา) วิทยาศาสตร์ (แยกรายวิชา เคมี ชีวะ ฟิสิกซ์) ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
อ้อ..มีภูมิศาตร์-ประวัติศาสตร์ด้วยนิดหน่อย

แค่นี้แหละ สายศิลป์ก็หนักสังคม วิทยาศาสตร์ทั่วไป ภาษา
(เพิ่มฝรั่งเศส)

ก่อนรุ่น ม.ศ 5 เขาเรียกเตรียมอุดม(ม.ปลาย 2 ปี) เขาเรียก ม.7-ม.8 รุ่นนั้นคนเรียนต่อน้อย มหาวิทยาลัยให้เลือกก็น้อย
ดังนั้นการเลือกคณะหรือมหาวิทยาลัยมันก็พอวิ่งรอกสอบกันได้ มีแค่ 5 มหาวิทยาลัย จุฬา ธรรมศาสตร์ เกษตร แพทย์(มหิดล) ศิลปากร บวกวิทยาลัยวิชาการศึกษาอีก 3 (ปทุมวัน ประสานมิตร บางแสน)

ตอนหลังคนมากขึ้นเขาเลยจัดระบบให้มีสภาการศึกษา เป็นหน่วยกลาง สอบเอ็นฯและจัดลำดับคะแนนให้ครับ

ช่วงนั้นเพิ่งเปิด มช. กับรามฯ
ถ้าคนเชียงใหม่จะสอบเข้าเชียงใหม่ก็ต้องมาสอบที่กรุงเทพนะครับ

ผมคิดว่าพวกอาจารย์รุ่นนี้อิจฉาเด็กเก่ง อิ อิ อย่างรุ่นพวกผมเที่ยวทั้งปี เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แต่อาศัยสมองดีหน่อย อ่านหนังสือไม่กี่วันสอบได้ สบายมาก ขอผ่านแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ แข่งกับตัวเอง ไม่ต้องไปแข่งใคร

มาลุ้นที่สอบเอ็นมากกว่าครับ

ก่อน มศ. 5 มีคะแนนเก็บเหมือนกัน แต่ใช้เฉพาะ ม.ต้น เอาคะแนนสอบกลางปี มาเฉลี่ยคะแนนสอบปลายปี

พอขึ้นม.ปลาย เขาถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว การเรียนต้องรับผิดชอบเองครับ เพราะไปลุ้นข้อสอบกลางครั้งเดียวตอน ม.8หรือ มศ.5

บางทีไม่ต้องเรียนในโรงเรียน แต่สามารถไปสมัครสอบทั่วไป คือสอบเทียบนั่นแหละครับ รุ่นผมเรียน มศ. 4 ก็ไปสอบได้ มศ. 5 มาหลายคน

เห็นลูกหลานอ่านหนังสือสอบรุ่นนี้ผมละเหนื่อยแทนจริงๆ
รุ่นผมเล่นดนตรีไป เรียนไป ยังสอบเอ็นติดเลยครับ เพื่อนๆ 5 คน ติดคนละคณะ สัตวแพทย์ วนศาสตร์ พานิชย์-บัญชี นิเทศศาสตร์ ตัวนักร้องไม่อยากเรียน ตอนหลังไปได้ แผ่นเสียงทองคำ

ที่จริง ม.ต้นก็น่าจะสอนวิชาทั่วไปพอแล้วนะครับ คนเรียน ม.ปลาย เน้นไปถึงความเก่งวิชาการดีกว่า แต่ใครอยากตอบโต้ผมก็ไม่ว่านะครับ ต่างคนต่างคิด เพราะผมถือว่าครอบครัวควรสอนในเรื่องชีวิตได้ดีกว่า

สมัยนี้พ่อแม่หวังพึ่งโรงเรียนมากเกินไปนะ มันเลยให้ทุกอย่างไปลงที่โรงเรียน มันเลยยุ่ง

ถ้าปรับนิดเดียวนะครับ คณะดังๆ(ของสายวิทย์) วิศวะ แพทย์ ฯลฯ ลองเพิ่มวิชา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ศีลธรรมเข้าไปด้วย แค่นี้ เขาไม่เรียนก็ต้องเรียนครับ

กำหนดวิชาที่สอบใหม่ แค่นั้นเองไม่เห็นยากตรงใหน
ไปกำหนดหลักสูตร แต่ลืมไปว่า มหาวิทยาลัยชอบเฟ้นรายวิชา

ทำยังงี้ก็ไม่เป็นระบบซักที ใครรู้จักพวกกำหนดนโยบายวานไปบอกที ให้คณะดังๆ สอบ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ศีลธรรมไปด้วย เด็กต่างศานาก็ให้มีวิชาศาสนาของเขา

แค่นั้นเองครับ รับประกันว่า การกวดวิชาหรือการมุ่งเน้นรายวิชาจะหมดไป

สำคัญว่าพวกอาจารย์มหาวิทยาลัยจะรับได้มั๊ยแค่นั้นเอง

จากคุณ : can - [ 26 ธ.ค. 46 13:09:33 A:203.156.11.6 X: ]