2546 ปีแห่งความยิ่งใหญ่ของจีน และหู จิ่น เทา ผู้นำมังกรผงาดโลก

    หู จิ่น เทา นำเศรษฐกิจบูมทุกด้าน
    แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่หนึ่งปีในการบริหารประเทศของ หู จิ่น เทาและทีมบริหารคนรุ่นใหม่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการนำจีนก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจโลกอย่างสมบูรณ์ และเป็นรอบปีที่จีนมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น และขับเคลื่อนอย่างทรงพลังมาตลอดปี โดยช่วง 20 ปีที่จีนปฏิรูปและเปิดประเทศนั้นถือเป็นกระบวนการพัฒนาเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลก ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความรุ่ง เรืองอย่างมากเห็นได้จากอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) 2543 สูงกว่าปี 2521 ถึง 6.4 เท่า และขยายตัวเฉลี่ย 9.5% ต่อปีมากกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงเดียวกันถึง 3 เท่าและมากกว่าประเทศกำลังพัฒนาถึง 2 เท่า
    โดยเศรษฐกิจจีนปี 2546 คาดการณ์ว่าขยายตัวในอัตรา 7% ขณะที่จีดีพีในช่วง 9 เดือนแรกของปีขยายตัวในอัตรา 8.5% แม้ช่วงต้นปีนั้นจะประสบกับภาวะวิกฤติโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ ซาร์ส จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็นประเทศซาร์ส แต่ด้วยความสามารถของหู จิ่น เทา และนายเหวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรี ที่ช่วยกันปลุกเร้าคน ในชาติทำสงครามกับซาร์สจนประสบความสำเร็จ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวถึง 14%
    เหตุผลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของจีนมีความรุ่งเรือง คือ การที่หู จิ่น เทา เร่งปฏิรูปโครงสร้างและพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเปิดตลาดเข้าสู่ตลาดโลก ตามพันธะในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อปี 2544 เป็นผลให้การค้าและการลงทุนของจีน ที่เปิดกว้างขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันจีน กลายเป็นตลาดใหญ่ทั้งการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment) ซึ่งปีนี้คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 52,700 ล้านดอลลาร์สูงอันดับหนึ่งของโลก ส่วนมูลค่าการค้าสูงปีนี้คาดว่าสูงถึง 840,000 ล้านดอลลาร์ หรือเป็นอันดับสี่ของโลกแซงหน้าญี่ปุ่น และยังกลายเป็นตลาดใหญ่ทั้งภาคเกษตร การผลิตสินค้าของจีนบางอย่างติดอันดับหนึ่งของโลกไปแล้ว เช่น ธัญพืช ฝ้าย เหล็ก ถ่านหินซีเมนต์ ทีวีโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ จนเป็นเหตุให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีทุน สำรองเงินตราต่างประเทศมากถึง 370 พัน ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากเป็นอันดับสองของโลกและเงินออมในประเทศสูงถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลอดทั้งกลายเป็นแหล่งดึงดูดเงินจากทั่วโลก
    จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนภายใต้การนำของ หู จิ่น เทา ทำให้ประเทศทั่วโลกต่างนอนไม่หลับ เพราะกลัวการแข่งขันจากจีน รวมทั้งกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่หวาดกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของตน แต่ก็พบว่ากลับเป็นแรงช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากนโยบายการเปิดเขตการค้าเสรี (Free Trade Area) ในเอเชียทำให้ ประเทศในเอเชียค้าขายกับจีนได้เสรีมากขึ้น
    ขณะที่สหรัฐเองก็ไม่เป็น สุขเท่าใดนัก เนื่องจากสหรัฐที่มุ่งเดินในการหาทางที่จะครองความเป็นเจ้าโลกแต่เพียงขั้ว เดียวนั้น ในทางเศรษฐกิจปรากฏว่า สหรัฐเองนั้น กำลังกลายเป็นประเทศลูกหนี้รายใหญ่ที่สุด ของโลก คนอเมริกันมีหนี้สินมากที่สุดของ โลก จนกล่าวกันว่าคนอเมริกันได้ขายรายได้ในอนาคตตลอดชีวิตเพื่อนำมาบริโภคในปัจจุบันจนหมดสิ้น ขณะที่จีนได้ก้าวผ่านพ้นความเป็นประเทศล้าหลังในทุกด้าน กลายเป็นประเทศ ที่มีความทันสมัย อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ และทำการค้าต่างประเทศได้ดุลต่อทั่วโลก
    โดยเฉพาะสหรัฐเสียดุลการค้าให้จีนปีนี้ประมาณ 120-130 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งวันเวลาผ่านไปความโดดเด่นของจีนยิ่งทำ ให้อเมริกาเสียดุลการค้า มากขึ้น ที่สำคัญนักลงทุนต่างๆ ที่หลั่งไหลเข้าไปลง ทุนในจีน เป็นการเร่งความเจริญให้กับจีนมากยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่นักธุรกิจจากสหรัฐ เองนับวันยิ่งมีความผูกพันและสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนอย่างลึกซึ้งบริษัทอเม- ริกันขนาดใหญ่ระดับโลก เช่น ฟอร์จูน 500 ต่างเข้าไปลงทุนในจีนกันเกือบครบแล้ว
    ที่น่าสนใจคือความเจริญรุ่งเรืองของจีนในช่วงปี 2546 ซึ่งทั่วโลกตกอยู่ในภาวะเศรษฐ กิจถดถอย มีแต่จีนเท่านั้นที่ยังรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจและยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกให้เติบโต ทำให้รัฐบาลสหรัฐพยายามสร้างแรงกดดันเพื่อออกมาตร- การขับเคี่ยวการค้า และแม้กระทั่งความพยายามกดดันให้จีนเพิ่มค่าเงินหยวนที่จีน ผูกติดไว้กับค่าเงินดอลลาร์ทำให้สินค้าจีนที่ส่งออกมีราคาต่ำตามค่าเงินดอลลาร์ที่ลดลง
    และที่สำคัญตลาดในอเมริกาทุกวันนี้เต็มไปด้วยสินค้าจีนที่ราคาถูกกว่าสินค้าชนิดเดียวกันที่ผลิตในอเมริกาหรือนำเข้าจากประเทศอื่นในขณะที่คุณภาพแข่งขันได้ ซึ่ง ด้วยราคาที่แตกต่างกันจึงเป็นเหตุให้สหรัฐกล่าวหาสินค้าจีนเข้าไปทุ่มตลาดและใช้เป็นข้ออ้างเปิดสงครามการค้ากับจีน นอกจากนี้สหรัฐยังพยายามปกป้องภาคธุรกิจของตนจากการแข่งขันกับสินค้าจีนจนนำไปสู่ข้อพิพาททางการ ค้าต่างๆ เช่น กรณีการจัดเก็บภาษีเหล็ก และการจัดเก็บภาษีเท็กซ์ไทล์จากจีน เป็นต้น
    ด้านจีนเองไม่ได้พยายามตอบโต้แต่มุ่งใช้นโยบายประนีประนอม โดยตัวผู้นำประธา- นาธิบดี หู จิ่น เทา เองตั้งเป้าสร้างดุลเศรษฐกิจกับสหรัฐด้วยการให้น้ำหนักในด้านการลดปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐ ขณะเดียวกันผู้นำทั้งสองชาติต่างหันมาเจรจาด้วยท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และจีนเองแม้ยืนยันไม่ปรับค่าเงินหยวนแต่ก็ยอมให้ตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญสองฝ่ายศึกษาแนวทางปรับค่าเงินหยวนลอยตัว นอกจากนี้ยังหันมาใช้นโยบายลดภาวะดุลการ ค้ากับสหรัฐด้วยการทำข้อตกลงซื้อเครื่องบินจากโบอิ้งให้กับสายการบินของจีนรวมมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ และเครื่องยนต์จากเจเนอรัล- อิเลคตริคอีกมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ รถยนต์ นำเข้าจากเจนเนอรัลมอเตอร์ส, ฟอร์ดและเดม-เลอร์ ไครสเลอร์รวม 19,500 คัน รวมมูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีแผนซื้อข้าว สาลีและถั่วเหลืองจากสหรัฐอีกจำนวน 1 ล้านตัน

    สานนโยบายต่างประเทศเชิงรุก
    อย่างไรก็ตามการใช้นโยบายต่างประ- เทศแบบประนีประนอมกับสหรัฐไม่ได้หมาย ความว่า จีนยอมอ่อนข้อให้สหรัฐ เพราะหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดี จีน หู จิ่น เทา เดินทางเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรกโดยเลือกเยือนรัสเซีย คาซัคสถาน และมองโกเลีย และเข้าร่วมประชุม กลุ่มสมาชิกองค์กรความร่วม มือเซี่ยงไฮ้และงานฉลอง 300 ปี เมืองเซนต์ปี เตอร์สเบิร์ก หลังจากนั้นได้เดินทางไปร่วมประ- ชุมกลุ่ม จี 8 ที่เมืองเอเวียง ประเทศฝรั่งเศส
    เส้นทางยูโร-เอเชียทัวร์ครั้งแรกนี้ถือเป็นการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบของหู จิ่น เทาซึ่งไม่เพียงแต่มุ่งนโยบายในการเชื่อมสัมพันธ์ทวิภาคีและพหุภาคีเท่า นั้น แต่ยังรวมไปถึงการสร้างสัมพันธ์กับประ- เทศเพื่อนบ้าน และกลุ่ม ประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการ เยือนรัสเซียเป็นประเทศ แรกแทนที่จะเป็นสหรัฐ อเมริกาซึ่งหลายคนเชื่อว่าจะช่วยสร้างยุทธศาสตร์ความร่วมมือชิโน-รัสเซียให้ก้าวไปข้างหน้า หลังจากที่ได้มีการลงนามความร่วมมือกันไปแล้วเมื่อ 16 ก.ค. 2544 โดยในรอบปีที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจา ขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทั้งในด้านพลังงาน อาวุธนิวเคลียร์ อวกาศ สื่อสารโทรคมนาคม การบิน การค้าและอื่นๆ ตลอดทั้งด้านความมั่นคงเพื่อสร้างสันติภาพ โดยเฉพาะเสถียรภาพในภูมิภาค เอเชียกลาง ที่รวมไปถึงเอเชียใต้
    ทั้งนี้ในระยะกว่าสิบปีที่ผ่านมา สหรัฐมองจีนเป็นคู่แข่งด้านยุทธศาสตร์ และเฝ้าแทรกแซงการสร้างอำนาจของจีนในภูมิภาคเอเชียเหนือมาตลอดแต่ถึงขณะนี้จีนได้กลายเป็นมหาอำนาจในเอเชียไปอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้สหรัฐที่พยายามแทรกแซงสันติภาพในเอเชียเหนือ ต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่และท่าทีจากที่มองจีนเป็นคู่แข่ง มาเป็นพันธมิตรทาง การทูต รวมทั้งปรับทีมคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงในเอเชียใหม่
    รวมถึงปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างจีนและไต้หวันซึ่งเป็นเรื่องที่จีนยืนยันมาตลอดว่า ยอมไม่ได้ที่จะให้ไต้หวันประกาศเอกราชเพราะถือว่าไต้หวันเป็นจังหวัดหนึ่งของจีนและพยายาม หันหน้ามาเปิดเจรจาทั้งสองฝ่าย แต่สหรัฐก็เข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วยการขายอาวุธให้ไต้หวันและล่าสุดไต้หวันประกาศจะลงประชา มติเรื่องประกาศเอกราช ทำให้ท่าทีของสหรัฐเปลี่ยนไปและหันมาสนับสนุนจีน ซึ่งเหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากความพยายามเป็นคนกลางในการจัดให้มีการเปิดเจรจา 6 ฝ่ายของจีนเพื่อ ยุติวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี เหนือ ตลอดทั้งการสนับสนุนการทำสงครามปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลกของจีนด้วย
    หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่นที่เคยเป็นคู่แข่ง ประธานาธิบดี หู จิ่น เทา ก็ใช้นโยบายต่างประ- เทศที่ต่างกับอดีตประธานาธิบดีจีนคนก่อน โดยโฟกัสการพัฒนาไปสู่อนาคตมากกว่าการก่อปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่มีกันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมุ่งเพิ่มการค้าและการลงทุนกับญี่ปุ่นมากขึ้น นอกจากนี้จีนยังมุ่งนโยบายเชิงรุกในภูมิภาคอาเซียน และเอเชียตะวันตก โดยร่วมลงนามในสนธิสัญญาความร่วม มือกับอาเซียน และลงนามในความร่วมมือสานสัมพันธ์และความเข้าใจสองฝ่ายกับอินเดีย

    ปัญหาท้าทายหู จิ่น เทา
    นักเศรษฐศาสตร์ประมาณการว่า ปี 2547 เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในอัตรา 10% แม้จะ ยังมีความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจจีนอาจเข้าสู่ภาวะร้อนแรงเนื่องจากการเคลื่อนตัวของเศรษฐกิจจะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะร้อนแรงนี้จะไม่เพิ่มขึ้น และยังเห็นพ้องกันว่า ปี 2547 จะเป็นปีที่การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนปรับเข้าสู่ภาวะแข็งแกร่ง
    ขณะที่นโยบายการพัฒนาประเทศของ หู จิ่น เทา ได้ปรับเปลี่ยนหันมามุ่งเน้นการพัฒนาจีนเข้าสู่เศรษฐกิจแบบการตลาดอย่างเต็มรูปแบบในปี ค.ศ. 2010 โดยเป้าหมายสำคัญอันดับแรก คือการปฏิรูปภาคการเงิน ตลาดทุน การจัดเก็บภาษี และการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเพื่อการเติบโตในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สู่รูปแบบการพัฒนาเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น จุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาภาวะตึงเครียดทางสังคมและลดปัญหาความยากจน
    อย่างไรก็ตาม คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าปี 2546 นี้นับเป็นปีที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของจีนภายใต้การนำของ นายหู จิ่น เทา ที่นำพามังกรที่เคยหลับขึ้นมาผงาดโลก เศรษฐกิจจีนได้ผงาดขึ้นมามีอิทธิพลในเอเชียแซงหน้าญี่ปุ่นซึ่งเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับสองของโลก และจีนกำลังจะผงาดขึ้นมาแซงหน้ามหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งอย่างสหรัฐที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง เพราะจากภาวะสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐยังเป็นเพียงการเริ่มต้นที่เพิ่งเปิดฉากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากผลประโยชน์ระหว่างสองประเทศยังมีอีกมาก มายมหาศาล และดูเหมือนว่าสหรัฐกำลังเจอคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำ ขณะ ที่มังกรอย่างจีนน่าจะยังคงผงาดไปได้อีกไกล โดยเฉพาะช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่จีนเป็นเจ้าภาพเอง


    http://www.thannews.th.com/

    จากคุณ : จีนผงาด - [ วันสิ้นปี 09:40:17 A:203.155.1.2 X: ]