อภิรักษ์ โกษะโยธิน เขาเป็นมืออาชีพ เติบโตมาจากครอบครัวคนชั้นกลางที่ถือเป็นรากฐานดั้งเดิมของสังคมไทย
ผ่านระบบการศึกษาในประเทศ ที่สามารถใช้จุดแข็งที่มี ปรับเข้ากับสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เข้าไปมีส่วนร่วม
บุกเบิก หรือสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับธุรกิจที่กำลังเติบโตและเป็นแนวโน้มของไทย
อภิรักษ์มีพื้นเพเป็นชาวอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เกิดในตระกูลเก่าแก่ของทีนั่น ซึ่งรับราชการทหารมาตั้งแต่
สมัยรัชกาลที่ 6
ปู่ พันโทจมื่นศักดิ์สงคราม รับราชการเป็นทหารมหาดเล็ก ในสมัยรัชกาลที่ 6 และเป็นเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ในอำเภอ
ปากเกร็ด จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของไทย ได้มีการปรับโครงสร้างระบบราชการ
ลดคนจากหน่วยงานต่างๆ ลง ปู่จึงลาออกจากราชการ มาเก็บค่าเช่าจากที่ดินและตึกแถว
ส่วนปู่ทวด มียศเป็นคุณพระ นามสกุล โกษะโยธิน ที่ปู่ทวดได้รับพระราชทานในสมัยรัชกาลที่ 6 เริ่มพระราชทานนาม
สกุลให้แก่ผู้ที่รับราชการในสมัยนั้น นามสกุลที่พระราช ทานให้บอกเล่าที่มาของอาชีพการงานของบุคคลนั้น
เมื่อมาถึงรุ่นพ่อ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ทำอาชีพวิศวกร ส่วนลุงและป้าของเขาล้วนแต่รับราชการทหาร ลุง พันเอกพิเศษ
ทำนุ โกษะโยธิน รับราชการเป็นทหารจนเกษียณ ส่วนป้า ร้อยเอกหญิงกานดา โกษะโยธิน ก่อนจะย้ายมาเป็น
อาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนเตรียมทหาร จนได้ยศร้อยเอกหญิงนำหน้าชื่อมาจนทุกวันนี้
แม่มีอาชีพครู นามสกุลเดิมคือ จามรมาน คนในตระกูลส่วนใหญ่ ล้วนแต่ประกอบอาชีพด้านกฎหมายมาตลอด ทนาย
ความ ผู้พิพากษา กระทรวงยุติธรรม ปู่ของแม่คือ พระยานิติศาสตร์ไพศาล เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ
เป็นคณบดีคนแรกของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ต่อมาแม่ได้ขายที่ดิน นำมาเป็นเงินทุนตั้งโรงเรียน ใช้ชื่อศักดิ์สงครามวิทยา นับเป็นโรงเรียนเอกชนแห่งแรกในย่าน
ปากเกร็ด สอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมปีที่ 7 แต่เลิกกิจการไปแล้ว ส่วนพ่อและแม่ย้ายครอบครัวมาอยู่แถวสนามบินน้ำ
อภิรักษ์เติบโตมาในครอบครัวขนาดเล็ก ที่มีพ่อแม่ เขาและน้องสาวอีกคน ที่ชื่อ "อภิสรา" เรียนจบคณะเศรษฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ธนาคารนครหลวงไทย
เริ่มเรียนหนังสือครั้งแรกที่โรงเรียนอนุบาลนนทบุรี จากนั้นไปต่อชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม
ราชวรวิหาร เป็นโรงเรียนใกล้ๆ บ้าน วัยเด็กของเขามีชีวิตที่อยู่ในกรอบ มีกฎระเบียบเข้มงวด ต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 เพื่อ
อ่านหนังสือจนถึง 6 โมงเช้า จึงนั่งรถเมล์ไปโรงเรียน
อภิรักษ์มาจากครอบครัวเรียนดี ทั้งพ่อและตัวเขา ล้วนแต่เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โดยพ่อนั้นเรียนจบ
วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับราชการที่กรมชลประทาน ก่อนจะออกมาทำธุรกิจส่วนตัว
ส่วนอภิรักษ์นั้น พอหลังจากเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็เริ่มเที่ยวเตร่ เมื่อเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย สอบติด
คณะวิทยาศาสตร์เป็นอันดับสุดท้าย ไม่ได้เรียนแพทย์ หรือวิศวกรตามค่านิยม และเป็นความหวังของพ่อและแม่
"ช่วงสอบเข้าเตรียมอุดมศึกษาเป็นช่วงเข้าวัยรุ่น และเป็นครั้งแรกที่เข้ากรุงเทพฯ ก็เริ่มเที่ยวเตร่ตามประสาวัยรุ่น
สมัยนั้น พอสอบเอ็นทรานซ์ติดคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นคณะที่เลือกอยู่ ในอันดับท้ายๆ ที่บ้าน
ค่อนข้างผิดหวัง เพราะอยากเรียนแพทย์ หรือเป็นวิศวกร ตามค่านิยมในสมัยนั้น"
เรียนอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เพียงปีเดียวอภิรักษ์ตัดสินใจสอบเอ็นทรานซ์ใหม่ และด้วย
ความที่อยากใช้ชีวิตอิสระ และป้าเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นั่น คราวนี้เขาเลือกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่หมดทั้ง 6 อันดับ
อภิรักษ์สอบติดคณะเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย เลือกเรียนสาขาวิชา วิทยาศาสตร์อาหาร (Food Science
and Technology) ในปี 2522 เป็นช่วงที่รัฐบาลส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมเกษตร มีโครงการหลวง โครงการของ
สำนักงานทรัพย์สินฯ สนับสนุนให้คนเรียนด้านอุตสาหกรรมเกษตร
สำหรับอภิรักษ์แล้ว การใช้ชีวิตอิสระ และรับผิดชอบตัวเอง ทำกิจกรรม เล่นกีฬา เป็นประธานชมรมกรีฑา แตก
ต่างไปจากการใช้ชีวิตในวัยเด็กที่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของครอบครัว เป็นความประทับใจที่มีอิทธิพลต่อรูป
แบบการใช้ชีวิต และนิสัยของเขาในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานหรือชีวิตครอบครัว
"สมัยเรียนมัธยม เรียนอย่างเดียว กิจกรรมไม่ได้ทำ กีฬาไม่ได้เล่น คราวนี้มาเป็นประธานชมรมกรีฑา เป็นนักกีฬา
มหาวิทยาลัย เรียนแค่ให้สอบผ่าน บางวิชาไม่ได้เรียน ก็ท่องหนังสือตั้งแต่ 6 โมง เย็นถึง 6 โมงเช้า อาศัยว่าความ
จำดี" อภิรักษ์เล่าถึงช่วงเวลานี้อย่างมีความสุข
และที่นี่ อภิรักษ์พบรักกับปฏิมา นามสกุลเดิม พงศ์พฤกษฑล ที่แต่งงานกันมา 18 ปี ปฏิมาเป็นรุ่นน้องต่างคณะ ที่
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรียนจบคณะบัญชี เคยทำงานเป็น Auditor อยู่ที่บริษัท KPMG พักใหญ่ จนเมื่อแต่งงาน และมี
ลูก จึงลาออกมาใช้ชีวิตแม่บ้านอย่างเดียวมา 13 ปีแล้ว
ด้วยความผูกพันกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย อภิรักษ์และภรรยา เลือกบินไปพักผ่อนที่เชียงใหม่เป็นประจำ นอกจาก
ซื้อรถยนต์โตโยต้า รุ่น camry ไว้ใช้งาน เขายังซื้อที่ดินไว้ 2 ไร่ ในหมู่บ้านจัดสรร เพื่อเตรียมปลูกบ้านไว้พักผ่อน ซึ่ง
เป็นที่ดินเพียงไม่กี่ผืนที่เขาลงทุนซื้อ
หลังเรียนจบในปี 2526 แทนที่จะเลือกทำงานในโรงงานผลิตอาหารแปรรูปตามสาขาวิชาที่เรียนมา เหมือนกับเพื่อน
ฝูงส่วนใหญ่ แต่เขากลับเลือกเริ่มงานกับพิซซ่าฮัท ซึ่งเป็น 1 ในธุรกิจ fast food เพิ่งเข้ามาบุกเบิกธุรกิจในไทย
ใหม่ๆ "ตอนนั้นได้งาน 2-3 แห่ง มีทั้งโรงงาน และพิซซ่าฮัทด้วย ถ้าไปทำโรงงานก็ต้องทำงานรูทีน ส่วนพิซซ่าฮัท
เป็นธุรกิจแนวโน้มใหม่ที่เพิ่งเริ่มในไทย มองแล้วน่าสนใจมากกว่า ก็เลยเลือกพิซซ่าฮัท"
อภิรักษ์เริ่มงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝึกหัด (Management Trainee) เข้าถึงผู้บริโภค อันเป็นกลไก
ของกลยุทธ์การตลาด และทำให้เขายึดอาชีพนี้มาตลอด ทั้งที่ไม่ได้จบมาทางด้านนี้ "ตรงนี้ช่วยผมในการทำงานมา
ตลอดชีวิต เพราะต้องลงไปสัมผัสจริง ทำให้เข้าใจว่า คนที่เขาทำงาน วิธีคิดเขาเป็นอย่างไร" ทำงานอยู่พิซซ่าฮัทได้
6 เดือน เริ่มคิดไปเรียนต่อต่างประเทศ เพื่อนส่วนใหญ่เริ่มเรียนต่อต่างประเทศ
อภิรักษ์สมัครสอบเข้า UCLA ได้ แต่ฐานะทางบ้านไม่พร้อม เขาจึงเบนเข็มมาเลือกเรียน MBA สถาบันพัฒน
บริหารศาสตร์ หรือนิด้า สาขาการตลาด ในยุคนั้นยังไม่มีผู้นิยมเรียนสาขานี้มากนัก
การเข้าสู่รั้วนิด้าครั้งนี้เขามุ่งไปที่การทำกิจกรรมเป็นประธานนักศึกษาของคณะบริหารธุรกิจ และเป็นประธาน
ชมรมบริหารธุรกิจ ดูแลการจัดกิจกรรมทั้งหมด ทำกรณีศึกษาของโค้ก และเป๊ปซี่ มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหาร
อย่าง สุเทพ เลาหวัฒนะ ร่วมจัดงานประกวดโฆษณาแทคอวอร์ด ทำให้เขาเริ่มรู้จักคนในแวดวงโฆษณามากมาย คุณ
ต่อ สันติศิริ เพิ่งจบจากอังกฤษ ทำโฆษณากรีนสปอต
ประสบการณ์เหล่านี้เป็นจุดเปลี่ยนอาชีพเข้าสู่เอเยนซี่โฆษณาอยู่หลายปี และเป็นการเรียนรู้งานแนวกว้าง ลูกค้า
เป็นกลยุทธ์การตลาดในอีกแง่มุม
ในปี 2530 ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เพราะนอกจากตัดสินใจเริ่มงานใหม่ย้ายจาก Lintas Worldwide ไปร่วม
บุกเบิกบริษัท Damask Advertising ยังเป็นปีที่เขาแต่งงานกับภรรยาที่รักมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หลังแต่งงาน อภิรักษ์แยกครอบครัวมาซื้อบ้านหลังแรก ในย่านบางบัวทอง แต่พอเริ่มงานที่เป๊ปซี่ เขาย้ายมาอยู่บ้าน
หลังที่สอง ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ในย่านประชานิเวศน์ ก่อนจะย้ายมาใช้ชีวิตอยู่บนคอนโดมิเนียม ในช่วงทำงานที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
ช่วงทำงานที่เป๊ปซี่ นับว่าสร้างประสบการณ์และชื่อเสียงให้กับอภิรักษ์ ยังเพิ่มพูนทักษะด้านภาษาอังกฤษที่อภิรักษ์
ต้องใช้อย่างเต็มที่ ต้องเดินทางไป มาระหว่างบริษัทแม่ที่นิวยอร์กและสำนักงานภูมิภาค และเป็นความรู้ติดตัวที่
สร้าง ความมั่นใจให้กับเขาในการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเป็นมืออาชีพในช่วงถัดมา
"10 กว่าปีที่อยู่ ไม่เคยใช้ภาษาไทย ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ เรียกว่า กิน อยู่หลับ นอน เป็นฝรั่ง ช่วงหลังเขียน
ภาษาไทยไม่ได้เลย มาเริ่มอ่านหนังสือภาษาไทยอีกทีตอนที่มาทำงานแกรมมี่"
ประสบการณ์และความสำเร็จที่ได้จากเป๊ปซี่ โดยเฉพาะการบุกเบิกฟิโตเลย์ ที่เขา เริ่มต้นธุรกิจ สามารถวาง
business model ที่ทำอย่างเห็นผล ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับอภิรักษ์ ในการบุกเบิกหรือสร้างสิ่งใหม่ที่เป็นแนว
โน้มในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นจีเอ็ม เอ็ม แกรมมี่ รวมถึงทีเอ ออเร้นจ์ เป็นที่ล่าสุด
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้ชื่อว่าเป็นนักการตลาดฝีมือดีคนหนึ่งของไทย ประสบการณ์ทำงานในบริษัทข้ามชาติใน
ธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มกับเอเยนซี่ เป็นหลักประกันเรื่องความสามารถแบบมืออาชีพได้ดี
บริษัทฟริโต-เลย์ ประเทศไทย เจ้าของมันทอด เลย์ ที่ติดตลาดไทย เป็นแห่งสุดท้ายที่เขาทำงานในตำแหน่ง
กรรมการผู้จัดการ ก่อนที่จะออกมาอยู่ แกรมมี่
ตามคำชักชวนของ อากู๋ นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ตั้งแต่ปี 2543
การทำงานในแกรมมี่ของนายอภิรักษ์ ดูจะทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจบันเทิง มีความเป็นมืออาชีพ และเปิด
กว้างขึ้น แม้ก่อนหน้านี้จะมีคนนอกอย่างนายวิสิฐ ตันติสุนทร จาก เอไอเอที่เข้าแกรมมี่พร้อมกับนโยบาย
โก อินเตอร์ ถูกส่งไปดูแลธุรกิจของแกรมมี่ในไต้หวันแต่เพียง 2 ปีก็ลาออกไปเป็นเลขาธิการกบข. ทิ้งให้งานที่
ไต้หวันลดระดับความแรง และค่อยๆ เงียบไป
นายอภิรักษ์เป็น คนนอก อีกคนที่ดูแล้วนายอภิรักษ์น่าจะช่วยให้ความฝันก้าวต่อไปของแกรมมี่ประสบผลได้ และ
ความเป็นสากลของเขาที่ทำมาโดยตอด โดยเฉพาะที่เป๊ปซี่-โคล่า และฟริโต-เลย์ น่าจะทำให้แกรมมี่ดูเปิดกว้างมากขึ้น
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม อาจต่างจากการขายเทปเพลง และศิลปิน แต่ตลาดวัยรุ่น และการจับความต้องการของ
ลูกค้าในแง่ของความบันเทิงน่าจะพอนำมาประยุกต์ใช้ได้ในแกรมมี่
การบริหารงานของนายอภิรักษ์ใน แกรมมี่ ทำได้เพียง 2 ปี 3 เดือน ก็ประกาศลาออก อย่างเป็นทางการมาก
ผู้บริหารแกรมมี่รุ่นก่อตั้งมากันเกือบครบองค์ประชุม เพื่อร่วมเป็นพยานแถลงปรับโครงสร้าง และไปอยู่บริษัท ทีเอ
ออเร้นจ์ ของนายอภิรักษ์ นายไพบูลย์บอกว่าต้องเจรจากันถึง 3 ครั้ง ก่อนตัดสินใจยอมให้ประธานแกรมมี่คนนี้ลาออก
การไปอยู่ในบริษัท ทีเอ ออเร้นจ์ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 ของนายอภิรักษ์ในตำแหน่ง Co-CEO คู่
กับนายศุภชัย เจียรวนนท์
จากคุณ :
Dr.PK
- [
20 ม.ค. 47 23:19:13
A:202.5.88.140 X:
]