ความคิดเห็นที่ 5
มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1235
บทความพิเศษ
วงกต วงศ์อภัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ wongkot_w@yahoo.com
กิจการไฟฟ้า บทเรียนจากอาร์เจนตินา
นอกจาก ดีเอโก้ มาราโดน่า กีฬาฟุตบอล และภาพยนตร์เพลงจากละครเวทีชื่อก้องเรื่อง Don"t Cry for Me, Argentina ที่นำแสดงโดยมาดอนน่าแล้ว
ประเทศอาร์เจนตินาในมุมมองของคนไทยในปัจจุบันคงจะไม่มีอะไรที่น่านึกถึงมากไปกว่าภาพการปล้นสะดมข้าวของต่างๆ ที่เกิดมาจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจในระดับที่เรียกได้ว่า เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี พ.ศ.2544
ส่วนหนึ่งมีผลสืบเนื่องมาจากการแปรรูปกิจการสาธารณูปโภคในประเทศ ทั้งกิจการไฟฟ้า เกือบทุกประเภทโดยการนำของประธานาธิบดี คาร์ลอส เมเนม ในช่วงประมาณสิบปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่าในยุคที่ประเทศไทยเองอยู่ในระหว่างช่วง "หัวเลี้ยว หัวต่อ" ในด้านการแปรรูปกิจการพลังงานไฟฟ้าเช่นปัจจุบัน บทเรียนที่เกิดขึ้นในอีกซีกโลกหนึ่งน่าจะมีอะไรที่ทำให้เราฉุกคิดอะไรได้บ้าง
อาร์เจนตินาก่อนการแปรรูป (ค.ศ.1980-1990)
อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่เคยมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ผ่านมา
นักเศรษฐศาสตร์บางท่านถึงกับเคยพยากรณ์ไว้ว่า หากอาร์เจนตินามีการควบคุมการพัฒนาความเจริญของประเทศให้ดีกว่าที่ผ่านมา น่าจะมีศักยภาพที่เข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้ไปนานแล้ว
แต่เหตุการณ์จริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ปัญหาของการมีหนี้สะสมจนเข้าขั้นวิกฤตในช่วงต้นยุคทศวรรษที่ 80 ได้ส่งผลกระทบหลายอย่างต่อประเทศ โดยทิ้งมรดกในด้านของเงินเฟ้อที่สูงมาก อัตราการเจริญเติบโตของประเทศตกต่ำอย่างน่าใจหาย กิจการสาธารณูปโภคต่างๆ อยู่ในสภาพที่แย่ลงเรื่อยๆ โดยในขณะนั้น
สภาพกิจการไฟฟ้าในอาร์เจนตินามีลักษณะเป็นรัฐวิสาหกิจ คล้ายประเทศไทยในปัจจุบัน โดยก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1947 แต่สิ่งที่แตกต่างจากประเทศไทยคือ กิจการไฟฟ้าของอาร์เจนตินาในขณะนั้น แหล่งพลังงานหลักมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนและไฟฟ้าพลังน้ำในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันคือประมาณ 41% และ 47% ตามลำดับ
ในปี ค.ศ.1985 พลังงานไฟฟ้าบางส่วนนั้นได้ใช้ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านคือ อุรุกวัย และ ปารากวัยด้วย
ส่วนไฟฟ้าอีกประมาณ 12% ที่เหลือได้มาจากโรงพลังนิวเคลียร์ และอาร์เจนตินาได้รักษาสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนต่อพลังน้ำต่อนิวเคลียร์ให้อยู่ที่ประมาณ 45:45:10 นี้ ได้เป็นเวลายาวนาน (ในประเทศไทยปัจจุบัน มีสัดส่วนไฟฟ้าพลังงานน้ำลดลงเรื่อยๆ เหลือเพียง 12%)
ในส่วนการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอาร์เจนตินานั้น ได้เริ่มแนวคิดขึ้นในต้นทศวรรษที่ 90 เนื่องจากสภาพของกิจการไฟฟ้าในขณะนั้นมีปัญหาแบบที่เรียกได้ว่า จับตรงไหนก็เจ็บไปหมด ทั้งด้านการเงิน และความล้าหลังด้านเทคนิค การลักลอบใช้ไฟฟรี การเบี้ยวจ่ายค่าไฟฟ้า
นอกจากนั้น ยังไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอตามความต้องการ (อุปสงค์) ของประชาชนหรือไฟฟ้ามีไม่พอใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางปีที่อากาศแล้งจัดนั้น จะทำให้ระดับน้ำในเขื่อนต่ำลงจนไม่สามารถใช้ผลิตไฟฟ้าได้ อาการขาดไฟฟ้านั้นก็จะหนักมากขึ้นเข้าไปอีก
แม้ว่ารัฐบาลประธานาธิบดีเมเนม ในขณะนั้น จะพยายามดึงความสนใจของประชาชนไปสู่ความบ้าคลั่งของกีฬาฟุตบอลและ ดีเอโก้ มาราโดน่า มาใช้ต่ออายุทางการเมืองของตนอยู่ตลอด ตั้งแต่ปี ค.ศ.1986 แต่ประชาชนก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เมเนมคิด แรงกดดันทางการเมืองได้ถูกส่งมาจากประชาชนมากมายสู่รัฐบาลอย่างรุนแรง
ส่งผลให้รัฐต้องคิดและทำอะไรบางอย่างบ้าง
อาร์เจนตินาระหว่างการแปรรูป (ค.ศ.1991-1999)
จุดประสงค์หลักของการแปรรูปกิจการไฟฟ้าซึ่งเริ่มต้นอย่างเต็มรูปแบบในปี 1991 นั้น คือเพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้าใช้ภายในประเทศอย่างเพียงพอ และจำหน่ายในราคาที่สะท้อนต้นทุนจริง อันจะนำไปสู่การขยายกิจการไฟฟ้าของประเทศในอนาคตได้
แรงขับเคลื่อนหลักนอกจากแรงกดดันจากประชาชนคือ สภาพหนี้สาธารณะที่สูงมากจนรัฐบาล เมเนม หมดปัญญาแก้ไข เขาจึงคิดกระตุ้นให้ภาคเอกชน ซึ่งก็มีสภาพที่ไม่ได้มั่นคงอะไรมากนัก ให้เข้ามามีส่วนในกิจการไฟฟ้าของประเทศ โดยใช้แนวทางเสรีนิยมใหม่ของ สหราชอาณาจักร และประเทศที่ใกล้เคียงคือ ชิลี ที่ได้ทำการแปรรูปกิจการไฟฟ้าไปก่อนแล้วหลายปี
หลังจากที่รัฐบาลพยายามผลักดันกฎหมายการแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศสำเร็จในเดือน มกราคม 1992 การแปรรูปจึงเกิดขึ้นโดยมีหลักสำคัญคือ มีตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าในระดับค้าส่ง (Wholesale Power pool) มีบริษัทดูแลระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงแห่งชาติ (ที่เปรียบเสมือนองค์กรคอยดูแลถนนสำหรับกระแสไฟฟ้า) บริษัทระบบส่งของเอกชน บริษัทระบบส่งที่ดูแลเฉพาะพื้นที่ในกรุงบูเอโนสไอเรสและรอบปริมณฑล และยังมีระบบส่งของกิจการไฟฟ้าในระดับจังหวัดต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงบริษัทระบบจำหน่ายไฟฟ้าสู่ชุมชนในลักษณะผูกขาดด้วย
สิ่งที่เป็นจุดเด่นของการแปรรูปของอาร์เจนตินาคือ
- มีการแยกกิจการระบบส่งไฟฟ้า ออกจากระบบผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าหรือเขื่อน และระบบจำหน่ายไฟฟ้าไปสู่ประชาชน ออกจากกันอย่างเด็ดขาด
- ระบบผลิตไฟฟ้าจะเดินเครื่องจากชุดผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำที่สุดก่อน
- บังคับให้ผู้ผลิตไฟฟ้าแต่ละรายไม่ให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากเกินกว่าร้อยละ 10 ของประเทศ ซึ่งภายหลัง บริษัทที่มีกำลังผลิตสูงสุดจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 8 เท่านั้น ซึ่งนั่นหมายถึง จะต้องมีผู้ผลิตไฟฟ้าจำนวนมากราย (ประมาณ 40 ราย) ในตลาดซื้อและขายไฟฟ้าแบบค้าส่งแบบมีผู้ซื้อและผู้ขายหลายราย
- การกำกับดูแลกิจการ ทำโดยสำนักงานเลขาธิการพลังงานที่มีอำนาจหน้าที่เต็มในการกำหนดนโยบายและแผนกิจการไฟฟ้าทุกอย่าง
- ออกระเบียบป้องกันไม่ให้บริษัทผลิตไฟฟ้าไปถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทเกี่ยวกับระบบส่ง
- การแปรรูปส่วนผลิตไฟฟ้า ได้ทำในลักษณะขายทอดตลาด โดยมีส่วนแบ่งในอัตรารัฐต่อพนักงานต่อเอกชนในอัตรา 39:10:51 ซึ่งต่อมาพบว่าร้อยละ 90 ของสัดส่วน 39% ที่รัฐถือไว้นั้นได้ถูกจำหน่ายออกไป ทำให้รัฐสูญเสียสภาพความเป็นเจ้าของโดยสิ้นเชิง
ผลที่สุดคือบริษัทโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้ตกไปเป็นของบริษัทต่างชาติจนหมด เหลือไว้เพียงบริษัทโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ปล่อยไว้ให้กับนักลงทุนภายในประเทศบ้าง แต่จะไปมีประโยชน์อะไร เพราะบริษัทผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าย่อมสามารถผลิตไฟฟ้าในต้นทุนที่ต่ำกว่าบริษัทขนาดเล็กอยู่แล้ว อันจะทำให้กลายเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของตลาดซื้อขายไฟฟ้าอย่างแน่นอน
ผลจากการแปรรูป
ผลของการแปรรูปในช่วงแรก ทุกอย่างสวยงามเป็นไปตามที่รัฐบาลต้องการ ผลดีมีตามมา 3 อย่างคือ
(1) ค่าไฟฟ้าลดต่ำลง จากประมาณ 0.045 $ ต่อ kWh (หรือ 1 ยูนิต) ในปี 1992 เหลือเพียงครึ่งเดียวคือประมาณ 0.025 $ ในปี 1994 และคงที่ในระดับนี้ไปจนถึงช่วงก่อนวิกฤตสองปี ควบคู่ไปกับการลดจำนวนชั่วโมงที่ไฟดับอย่างไม่มีเหตุผลให้ลดต่ำลงได้
(2) ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบไฟฟ้าสูงขึ้น อันเนื่องมาจากมีการเก็บเงินค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น (คนเบี้ยวจ่ายน้อยลง) การขโมยใช้ไฟฟ้าฟรีลดลงอย่างชัดเจน ประเทศอาร์เจนตินาเองจากเดิมที่เคยขาดศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าในช่วงก่อนหน้านั้น ก็มีศักยภาพสูงขึ้น
(3) มีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนซื้อกิจการที่รัฐบาลประกาศขายออกไปเป็นจำนวนมากจนกิจการมีมูลค่าสูงขึ้นมาก โดยในปี 2000 ได้มีการประมาณว่ากิจการไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศได้มีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 7 พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว
ท่ามกลางเรื่องน่าชื่นใจข้างต้นนั้น พบว่าปริมาณสำรองของระบบไฟฟ้าของประเทศได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยมีระดับสำรองถึง 54% ในช่วงต้นปี 1999
นั่นหมายถึงจุดที่กิจการไฟฟ้าเริ่มอิ่มตัวและการขยายตัวของผู้ใช้ ต่ำกว่า การขยายตัวของผู้ผลิตไฟฟ้าเป็นอย่างมาก (Oversupply)
และโรงไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ คือบรรดาโรงไฟฟ้าเก่าที่มีประสิทธิภาพต่ำทั้งหลายจำเป็นต้องปลดระวางออกไปอย่างกล้ำกลืน
ในเวลานั้น ได้มีข้อทักท้วงให้รัฐบาลมีการจัดการควบคุมการขยายตัวในการสร้างโรงไฟฟ้าจากนักวิชาการต่างๆ มากมาย พร้อมกันกับที่โรงไฟฟ้าส่วนเกินนั้น เริ่มหาทางออกเพื่อลดภาวะการขาดทุนของตัวเอง โดยการจำหน่ายไฟฟ้าไปสู่ประเทศ บราซิล ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2000 เป็นต้นมา
เหตุการณ์ไฟไหม้ในสถานีแปลงไฟฟ้าย่อยของบริษัทจำหน่ายไฟฟ้า Edesur ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999 ซึ่งส่งผลให้ไฟฟ้าดับในบริเวณกว้างในกรุงบูเอโนสไอเรส เป็นเวลานานถึง 10 วัน (สถิติยาวนานที่สุดคือ 14 วันที่นิวซีแลนด์นะครับ) เศรษฐกิจพังยับเยิน มีการฟ้องร้องความเสียหายแก่บริษัทถึงกว่า 700 ล้านเหรียญ
และเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่มั่นใจของผู้คนเกี่ยวกับประสิทธิภาพการจัดการแก้ปัญหาของภาครัฐที่ดันเคยไปออกระเบียบกฎเกณฑ์ที่ทำให้ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือบริษัท Edesur ได้
และในปลายปี 2001 บทสรุปอย่างเป็นทางการก็เกิดขึ้นแก่อาร์เจนตินา ด้วยเหตุผล 3 ประการหลักคือ
หนึ่ง นโยบายการตรึงค่าเงินเปโซไว้กับเงินเหรียญสหรัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดค่าเงินเฟ้อที่ดำเนินมาประมาณ 10 ปี ได้ส่งผลในทางตรงข้าม เมื่อบราซิลที่ได้ประกาศลดค่าเงินรีล ลงตั้งแต่ปี 1999 ทำให้นักลงทุนทั้งหลาย ขนเงินออกจากอาร์เจนตินาข้ามพรมแดนไปลงทุนในบราซิลแทน
สอง หนี้สาธารณะของประเทศ ค้างจากสมัยรัฐบาลเมเนม ที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตากู้ทั้งจากแหล่งเงินกู้ในและนอกประเทศสูงขึ้น จนรัฐบาลต่อมาของ นายเดอ ลารัว ควบคุมไม่อยู่ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของประเทศสูงขึ้นเรื่อยๆ จนหลายบริษัทต้องปิดกิจการลง รวมถึงบริษัทผลิตไฟฟ้าส่วนเกินหลายแห่งด้วย
และ สาม ผลโดยตรงจากการแปรรูปในช่วงทศวรรษที่ 90 และการลดค่าเงินของบราซิล ส่งผลให้พนักงานจำนวนมากตกงาน ขาดรายได้ และลดการบริโภคของตนเองลง ทำให้ความต้องการไฟฟ้าของประชาชนที่ต่ำอยู่แล้ว ก็ยิ่งต่ำลงไปเรื่อยๆ และเมื่อโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าจำหน่ายน้อยลง (เพราะไม่รู้จะผลิตไปขายใคร) เท่าใด ต้นทุนต่อหน่วยผลิตจะสูงขึ้นเรื่อยๆ (ในทางกลับกัน หากยิ่งผลิตเต็มกำลังมากขึ้น จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำลง)
นั่นหมายถึงค่าไฟฟ้าที่จะต้องหวนกลับมาสูงขึ้นอีกรอบ และในคราวนี้ เป็นการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บรรดากิจการไฟฟ้าที่มีปริมาณมากเกินความเป็นจริงมาตั้งนานแล้วนั้น ก็หาทางแก้ที่ง่ายที่สุด คือการลดคนงานของตนลงอีก
ผลคือทุกอย่างก็มีแต่ความเลวร้ายลงในที่สุด
สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศอาร์เจนตินา ที่ได้นำมาเสนอนั้น เมื่อผู้อ่านพิจารณาให้ดีแล้วน่าจะพบว่า องค์ประกอบต่างๆ ทั้งสภาวะก่อน และขณะที่จะทำการแปรรูปไฟฟ้านั้น มีความแตกต่างจากสภาวะของไทยพอสมควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสภาวะเศรษฐกิจขณะก่อนจะแปรรูปนั้น ของทางอาร์เจนตินาซบเซามาก ในขณะที่ของเรานั้น รัฐบาลบอกเองว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังเติบโตด้วยดี (แต่ใครจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแท้แต่)
แต่สิ่งที่ตรงกันแน่นอนคือ ภาวะหนี้สาธารณะ และการมีแนวโน้มว่าจะขาดแคลนไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งในท้ายที่สุดหนี้สาธารณะนี้ได้วกกลับมาเล่นงานเสถียรภาพทางการเงินของอาร์เจนตินาอย่างรุนแรง ส่งผลให้จำนวนคนยากจนเพิ่มสูงกว่าประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศเลยทีเดียว สุดปัญญาของมาราโดน่าที่มาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไหว
สำหรับไทย ซึ่งมีความต้องการไฟฟ้าที่สูงกว่าอาร์เจนตินาเล็กน้อย ได้แต่ภาวนาว่าทางรัฐบาลเองคงได้ทำการศึกษาเรื่องนี้มาอย่างละเอียดเพียงพอแล้วก่อนที่จะตัดสินใจแปรรูปกิจการไฟฟ้า
และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปดำเนินการแปรรูปโดยเลียนแบบในแนวทางที่โลกได้รับรู้ว่ามันล้มเหลวมาแล้วมาเสี่ยงใช้ในประเทศไทยเลย
ยังไม่อยากจะร้องเพลง Cry for me, Thailand หรอก
http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0420160447&srcday=2004/04/16&search=no
จากคุณ :
ไปอ่าน นสพ. มา (northeas)
- [
19 เม.ย. 47 11:25:13
]
|
|
|