P2788211 ท่านคิดว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายในภาคใต้ ???? [การเมือง]

ความคิดเห็นที่ 27

---หน่วยข่าวจับตา ซี.ไอ.เอ.ตั้งหน่วยลับในภาคใต้---

หน่วยข่าวด้านความมั่นคงจับตาความเคลื่อนไหวของหน่วยงานลับที่ได้รับการสนับสนุนจากซีไอเอในภาคใต้ หวั่นอยู่เบื้องหลังสถานการณ์รุนแรงที่ยืดเยื้อมานาน เผยมีที่ตั้ง 5 จุดพร้อมแกนนำ ขณะที่รายงานของสถาบันเอกชนที่วิเคราะห์ความเสี่ยง ระบุไทยและสหรัฐร่วมมือกันตั้ง "ศูนย์ข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้าย" ที่ภาคใต้มากว่า 3 ปีแล้ว แต่ปิดเงียบ

มีรายงานจากหน่วยข่าวด้านความมั่นคงว่า ขณะนี้กำลังเร่งตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานลับหน่วยหนึ่ง ซึ่งทำงานร่วมและได้รับการสนับสนุนจากซีไอเอ โดยหน่วยงานนี้มีภารกิจหาข่าวเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และมีที่ตั้งอยู่ในภาคใต้ 5 แห่งคือที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 2 จุด อยู่ในตัวเมือง 1 จุด และใกล้กับหน่วยทหารหน่วยหนึ่งอีก 1 จุด นอกจากนี้ยังมีที่ จ.ปัตตานี ยะลา และ จ.นราธิวาส ซึ่งแต่ละแห่งจะมีแกนนำที่คอยหาข่าวและวิเคราะห์ข่าว พร้อมทั้งปฏิบัติการที่เอื้อประโยชน์ให้สหรัฐอเมริกา

รายงานข่าวระบุว่า ชาวมุสลิมในพื้นที่ต่างตั้งข้อสงสัยว่าเหตุรุนแรงในภาคใต้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานานกว่า 3 เดือน อาจจะเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่บางคนของหน่วยงานที่ว่านี้ ซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของหน่วยข่าวด้านความมั่นคงหน่วยหนึ่ง ซึ่งตั้งข้อสงสัยเช่นนั้นเหมือนกัน เนื่องจากพฤติกรรมหลายอย่างบ่งบอกว่า เป็นมืออาชีพ มีการตัดตอน และขีดความสามารถในการก่อกวนสูงมาก

"พฤติกรรมการก่อกวน โดยเฉพาะการฆ่ารายวัน มีการตัดตอนหลังจากว่าจ้างพวกนักเลงหัวไม้ให้ปฏิบัติการและการวางแผนที่น่าทึ่งมาก พวกนี้ไม่ใช่ระดับธรรมดาแน่นอน" เจ้าหน้าที่หน่วยการข่าวรายนี้ ระบุ

รายงานข่าวระบุด้วยว่า มีเหตุการณ์บางอย่างที่ส่อเค้าว่า เจ้าหน้าที่บางคนของหน่วยงานลับหน่วยนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับกองกำลังในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ มีการเชื่อมโยงกันโดยผ่านเจ้าหน้าที่บางคน ซึ่งขณะนี้ได้มีการตรวจสอบไปบ้างแล้วและอยู่ระหว่างการประเมินว่า ใครบ้างที่เกี่ยวข้องและเกี่ยวข้องมาก น้อยขนาดไหน ที่ทำไปนั้นเป็นงานในหน้าที่หรือเปล่า

"พวกนี้บางคนทำงานให้หน่วยการข่าวของสหรัฐ ได้ค่าจ้างเป็นเงินไม่ใช่น้อย คอยแจ้งข่าวหรืออำนวยความสะดวกให้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำงานแค่ด้านการข่าวให้หรือมีอย่างอื่นแอบแฝงมาด้วย" แหล่งข่าว ระบุ

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว สถาบันเอกชนที่ศึกษาด้านความมั่นคงและภัยคุกคามระหว่างประเทศ "เซ็นเตอร์ ฟอร์ สตราเตอร์จิค แอนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล สตาดี้" (ซีเอสไอเอส) ได้เสนอรายงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย โดยระบุว่า "รัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐได้จัดตั้งหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายลับสุดยอดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นการหันกลับมาร่วมมือกันรักษาความปลอดภัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้ง เหมือนเมื่อครั้งที่สหรัฐและไทยเคยผนึกกำลังกันต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเวียดนาม เมื่อกว่า 3 ทศวรรษที่แล้ว"

รายงานจากสถาบันดังกล่าว ระบุต่อไปว่า หน่วยงานดังกล่าว มีชื่อว่า "ศูนย์ข่าวกรองต่อต้านก่อการร้าย" (ซีทีไอซี) ซึ่งจะประสานงานโดยตรงกับเจ้าหน้าที่จากสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐ (ซีไอเอ) เพียงไม่กี่คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ของซีทีไอซี มาจากบุคลากรในหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย 3 หน่วยงาน โดยซีทีไอซีต้องพึ่งพิงความช่วยเหลือจากซีไอเอเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านเงินทุนหรือคำชี้แนะต่างๆ นอกจากนี้ทั้งสองหน่วยงาน ยังใช้เครื่องไม้เครื่องมือและสำนักงานรวมกัน รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลประจำวันกันด้วย

สถาบันซีเอสไอเอส ระบุด้วยว่า อย่างไรก็ดีหน่วยงานซีทีไอซีที่ตั้งขึ้นในไทย ไม่ค่อยเป็นที่เปิดเผยมากนัก แม้จะตั้งขึ้นมากกว่า 3 ปีก็ตาม โดยซีไอเอได้ผลักดันให้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2544 หรือก่อนเกิดเหตุวินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในนครนิวยอร์ก และอาคารกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ (เพนตากอน) โดยซีทีไอซีมีหน้าที่หลักในการจับตามองความเคลื่อนไหวต่างๆ ของกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งเชื่อว่าเป็นเครือข่ายของอัล-ไกดา ที่แฝงตัวอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยาห์ ที่มีฐานหลักอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย

รายงานจากสถาบันแห่งนี้ ระบุในตอนท้ายว่า ซีทีไอซีประสบความสำเร็จอย่างสูงในการตามจับตัวนายฮัมบาลี ผู้นำเครือข่ายอัล-ไกดาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เมื่อเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมส่งตัวให้ทางการสหรัฐควบคุมตัวและทำการสอบสวนด้วยตัวเองต่อไป แต่ทางรัฐบาลไทยไม่เคยเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้ว่ามีหน่วยงานนี้อยู่เลย

เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวความมั่นคงคนหนึ่งให้ความเห็นต่อกรณีนี้ว่า การข่าวกรองเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายที่ไม่ใช่ระดับสงครามนั้น เจ้าหน้าที่การข่าวของไทยล้วนได้รับการฝึกและศึกษามาจากอเมริกา เพราะฉะนั้นหากมีหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อประสานข้อมูลด้านการข่าว ก็ไม่ถือว่าผิดปกติแต่อย่างใด

"การหาข่าวเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการหาข่าวในสถานการณ์สงคราม เจ้าหน้าที่ของเราคุ้นกับการหาข่าวในสถานการณ์สงครามมากกว่า เมื่อเจอเหตุการณ์ก่อการร้ายก็ต้องปรับปรุง โดยมีการไปรับฟังคำบรรยายหรือสัมมนาจากเจ้าหน้าที่การข่าวของอเมริกาที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ซึ่งไม่เห็นจะแปลกตรงไหนที่เราจะไปเรียนรู้กับผู้ที่เชี่ยวชาญ และถ้าเขามาเป็นแกนในการหาข่าวให้ด้วยก็น่าจะมีผลดีต่อเราไม่ใช่หรือ" เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวรายนี้ ให้ความเห็น

สำนักข่าว : คม ชัด ลึด
ปล. เอามาจากเว็บๆ นึง ไม่ทราบว่าจริงเท็จเป็นเช่นไร
แต่เอามารวบรวมเป็นข้อมูลน่ะค่ะ

จากคุณ : acpo - [ 28 เม.ย. 47 23:16:45 ]