CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    โหวตไว้วางใจ - ไม่ไว้วางใจ นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กรณีข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว

      ไว้วางใจ (5 คน)
      ไม่ไว้วางใจ (109 คน)
      งดออกเสียง (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 114 คน

     4.39%
     95.61%
     0.00%


    ถีงประเด็นเด็ดแล้วครับ!!
    ข่อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว.................

    รัฐมนตรีท่านนี้ ประชาชนอย่างเราจะให้ความไว้วางใจหรือไม่ เกี่ยวกับกรณีข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว

    เชิญโหวตครับ!

    สรุปคำอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กรณีข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว

    โดย นายสนั่น สุธากุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสตูล พรรคประชาธิปัตย์


    ที่มาของปัญหาข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว

    เริ่มส่อเค้าตั้งแต่หลังการประกาศผลการสอบวัด ความรู้เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย เดือนตุลาคม 2546 โดย

    -มีความเคลื่อนไหวของผู้หญิงฐานะร่ำรวยคนหนึ่ง นักการเมืองหญิงคนหนึ่ง และครูสอนโรงเรียนกวดวิชาคนหนึ่ง เพื่อหาทางช่วยเหลือนักเรียนบางคนให้ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเป้าหมาย

    ต่อมานักการเมืองหญิงคนดังกล่าว ได้หารือกับข้าราชการระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการคนหนึ่งให้ร่วมหาทางช่วยเหลือด้วย

    หลังจากรับตำแหน่งได้ไม่กี่วัน นายอดิศัยฯ ได้มอบนโยบายแก่ นายวรเดช จันทรศร เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้ปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกเข้าเรียนสถาบันอุดมศึกษา

    และมอบหมายให้ศึกษา หาแนวทางเสนอนายอดิศัยฯ ภายใน 1 เดือน
    ต่อมานายวรเดชฯ ก็ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและเกิดปัญหาอื้อฉาว และครึกโครมตามมา

    ประเด็นที่อภิปรายไม่ไว้วางใจ

    ข้อ 1. การควบคุม กำกับ และติดตามนโยบายการสอบเอ็นทรานซ์ ไม่มีประสิทธิภาพจนนำไปสู่ปัญหาข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว

    - การที่นายอดิศัยฯ ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา โดยกำหนดค่า GPA เพิ่มเป็น ร้อยละ 25 และใช้ทันทีในปีการศึกษา 2547 โดยไม่ให้เวลาเตรียมตัวเข้าสู่ระบบใหม่สำหรับผู้เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมเป็นการดำเนินการแบบรีบร้อนและฉุกละหุก

    - นายวรเดชฯ ได้แต่งตั้งตนเองเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการสร้างข้อสอบฯ

    ซึ่งไม่เคยเปิดเผยคำสั่ง ไม่เคยมีการประชุม และไม่ปรากฏการปฏิบัติงานในขั้นตอนใด ๆ แต่น่าสังเกตว่าใช้อำนาจอะไรในการเปิดซองต้นฉบับข้อสอบวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษา

    -ระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อสอบในแต่ละขั้นตอนมีหลักปฏิบัติที่รัดกุมและยึดถือกันอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด

    แต่ นายอดิศัยฯ ปล่อยปละละเลยให้นายวรเดชฯ ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เปิดช่องให้ผู้ไม่มีหน้าที่ เกี่ยวข้องโดยตรงเข้าถึงตัวข้อสอบและเอกสาร การสอบอื่นได้ง่ายขึ้น เหมือนเป็นการ “ ปิดประตูแต่ถอดกลอนไว้ให้โจร”

    -นายอดิศัยฯ คอยโอบอุ้มและปกป้องนายวรเดชฯ จนเกินเหตุทั้งที่มีข้อพิรุธเกี่ยวกับการดำเนินการสอบเอ็นทรานซ์หลายกรณี

    ข้อ 2. นายอดิศัยฯ ใช้อำนาจที่ขัดขวางการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ [เกี่ยวกับปัญหาข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว โดยไม่นำพอต่อบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญ

    -นายอดิศัยฯ ไม่ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎรในการศึกษาปัญหาข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว โดยนับตั้งแต่เกิดปัญหาข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว

    -การปกป้อง หรืออุ้มนายวรเดชฯ จน เกินเหตุ ทั้งที่มีพฤติการณ์ที่สังคมเคลือบแคลงสงสัย


    ข้อ 3. การบริหารราชการแผ่นดินของนายอดิศัยฯ มีเงื่อนงำและเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับพวกพ้อง

    -พฤติการณ์นายอดิศัยฯ ที่ควบคุม กำกับ และติดตามนโยบายเกี่ยวกับการสอบเอ็นทรานซ์อย่างไร้ประสิทธิภาพ

    และการที่นายอดิศัยฯ ใช้อำนาจหน้าที่ขัดขวางการตรวจสอบของฝ่าย นิติบัญญัติ เกี่ยวกับปัญหาข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว โดยไม่นำพาต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ นอกจากแสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพและความไม่เคารพกฎหมายของนายอดิศัยฯ แล้ว ยังมีเงื่อนงำว่า จงใจเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับพวกพ้องด้วย

    ประเด็นบ่งชี้ที่สำคัญ ต่อไปนี้

    -คะแนนสอบวัดความรู้ของเด็กบางคนเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ

    จนมี การวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในวงการต่างๆ ว่าเพราะได้รับประโยชน์จากข้อสอบที่รั่วออกไป

    -ผลการทดสอบ CU-TEP ของเด็กคนเดียวกันจำนวน 4 ครั้งในวิชาภาษาอังกฤษ แต่ละครั้งคะแนนแทบจะไม่แตกต่างกันเลย

    แต่จาก ผลการสอบวัดความรู้ฯ ในประเด็นที่ 1 วิชาภาษาอังกฤษของเด็กคนดังกล่าวในครั้งหลังเพิ่มขึ้นจากครั้งแรก 84 – 64 = 20 คะแนน คิดเป็น 31%

    หากเป็นคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากความรู้ความสามารถของเด็กเองจริง ก็ไม่น่าจะมีอัตราการเพิ่มที่แตกต่างกันมากเช่นนี้

    ดังนั้นคะแนนที่เพิ่มขึ้น ถึง 31% ในการสอบวิชาภาษาอังกฤษครั้งที่ 2 จึงไม่น่าจะเป็นความรู้ความสามารถของเด็กจริงๆ น่าจะมาจาก ผลของของข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่วที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ มากกว่า

    -กรณีที่นิสิตคนหนึ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยวิธีที่ไม่เหมือนคนอื่น

    และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ว่า มีการใช้อำนาจทางการเมืองเข้าไปแทรกแซงและช่วยเหลือ เป็นการดำเนินการที่ผิดระเบียบ ข้อบังคับ และประเพณีปฏิบัติของมหาวิทยาลัยหลายประการ คือ

    1. สมัครเข้าเรียนในหลักสูตรภาคพิเศษ ที่ทางคณะทำการรับนิสิตเอง โดยทำการสอบข้อเขียนที่จัดขึ้นต่างหาก

    2. สมัครเข้าเรียนในสาขาวิชาที่กำหนดคุณสมบัติว่า ต้องจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่าในสาขาวิทยาศาสตร์ทั้งที่ผู้สมัครจบสายศิลป์คำนวณ

    3. เมื่อศึกษาเป็นเวลา 1 ปี ผลการเรียนเฉลี่ย ภาคเรียนที่ 1 และภาคเรียนที่ 2 เป็น 1.50 และ 1.58 ตามลำดับ

    แต่เมื่อขึ้นภาคเรียนที่ 1 ของปีที่ 2 ข้อมูลของเด็กคนนี้กลับถูกระบุในฝ่ายทะเบียนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ว่านิสิตโอนไปคณะสังคม โดยที่เลขรหัสประจำตัวนิสิตก็เปลี่ยนไป แต่ปีที่เข้าเรียนยังเหมือนเดิม

    ซึ่งนิสิตคนอื่นที่โอนคณะเช่นนี้ รหัสประจำตัวนิสิตจะต้องเหมือนเดิม

    4. การย้ายคณะจากระบบภาคพิเศษที่รับต่างหาก ไปเข้าเรียนในภาคปกติ ที่รับนิสิตจากการสอบแข่งขันกันกับเด็กทั่วประเทศในระบบเอ็นทรานซ์

    5. ในข้อบังคับว่าด้วยการศึกษาขั้นปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2521 ฉบับแก้ไขปรับปรุง กำหนดเกณฑ์ในการย้ายคณะ ข้อ 15.1.2 ระบุว่านิสิตที่มาเรียนในคณะเดิมแต่ผลการเรียนเฉลี่ยสะสมต่ำกว่า 2.00 ไม่มีสิทธิ์ย้ายคณะได้

    จากคุณ : ตกขอบ - [ 24 พ.ค. 47 15:27:34 ]