ความคิดเห็นที่ 1 เหมือนอ่านบทความชวนเชื่อของฝ่ายขวาจัดเลยแฮะ แต่ก็ไม่เป็นไร ต่างจิตต่างใจนะ เราอ่านแล้วก็ไม่คล้อยตามเท่านั้นเอง แต่ไม่อยากจะเขียนอะไรมากมาย ใครอยากจะเขียนก็ว่ามา จะรออ่าน แนะนำหนังสือดีกว่า อ่านจบแล้วจะได้โต้ตอบปัญญาชนฝ่ายขวาจัดอย่างคุณเอื้องอัยราวัณได้ http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/0393058506/qid=1093095390/sr=8-1/ref=pd_ka_1/002-0341073-0004840?v=glance&s=books&n=507846 จากคุณ : B.F.Pinkerton - [ 21 ส.ค. 47 21:01:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ่านกระทู้นี้แล้ว ใช่เลยนี่คือ....ราชดำเนิน.... จากคุณ : ชายสูงวัย - [ 22 ส.ค. 47 15:06:36 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณที่แตกประเด็นของเก่าอ่านไม่ไหวมันยาวมาก จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 23 ส.ค. 47 15:43:12 A:161.200.255.161 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คุณ B.F.Pinkerton เอ ไม่ทราบว่าสิ่งที่ดิฉันเขียนไปในกระทู้ที่แล้วมันเหมือนบทความชวนเชื่อตรงไหนคะ หรือมีแต่เดโมแครตและเสรีนิยมสุดโต่งเท่านั้นที่พูดแต่ความจริงมันไม่เอียงกระเท่เร่ไป หน่อยหรือคะคุณ B.F.Pinkerton ดิฉันเข้ามาแสดงความเห็นในห้องนี้ไม่ได้มีเป้าหมาย เพื่อให้คนอ่านคล้อยตามกับสิ่งที่ดิฉันเขียนดิฉันเพียงแต่ต้องการนำเสนอเรื่องราวอีกด้าน หนึ่งของเหรียญที่บางคนอาจไม่เคยพลิกดูเลยก็ได้ดิฉันเห็นบทความที่เขียนโดยพวกคอ ลัมนิสต์และนักวิชาการซ้ายจัดที่สิงอยู่ตามกระดาษเปื้อนหมึกมามากพอแล้วและดิฉันก็ เชื่อว่าไม่มีรัฐบาลใดจะดีหมดและเลวหมดสำหรับการเมืองในอเมริกาการทำงานของทุก รัฐบาลที่ผ่านมามีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งนั้นสำคัญอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกมองมุมไหน ส่วนใครจะเสนอข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากกว่ากันนั้นคงต้องอาศัยข้อมูลที่สามารถตรวจสอบ ได้บวกกับความคิดเห็นที่สมเหตุสมผลเป็นหลักค่ะ ว่าไปแล้วดิฉันก็มีหนังสือเล่มใหม่มาแนะนำคนในห้องนี้และคุณ B.F.Pinkerton นำไป พิจราณาค่ะถ้าหากสนใจอยากอ่าน A Matter of Character: Inside the White House of George W. Bush by Ronald Kessler คือหนังสือที่ดิฉันแนะนำให้อ่านค่ะอ่านแล้วจะได้เข้าใจการทำงานในตำแหน่งประธานา ธิบดีของสหรัฐอเมริกาและบุชมากขึ้นหลังจากที่มีแต่หนังสือจากฝ่ายลิเบอร์รัลที่เขียน โจมตีบุชออกมาวางแผงมากมายหนังสือเล่มนี้มีการสัมภาษณ์ทั้ง Karl Rove, Andy Card, Condi Rice, Al Gonzales และเพื่อนๆของบุชจากมหาวิทยาลัยเยลค่ะ ซึ่ง Kessler , New York Times bestselling author อดีตนักข่าวของ Wall Street Journal ผู้ประพันธ์ หนังสือเล่มนี้นั้นได้เขียนหนังสือ non-fiction ที่เป็น bestseller หลายเล่มค่ะรวมไปถึง Inside the CIA และ The Bureau ด้วยว่างจากการเรียนทีไรดิฉันเป็นต้องหยิบขึ้น มาอ่านทุกครั้งเลยค่ะ ฮิฮิ ถ้าดิฉันจำไม่ผิดนี่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี2000นั้น Kessler ยังลงคะแนนเสียง ให้กับอัล กอร์ด้วยแต่มาปีนี้เค้าบอกว่าตั้งแต่เกิด9-11และเห็นความมุ่งมั่นในการทำงาน ความเป็นผู้นำของบุชแล้ว Political Leaning ของเค้าอาจต้องเปลี่ยนไปค่ะสำหรับการ เลือกตั้งประธานาธิบดีปี2004 ที่จะมาถึงนี้ นี่เป็นหน้าปกหนังสือเล่มที่แนะนำให้อ่านค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 27 ส.ค. 47 00:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ยังมีทฤษฎีสมคบคิดที่ต้องตรวจสอบอีกมากมายค่ะตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือมีบทความ ของนักวิจารณ์หลายท่านที่กล่าวหาว่า Wolfowitz วางแผนการบุกอิรักเพื่อ save Israel โดยนำ เรื่องน้องสาวของ Wolfee ซึ่งเป็นนักชีววิทยาที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลนี้มาเสริมความน่าเชื่อถือ ทฤษฎี 'Zionist conspiracy' ว่าเป็นแรงดลใจที่ทำให้ Wolfee สนับสนุนการบุกอิรัก ดิฉันอ่าน แล้วรู้สึกตาหลกค่ะเพราะน้องสาวของ Wolfeeนั้นหัวเสรีนิยมตัวยงเลยแหละและมักจะวิจารณ์ พี่ชายของเธอและ เอริค ชาโรนอยู่เสมอๆ จริงๆแล้วผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่อมุมมองการสร้างระบอบ ประชาธิปไตยในอิรักของ Wolfee นั้นไม่ใช่ใครอื่นค่ะแฟนสาวชาวอาหรับที่เติบโตในซาอุดิ อาระเบียของ Wolfee นั่นเองซึ่งเธอเป็นนักสิทธิสตรีตัวยงเลยล่ะค่ะเธอทำงานเพื่อส่งเสริมสิทธิ สตรีในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือชีวิตในวัยเด็กของเธอเมื่อตอนยังอยู่ที่ซาอุฯนั้นเจ็บ ปวดมาก ชาห์ฮาเองนั้นก่อนหน้านี้เธอทำงานให้กับ Iraq Foundation พยายามผลักดันในเรื่องประชาธิป ไตยและสิทธิมนุษยชนในอิรักหลังสงครามอ่าวครั้งที่หนึ่งและก่อตั้ง Middle East programme ขึ้นที่ National Endowment for Democracy(NED) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรถูกก่อตั้ง ขึ้นในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนเมื่อปี 1983เรื่องที่มีการกล่าวขานกันอย่างหนาหูว่ากลุ่ม neo-consที่มี Wolfowitzเป็นหนึ่งในสมาชิกในการวางแผนโค่นล้มซัดดัมนั้นจริงๆแล้วไม่ใช่เรื่อง ลับแต่อย่างใดหลังจากซัดดัมแสดงให้เห็นถึงความต้องการขยายอำนาจของเค้าทั่วทั้งภูมิภาคตะ วันออกกลาง และเมื่อครั้งสงครามอ่าวครั้งแรกที่อเมริกาไม่ยอมโค่นล้ม Saddam's Regime นั้นไม่ใช่เป็นเพราะ Bush senior คัดค้านหรือไม่เห็นด้วยอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจหรอกค่ะถึง แม้ตอนนั้นดิฉันจะยังเรียนอยู่แค่ Grade 7 แต่ก็ยังพอจำได้ว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยในการโค่นบัลลังก์ ซัดดัมในครั้งนั้นก็คือพลเอก Colin Powell และนายทหารชั้นนำหลายคนนั่นเองด้วยเกรงว่าจะ ไปเติมเชื้อไฟให้โลกอาหรับไม่พอใจอเมริกามากขึ้นแต่เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตแล้วทำให้ อเมริกาได้ตระหนักแล้วว่าไม่ว่าอเมริกาจะทำอะไรก็ตามโลกอาหรับนั้นพร้อมที่จะเกลียดอเมริกา เสมอ เหตุการณ์ 9-11และระเบิดสถานกงศุลในแอฟริกาเป็นการพิสูจน์คำตอบได้เป็นอย่างดีการ ที่อเมริกาไม่เข้าไปช่วยกลุ่มเคริดเมื่อครั้งซัดดัมใช้อาวุธเคมีฆาตรกรรมหมู่ที่ Halabja โลกอาหรับ ก็กล่าวหาว่าอเมริกาหักหลังชาวเคริ์ดประชาคมโลกกล่าวหาว่าอเมริกาไม่มีผลประโยชน์ไม่ยอม เข้าไปแต่เมื่อครั้นอเมริกาเข้าไปโค่นล้มซัดดัมโลกอาหรับ/มุสลิมและประชาคมโลกก็กล่าวหา ว่าอเมริกาเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากบ่อน้ำมันในอิรักอีกสรุปคือ Regardless of what the Americans do, they are damned if they do and damned if they don't. จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 27 ส.ค. 47 01:26:28 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เดี๋ยวมาเขียนต่อค่ะขอไปดูถ่ายทอดดกีฬาโอลิมปิกส์ก่อนนะคะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 27 ส.ค. 47 02:53:33 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ซึ่งก็เหมือนกับแฟนสาวชาวอาหรับของเค้าพอลและชาห์ฮา มีแนวความคิดเรื่องประชาธิปไตย ที่เรียกว่าถอดด้ามมาเหมือนกันเลยก็ว่าได้ในสมัยที่พอลยังเป็นเด็กนั้นพ่อของเค้าเป็นนักคณิต ศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากในโปแลนด์และครอบครัวของเค้าก็ย้ายมาตั้งรกรากที่อเมริกาก่อนสงคราม โลกครั้งที่2จะเริ่มขึ้นได้ไม่กี่สิบปีพอลสูญเสียญาติพี่น้องทั้งหมดในการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว (the Holocaust)ในสมัยที่นาซียังเรืองอำนาจซึ่งก็เหมือนกับชาวยิวทุกๆหนึ่งในห้าคนที่ต้องสูญ เสียพ่อแม่และญาติพี่น้องในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง.. ในความเป็นจริงแล้วนั้นกลุ่ม neo-consไม่ได้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของบุชเลยสำหรับสงคราม บุกอิรักในครั้งนี้..ประธานาธิบดีบุชรับฟังคำแนะนำและศึกษาข้อมูลจากที่ปรึกษาและผู้ที่อยู่รอบ ตัวท่านทุกคนแต่ผู้ที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายก็คือตัวท่านเองค่ะ สิ่งที่ทำให้บุชตัดสิน ใจในการบุกอิรักเพื่อโค่นล้มซัดดัมในครั้งนี้ก็คือเหตุการณ์9-11และตัวบุชเองค่ะ ถูกต้องที่บอก ว่าทั้งประธานาธิบดีบุชและกลุ่ม neo-cons เห็นพ้องต้องกันว่าซัดดัมเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพโลก แต่ต้องไม่ลืมด้วยนะคะว่า ‘correlation’นั้นไม่ได้หมายถึง ‘causation’ และที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่า รัฐบาลจะเป็นเดโมแครตหรือรีพับลิกันต่างก็มองเหมือนกันว่าซัดดัมนั้นคือภัยคุกคามต่อความมั่น คงของอเมริกาและนั่นทำไมนโยบาย regime change in Iraq ถึงถูกร่างเป็นตัวบทกฎหมายภายใต้ ชื่อว่า ‘Iraq Liberation Act’ และถูกลงนามเห็นชอบด้วยในสมัยคลินตันนั่นเอง จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 27 ส.ค. 47 03:55:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 และมีอีกทฤษฎีสมคบคิดอันหนึ่งที่กล่าวหาว่า CIA เป็นคนสร้างบิน ลาเดนและอัลไคด้าขึ้นมา จริงๆแล้วเมื่อตอนที่โซเวียตบุกอัฟกานิสถานในปี1979 นั้นรัฐบาลอเมริกาี่ี่ที่สนับสนุนชาวอาฟ กันต่อสู้กับโซเีวียตคอมมิวนิสต์ก็คืออเมริกาภายใต้จิมมี่ คาร์เตอร์นั่นเอง ดังที่ Zbigiew Brzezinski , national security adviser ในสมัยคาร์เตอร์กล่าวอย่างสั้นๆได้ใจความในครั้งนั้นว่า “ to finally sow shit in their backyard ” อเมริกาได้สนับสนุนการต่อสู้ของชาวafghanในการต่อสู้กับโซ เวียตโดยการให้ความช่วยเหลือทางด้านอาวุธแก่ชาวอาฟกันและเมื่อมองจากมุมมองในเชิงยุทธ ศาสตร์แล้วถือว่า strategy นี้ประสพผลสำเร็จอย่างงดงามทีเดียว และอีกสิบปีต่อมาให้หลังกอง ทัพของโซเวียตจึงได้ถอนกองกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานในสมัยโรนัลด์ เรแกน.. แล้วCIA กับอาฟกันอาหรับ (ไม่ใช่ชาวอาฟกัน) ล่ะทำงานด้วยกันหรือเปล่า? มีสื่อมากมายหลายแหล่งข่าวค่ะโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ The Guardian ของอังกฤษกล่าวหาว่า CIA ช่วยบิน ลาเดนในการสร้างแคมป์ใต้ดินที่ Khost ในอาฟกานิสถานเมื่อปี1986ซึ่งในตอนนั้น กำลังอยู่ในยุค the revolutionary art of Jihad บิน ลาเดนได้ทำการเกณฑ์และฝึกยุวชนมุสลิม จากทั่วทั้งโลกมุสลิมเพื่อต่อสู้กับกองทัพของโซเวียตซึ่งคำกล่าวอ้างในเรื่องที่บอกว่า CIA ช่วย บิน ลาเดนในการสร้างแคมป์นั้นไม่มีมูลความจริงเลยค่ะเพราะ ประการที่หนึ่ง ตั้งแต่ีปี1982โอซามาบินลาเดนได้สนับสนุนจุดยืนในการต่อต้านอเมริกา(anti-american) ของเค้าเองอย่างชัดเจนและเรื่องนี้ก็ได้รับคำยืนยันจาก Robert Fisk นักข่าวชาวอังกฤษฝ่าย ซ้ายของหนังสือพิมพ์ The Independent ที่ต่อต้านอเมริกาตัวยงเช่นเดียวกันค่ะว่าบินลาเดน ไม่มีทางที่จะทำงานร่วมกับ CIA เพราะอะไรทราบรึเปล่าคะ? เพราะในปี 1982 นั้นอิสราเอล บุกเลบานอนเพื่อไปทำลายค่ายก่อการร้ายของอาราฟัตที่อยู่ทางตอนใต้ของเลบานอนค่ายนี้ ใช้เป็นฐานที่มั่นในการลอบโจมตีทางหลวงสาย Haifa-Tel Aviv และชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเขต Galilee อย่างต่อเนื่องตลอดมามีชาวยิวเสียชีวิตมากมายแต่ไม่มีสื่อในยุโรปหรือสื่อบางสำนัก ในอเมริกาพูดถึงเลยประชาคมโลกจึงมองเห็นแต่ว่าอิสราเอลเป็นฝ่ายกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว อเมริกาเองก็กดดันไม่ให้อิสราเอลบุกเลบานอนตั้งแต่ปี1978แล้วแต่ในที่สุดอิสราเอลก็ไม่ ยอมเป็นฝ่ายถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวเมื่อทูตอิสราเอลประจำัประเทศอังกฤษถูกลอบสังหารโดย Abu Nidal อิสราเอลจึงได้ส่งกองทัพบุกเลบานอนเพื่อกวาดล้างฐานที่มั่นของยัตเซอร์ อาราฟัต และAbu Nidal คนนี้นี่เองที่ซัดดัมให้ความช่วยเหลือกบดานอยู่ในอิรักซึ่งต่อมาถูกสังหารโดย คนของซัดดัมในข้อหาทรยศในการวางแผนเพื่อโค่นล้มซัดดัม Abu Nidal หัวหน้ากลุ่มก่อการ ร้ายชาวปาเลสไตน์นั้นเป็นหัวหน้าองค์กร Abu Nidal Organization(ANO)ที่ปฏิบัติการการก่อ การร้ายทั่วโลกใน20 ประเทศเป้าหมายของ Nidal นั้นไม่ใช่เฉพาะอเมริกาและพันธมิตรเท่า นั้นแต่ยังรวมไปถึงพวกอาหรับสายกลางด้วย ANO นั้นได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากอิรัก และทำงานร่วมกันกับซัดดัมในช่วงปลายปี 1970s และต้นปี1980s ก่อกรรมทำเข็ญกับคนบริสุทธิ์ มาหลายชีวิตไม่ว่าจะเป็นปล้นเครื่องบิน โจมตีผู้โดยสารในท่าอากาศยานในหลายๆประเทศ กลุ่มก่อการร้ายANOนั้นถือได้ว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่อันตรายที่สุดในยุคสามสิบปีที่ผ่านมา จนกระทั่งมาถึงยุคกำเนิด Al-Qaeda ของ Osama bin Laden นั่นเองที่เข้ามาแทนที่ อีกคนหนึ่งที่ซัดดัมให้ความช่วยเหลือในการหลบซ่อนก็คือ Abu Abbas ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม Palestinian Liberation Front Abu Abbas คนนี้นี่เองที่กองกำลังทหารสหรัฐบุกเข้าไปจับได้ที่ บ้านพักของเค้าในกรุงแบกแดดในสงครามอิรักครั้งนี้และก็เป็นซัดดัมนี่เองค่ะที่ให้ที่พักพิง อย่างดีกับ Abu Abbas หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ ทำไมโอซามา บิน ลาเดนถึง กล่าวว่าเค้าไม่มีทางร่วมมือกับอเมริกาและอเมริกาคือเป้าหมายถัดไปของเค้าก็เพราะว่าโอซามา บิน ลาเดนนั้นไม่ได้มองว่าอเมริกาคือ อเมริกาไงคะแต่บินลาเดนและผู้นำในโลกอาหรับทั้ง หลายนั้นมองว่า อเมริกา คือ ‘Zionist Entity’ ดังนั้นไม่มีทางที่เค้าจะร่วมมือกับCIA เพื่อทำ ร้ายพี่น้องชาวมุสลิมด้วยกันหรือแม้แต่รัฐบาลอิรักชุดปัจจุบันภายใต้การนำของอัลลาวียังให้ สัมภาษณ์ว่าอิรักยังไม่มีแผนที่ดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างปกติกับอิสราเอลแต่จะ พิจราณาการชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวอิรักเชื้อสายยิวที่ถูกซัดดัมริบทรัพย์สินและถูกขับไล่ ออกจากอิรักหลายครัวเรือนเมื่อครั้งสงครามอ่าวครั้งที่หนึ่ง ประการที่สอง โอซามา บิน ลาเดนนั้นเค้าเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้วธุรกิจของตระ กูลบินลาเดนนั้นเป็นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ในประเทศซาอุฯดังนั้นไม่มีความจำเป็น ที่เค้าจะต้องรับเงินช่วยเหลือจากจากซีไอเอในการสร้างแคมป์สำหรับเป็นที่ฝึกฝนเหล่านักรบ มูจาฮีดีนทั้งหลายและในความเป็นจริงแล้วแคมป์ใต้ดินที่ถูกสร้างขึ้นที่ Khost ในอาฟกานิส ถานนั้นถูกสร้างโดยผู้บังคับบัญชาชาวอาฟกันคนหนึ่งและด้วยเงินสนับสนุนจากพวกอาหรับ ประการที่สาม มีการกล่าวหาว่าCIAให้การสนับสนุนด้านการเงินกับชาวAfghan Arabsใน Afghan war จริงๆแล้วเรื่องนี้มีการให้เงินสนับสนุนจริงค่ะแต่เป็นการให้เงินสนับสนุนหน่วย ข่าวกรองของปากีสถาน(ISI) ไม่ใช่ให้กับAfghan Arabs. ทีนี้ก็เป็นเรื่องของ ISI เองแล้ว ล่ะค่ะว่าจะให้การสนับสนุนทางด้านอาุวุธและเงินให้กับ Afghan ก๊กไหนแน่นอนค่ะ ISI นั้น ก็ต้องให้เงินสนับสนุนฝ่าย pro-pakistan อยู่แล้วแต่เนื่องเพราะว่า Afghan Arabs นั้นได้ ต่อสู้กับกองทัพของโซเวียตเคียงข้างกับชาวAfghan ที่pro-pakistan ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเป็น ที่มาของข้อกล่าวหาที่ว่าอัลไคด้าเป็นผลผลิตของ CIAนั่นเอง ประการที่สี่ CIAไม่จำเป็นต้องไปเกณฑ์ชาวอาหรับในช่วงสงครามอาฟกันอย่างที่นักโฆษณา ชวนเชื่อในคราบของนักวิชาการทั้งหลายกล่าวหาเลยค่ะไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเพราะ มีชาวอาฟกันหลายพันคนเต็มใจเสียยิ่งกว่าเต็มใจในการต่อสู้กับกองทัพของโซเวียตในขณะที่ นักรบชาวอาหรับเข้ามาในอัฟกานิสถานพร้อมกับการทำจีฮัดและเข้ามาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ใช่ เพื่อต่อสู้กับโซเวียตเพียงอย่างเดียวแต่เพื่อต้องการเปลี่ยนประเทศอาฟกานิสถานเป็น ultra-purist version of Islamและนี่เป็นต้นกำเนิดของรัฐบาลตาลีบันนั่นเอง นักรบชาวอัฟกันเหล่านั้นพอใจ กับเงินช่วยเหลือที่หลั่งไหลมาจากประเทศในอ่าวเปอร์เซียแต่พวกเค้าก็ไม่นิยมกับทัศนคติที่นัก รบชาวอาหรับเหล่านั้นเชิดชูคนอาหรับเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อาฟกันพื้นเมือง บินลาเดนและกลุ่มอัลไคด้าก่อกำเนิดขึ้นจากแนวความคิดอุดมคติในด้านลัทธิขยายอาณาเขต ของอิสลาม เกิดจากแรงจูงใจทางศาสนาที่ต้องการพิชิตพวกที่ไม่เชื่อให้มาอยู่ภายใต้กฎหมาย เดียวกัน คือ Sharia Koranic law ใช้สงครามเปลี่ยนแปลงโดยการทำจีฮัดนั่นเอง ดังนั้นในปัจจุ บันอเมริกาจึงต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มก่อการร้ายที่มีแนวทางรุนแรงเช่นนี้ซึ่งต่างไปจากลัทธิคอม มิวนิสต์มากการแก้ปัญหาความยากจนจึงมิใช่หนทางในการแก้ปัญหาการก่อการร้ายที่ตรงจุด เพราะมีรายงานวิจัยออกมาแล้วว่าผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีการศึกษาและมาจากครอบ ครัวที่มีฐานะปานกลางถึงร่ำรวยดังเช่น19 Hijackers และโอซามาบินลาเดนเป็นต้น จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 27 ส.ค. 47 07:55:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอตัวไปหม่ำข้าวก่อนนะคะเดี๋ยวมาเขียนต่อค่ะ :^) จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 27 ส.ค. 47 09:31:27 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอตอบคุณตอมในเรื่องน้ำมันต่อจากกระทู้ที่แล้วนะคะในความเห็นที่183ของคุณตอม ที่กล่าวไว้ว่า “ ผมกำลังจะบอกว่าการเข้าไปสยบกรรมใจกลางสูญกลางทางพลังงานโลก(ตอนนี้ใคร จะเถียงว่าไม่ใช่ตะวันออกกลาง) นั้นเป็นการกุมหลายๆยุทธศาสตร์ และงพลังงานคือ โจทย์ใหญ่ไม่งั้นสถานการณ์พลังงานโลกไม่ป่วนขนาดนี้หรอก(ผมวัดที่ผล)คือตะวัน ออกกลางออกมาตั้งกำแพงด้วยต้นกรรมจากอเมริกาคือการโยงไปถึงเหตุผลที่ว่าอเมริกา หื่นกับผลประโยชน์น้ำมันเพราะที่นี่คือความเป็นจริงเป็นสิ่งที่เห็นจริงกับข้อมูลทาง พลังงาน” ดิฉันขอทบทวนตรงนี้นิดนึงค่ะว่านับตั้งแต่เกิด oil shockในปี1973 อันเนื่องมาจากสง ครามความขัดแย้งระหว่างอาหรับ-อิสราเอลกลุ่มโลกอาหรับจึงใช้น้ำมันเป็นอาวุธ (imposed the 1973 oil embargo)เพื่อกดดันอเมริกา กลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกและ ญี่ปุ่นให้ยุติการสนับสนุนอิสราเอลจนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจากระดับประมาณ 2.50 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรลไปเป็น10 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรลและพุ่ง สูงขึ้นแบบติดเพดานในตลาดซื้อขายทันที(spot market) ในราคา 40 เหรียญดอลล่าร์ สหรัฐทำให้กลุ่มประเทศอาหรับร่ำรวยไปเพียงชั่วข้ามคืนรวมไปถึงบริษัทน้ำมันด้วย (enjoyed astronomical price) นับตั้งแต่นั้นมาจึงทำให้แคนาดากลายเป็น the biggest Supplierให้กับอเมริกาไปโดยปริยายค่ะดังนั้นดิฉันขอแบ่งประเด็นเรื่องน้ำมันออก เป็นสามหัวข้อใหญ่ๆละกันคือ 1. ทำไม Canadian Oil Sands ถึงได้กลายมาเป็นแหล่งทรัพยากรพลังงาน ในเชิงยุทธศาสตร์สำหรับทวีปอเมริกาเหนือ 2. สงครามอิรักเป็นสงครามเพื่อยึดบ่อน้ำมันจริงหรือ? 3. การประเมินอิทธิพลของ Arab oil ที่สูงเกินจริง เริ่มจากหัวข้อแรกก่อนคือ 1. Canadian Oil Sands ถ้าคุณตอมเคยเล่นที่ห้องราชดำเนินนี้มาตลอดจะเห็นว่าตั้งแต่ก่อนสงครามอิรักยังไม่ เริ่มนั้นดิฉันเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเชื่อใน "war for oil" theory เนื่องจากเมื่อพิจราณาใน ด้านเศรษฐศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์(geopolitics)แล้วมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย และเป็นความเข้าใจผิดมาโดยตลอดเรื่องการบริโภคน้ำมันที่คิดว่าซาอุดิ อาระเบียเป็น ผู้ขายน้ำมันรายใหญ่สุดให้อเมริกา ปริมาณการนำเข้าน้ำมันของอเมริกาเมื่อคิดเป็นต่อ วันแล้วนั้นอเมริกานำเข้าน้ำมันจากซาอุฯน้อยกว่าปริมาณการนำเข้าน้ำมันจากแคนาดา มากเมื่อเปรียบเทียบแล้ว หลังเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันเมื่อช่วงปี1970sซึ่งส่งผลทำให้เกิด เศรษฐกิจของโลกตกต่ำตามมาในตอนนั้น..และดิฉันขอกล่าวว่าไอเดียที่ยังครอบงำ ความคิดของคนบางกลุ่มที่ยังคิดว่าซาอุฯเป็น energy supplier ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดมากค่ะ มันไม่ยากหรอกถ้าหากจะมีนักวิเคราะห์สักคนวิเคราะห์ สาเหตุว่าทำไมการบริโภคน้ำมันของอเมริกาต้องขึ้นอยู่กับ Saudi oil นักวิเคราะห์ผู้ชำ นาญการทั้งหลายเหล่านั้นก็มักจะเติมแต่งเหตุผลว่าเนื่องจากแนวโน้มการบริโภคน้ำมัน ของอเมริกาขึ้นอยู่กับการนำเข้าน้ำมันที่ผลิตจากอ่าวเปอร์เซียมากขึ้นทุกปีๆต่อเนื่องกัน ดังนั้นการตรึงกองกำลังทหารไว้และการสร้างฐานทัพอเมริกันในซาุอุฯก็คือปกป้องบ่อ น้ำมันแม้จะต้องเสี่ยงกับความขัดแย้งที่อาจขยายตัวเป็นวงกว้างออกไป นี่คือมุมมอง ด้านเดียวของผู้เขียนที่พยายามชี้นำให้ผู้อ่านเห็นว่าอเมริกากำลังทำตัวเป็นจักรวรรดินิยม ซึ่งหาอ่านได้ดาษดื่นตามแหล่งข่าว บทความหรือหนังสือของพวกนักวิชาการหัวเสรีนิยม สุดโต่งที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไปและก็มักจะได้รับความนิยมซะด้วยสิ แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วผู้ที่จะต้องพึ่งพิงน้ำมันจากตะวันออกกลางมากขึ้นทุกวัน จริงๆนั้นคือยุโรปและเอเชียค่ะโดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดียซึ่งกำลังมีการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ยุโรปเองนั้นความต้องการนำเข้าน้ำมันจาก ตะวันออกกลางก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นหากปริมาณน้ำมันสำรองในทะเลเหนือลดลง อย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันนี้มีการประเมิณว่าการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใน แถบทะเลเหนือจะลดลงจนกระทั่งหมดไปในที่สุดภายใน40-50ปี ข้างหน้า.. แน่นอนว่าอเมริกานั้นให้ความสนใจในความมีสเถียรภาพในอ่าวเปอร์เซียแต่นั่นไม่ได้ หมายความว่าเศรษฐกิจทั้งหมดของอเมริกาจะต้องไปผูกติดอยู่กับน้ำมันจากตะวันออก กลางเพียงอย่างเดียวจนเป็นสาเหตุให้อเมริกาต้องบุกอิรัคเพื่อยึดทรัพยากรน้ำมันและ ต้องการมีกองกำลังทหารประจำในซาอุ..โดยดิฉันขอทบทวนความทรงจำตรงนี้หน่อย นะคะว่าการที่อเมริกาเข้าไปตั้งฐานทัพในซาอุนั้นก็เพราะได้รับการร้องขอจากกษัตริย์ ซาอุฯเพราะในตอนนั้นกษัตริย์ซาอุฯกลัวว่าซัดดัมจะบุกยึดซาอุเป็นรายต่อไปหลังจาก ที่บุกยึดคูเวตได้ การกล่าวหาว่าอเมริกาหาเรื่องบุกอิรักเพราะอยากได้บ่อน้ำมันนั้นเป็น การกล่าวหาที่ตื้นเขินที่สุดค่ะ อย่างที่ดิฉันได้พูดไปแล้วว่าหนึ่งในจุดประสงค์ของสง ครามอิรักในครั้งนี้ก็เพื่อรักษาความมีสเถียรภาพในตะวันออกกลางเพราะความมีสเถียร ภาพในตะวันออกกลางมันมีความหมายไปถึงการรักษาสเถียรภาพทางเศรษฐกิจของ โลกเอาไว้ไม่ให้เกิดสภาวะถดถอยด้วย- - ME stability means stable world economy - flow of oil and other commerce เพราะถ้าหากเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่าง รุนแรงขึ้นเหมือนในอดีตประเทศที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนักก็คือกลุ่มประเทศที่กำลัง พัฒนาแบบไทยและกลุ่มประเทศในโลกที่สามนั่นเองค่ะ จากคุณ : jess - [ 28 ส.ค. 47 03:56:23 A:64.19.80.100 X: TicketID:032370 ]

ความคิดเห็นที่ 11 I'll be right back... จากคุณ : jess - [ 28 ส.ค. 47 04:01:58 A:64.19.80.100 X: TicketID:032370 ]

ความคิดเห็นที่ 12 กระทู้นี้ยาวจัง อ่านตั้งนาน .... ผมก็เคยชอบ บุชครับ แต่ตอนนี้ ไม่ชอบแล้ว เคยบอกกับตัวเองเหมือนกันตอนอเมริกาบุกอิรักใหม่ๆ ถ้าเจอ WMD จะยังเชียร์บุชอยู่ แต่ตอนนี้เลิกเชียร์แล้วครับ ไม่ใช่ว่าบุชไม่ดี แต่เขาทำประเทศชาติเสียหาย ทำให้คนตายเป็นจำนวนมาก และไม่เจอ WMD ดีที่เขากำจัดซัดดำไปได้ แต่คนดีๆ ที่ไม่รู้อิโน่อิเหน่ต้องตายเป็นจำนวนมาก ไม่คุ้มครับ แถมยังไม่ยอมรับว่านโยบายผิดพลาดอีก ... คราวหน้าไม่มีประธานาฯ ที่ชือบุชแน่นอน... สรุปแล้ว.. เห็นด้วยกะคุณกุลธิดาเกือบทุกประเดนครับ ยกเว้นเรืองหนัง ของ มัวร์ ผมว่าเขาเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว ... สื่อที่ดีต้องนำเสนอทั้งดีและร้าย แต่นี่เล่นเสนอ ร้ายหมดเลย .. ค่อนข้างจะลำเอียง ... แต่เขาก็หอบเงินเข้ากระเป๋าตุงไปเลย ... จากคุณ : หิ่งห้อย - [ 28 ส.ค. 47 10:11:17 A:69.107.112.41 X: TicketID:071463 ]

ความคิดเห็นที่ 13 (และมีอีกทฤษฎีสมคบคิดอันหนึ่งที่กล่าวหาว่า CIA เป็นคนสร้างบิน ลาเดนและอัลไคด้าขึ้นมา จริงๆแล้วเมื่อตอนที่โซเวียตบุกอัฟกานิสถานในปี1979) อันนี้ไม่ใช้ทฤษฎีสบคบคิดหรอกแต่เป็นความจริงที่ ทั้งกลุ่มอัลกออิดะห์และสหรัฐเองไม่อยากจะยอมรับ ต่างหากเพราะเป็นความจริงที่ทำลายความชอบธรรม ของทั้ง ๒ ฝ่าย บินลาเดนจำเป็นต้องอาศัย CIA ใน ช่วงแรกเพื่อเป็นสะพานไปสู่การตั้งขบวนการมุสลิม หัวรุนแรงเพราะในยุคนั้นสหรัฐมองว่าลัทธิคอมฯ เป็นภัยคุกคามมากกว่าลัทธิอิสลามสุดโต่ง ส่วน สหรัฐก็แค่ส่งเงินให้พวกต่อต้านโซเวียตในอัฟกัน ไม่ต้องลงมือเอง เขาเรียกว่านำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าไง เมื่อโซเวียตพ่ายแพ้ไปก็เริ่มหันมาเล่นงานกันเอง ตามอุดมการณ์ของตนโดยบินลาเดนเริ่มก่อน จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ส.ค. 47 16:15:02 A:161.200.255.161 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 14 (ตั้งแต่ีปี1982โอซามาบินลาเดนได้สนับสนุนจุดยืนในการ ต่อต้านอเมริกา(anti-american)ของเค้าเองอย่างชัดเจน) คำพูดกับการกระทำบางครั้งมันก็สวนทางกัน คุณเอื้องฯ เชื่อคำพูดของคนอย่างบิน ลาเดนด้วยหรือ (และเรื่องนี้ก็ได้รับคำยืนยันจาก Robert Fisk นักข่าวชาวอังกฤษฝ่ายซ้ายของหนังสือพิมพ์ The Independent ที่ต่อต้านอเมริกาตัวยงเช่นเดียวกันค่ะว่าบินลาเดน ไม่มีทางที่จะทำงานร่วมกับ CIA เพราะอะไรทราบรึเปล่าคะ?) คุณเอื้องเชื่อคำพูดของอีตา Fisk ด้วยหรือ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ส.ค. 47 16:19:05 A:161.200.255.161 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 15 (แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วผู้ที่จะต้องพึ่งพิงน้ำมันจาก ตะวันออกกลางมากขึ้นทุกวัน จริงๆนั้นคือยุโรปและเอเชียค่ะโดยเฉพาะประเทศจีน และอินเดียซึ่งกำลังมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงเพิ่มขึ้น เรื่อยๆในขณะที่ยุโรปเองนั้นความต้องการนำเข้าน้ำมันจาก ตะวันออกกลางก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นหากปริมาณน้ำมัน สำรองในทะเลเหนือลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันนี้มี การประเมิณว่าการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใน แถบทะเลเหนือจะลดลงจนกระทั่งหมดไปในที่สุดภายใน 40-50ปี ข้างหน้า..) อันนี้คือข้อเท็จจริง ญี่ปุ่นกับจีนกำลังตั้งหน้าตั้งตาดูด น้ำมันจากตะวันออกกลาง สหรัฐต้องการรักษาเสถียร ภาพราคาน้ำมันในตลาดโลกเท่านั้นจึงจำเป็นต้องใช้ แหล่งน้ำมันในอิรักมาคานกับซาอุฯ การสร้างประชา ธิปไตยในอิรักเพื่อกดดันให้เผด็จการในตะวันออก กลางเป็นประชาธิปไตยเพื่อจะได้ลดผู้ก่อการร้ายลง แต่ว่าการบุกอิรักถือว่าเป็นความล้มเหลวอย่างฉกรรจ์ เพราะประธานาธิบดีบุชรับฟังคำแนะนำและศึกษาข้อมูล จากที่ปรึกษาและผู้ที่อยู่รอบตัวท่านที่ไม่ได้เรื่องนั่นเอง ในเมื่อคุณเชื่อว่าชาวอาหรับคิดว่า Regardless of what the Americans do, they are damned if they do and damned if they don't. สหรัฐก็ยิ่งไม่ควรบุกเพราะยิ่งทำยิ่งถูกด่า อีกอย่างหนึ่งการวางแผนที่ไม่รอบคอบ ไม่หาทางถอย ที่ดี ปล่อยให้พลเรือนอย่างรัมสเฟลด์บัญชาการรบ หลักฐานเรื่องอาวุธร้ายแรงที่ใช้อ้างในการโจมตีกลาย เป็นสิ่งเลื่อนลอยก็รังแต่จะทำให้ภาพพจน์ของสหรัฐ ในสายตาชาวโลกตกต่ำลง จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ส.ค. 47 16:34:22 A:161.200.255.161 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 16 [ประการที่สาม มีการกล่าวหาว่าCIA ให้การสนับสนุนด้านการเงินกับชาวAfghan Arabs ในAfghan war จริงๆแล้วเรื่องนี้มีการให้เงินสนับสนุน จริงค่ะแต่เป็นการให้เงินสนับสนุนหน่วย ข่าวกรองของปากีสถาน(ISI) ไม่ใช่ให้กับ Afghan Arabs. ทีนี้ก็เป็นเรื่องของ ISI เองแล้ว ล่ะค่ะว่าจะให้การสนับสนุนทางด้านอาุวุธและเงินให้กับ Afghan ก๊กไหนแน่นอนค่ะ ISI นั้น ก็ต้องให้เงินสนับสนุนฝ่าย pro-pakistan อยู่แล้วแต่เนื่อง เพราะว่า Afghan Arabs นั้นได้ ต่อสู้กับกองทัพของโซเวียตเคียงข้างกับชาวAfghan ที่ pro-pakistan ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเป็น ที่มาของข้อกล่าวหาที่ว่าอัลไคด้าเป็นผลผลิตของ CIAนั่นเอง] อันนี้จะมาอ้างบอกปัดความรับผิดชอบของ CIA ได้ จริงๆแล้ว CIA ให้เงินสนับสนุนทางลับให้กับกลุ่มต่อ ต้านอีกหลายกลุ่มซึ่งบินลาเดนได้ผลประโยชน์ตรงนี้ ด้วย เงินเยอะย่อมดีกว่าเงินน้อย (นักรบชาวอัฟกันเหล่านั้นพอใจกับเงินช่วยเหลือที่ หลั่งไหลมาจากประเทศในอ่าวเปอร์เซียแต่พวกเค้า ก็ไม่นิยมกับทัศนคติที่นักรบชาวอาหรับเหล่านั้นเชิดชู คนอาหรับเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อาฟกันพื้นเมือง) อันนี้เรื่องจริงพวกอาหรับมันชอบดูถูกคนชาติอื่นอยู่แล้ว แม้ว่าจะเป็นมุสลิมด้วยกัน จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ส.ค. 47 16:40:47 A:161.200.255.161 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 17 กระทู้เเนะนำหนังสือหรือคะ เเนะนำบ้างนะ กำลังอ่าน Losing America: Confronting a Reckless and Arrogant Presidency ของ Sen. Robert Byrd อยู่ค่ะ สั่งซื้อ Cruel and Unusual: Bush/Cheney's New World Order ไว้เเล้ว เเต่ยังไม่ได้รับหนังสือค่ะ อยากเเนะนำสองเล่มนี้นะคะ อ่านเเล้วจะเห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันของสหรัฐเป็นอันตรายทั้งต่อประชากรสหรัฐเอง เเละต่อชาวโลกอย่างไร จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 3 ก.ย. 47 08:04:20 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณคุณกุลธิดามากครับ ผมเองก็ไม่ใช่พวก เสรีนิยมแบบอเมริกันแต่ก็พอจะมองเห็นว่ารัฐบาล ขวายุคใหม่ของบุชเป็นอันตรายกับชาวโลกและ ชาวอเมริกันเองครับ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 3 ก.ย. 47 11:25:39 A:10.36.3.79 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 19 Pat Buchanan เพิ่งเขียนหนังสือเล่มใหม่ วางขายอาทิตย์ที่เเล้วค่ะ เป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน ชื่อหนังสือว่า Where the Right Went Wrong: How Neoconservatives Subverted Reagan Revolution and Hijacked the Bush Presidency ตัวเองไม่เเน่ใจว่าอยากเสียตังค์ซื้อมาอ่านหรือเปล่า เพราะไม่เคยชอบนาย Pat Buchanan มาเเต่ไหนเเต่ไรเเล้ว เเกขวาจัดสุดกู่ตกขอบไปนอนอยู่ในคูด้านขวาของถนนมานานเเล้วค่ะ เเต่ขนาดเเกทนไม่ได้ เขียนหนังสือวิจารณ์ว่ารัฐบาลท่านบุชถูกกลุ่ม neocons hijack เเล้วพาประเทศเข้าสู่สงครามอิรัคอย่างไร เเล้วผลของสงครามอิรัคจะทำลายอเมริกาอย่างไร นี่ก็เเสดงว่าเเกคงได้ที่เเล้วนะคะ คงทนดูไม่ได้เเล้ว ก่อนออกวางขาย Pat Buchanan บอกว่าหนังสือเล่มนี้ของเเกเกี่ยวกับ "A cabal of neoconservatives inside and outside the administration hijacked U.S. foreign policy, beat the drums for war in Iraq, and may have ignited a 'war of civilizations' with the Islamic world that could last a generation." นิตยสาร Rolling Stone ฉบับเดือนกันยานี้ก็มีบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ เป็นบทความที่เกี่ยวกับ Dick Cheney พูดถึงกลุ่ม neoconservatives กลุ่มนี้ รวมถึง Dick Cheney ว่าสร้างเรื่องโกหกเกี่ยวกับอิรัคเเละ WMD ขึ้นมาได้อย่างไร เเละเปลี่ยนเเปลงทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรใน Department of Defense เพื่อนำประเทศเข้าสู่สงครามอิรัคอย่างไร จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 7 ก.ย. 47 02:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สรุปว่า แพท บูแคนัน ไม่ใช่พวกนีโอคอนส์หรือครับ คุณกุลธิดา? แต่อย่างไรก็ตามพวกนีโอคอนส์นี้มัน ก็สุดกู่เหมือนกัน ถ้าลองไปสัมผัสสงครามในบอสเนีย ดูก็คงจะรู้ว่าสงครามมันไม่ใช่ของดีและควรจะใช้ เป็นทางเลือกสุดท้าย คนที่ได้แต่สั่งการมันไม่เคยรู้ ถึงความทุกข์ยากของคนที่อยู่ในสนามรบจริงๆ เฮ้อ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 7 ก.ย. 47 16:48:08 A:10.36.3.79 X:202.28.77.31 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 21 นึกว่ากระทู้นี้จะต้องอันตรธานหายไปอีกวาระหนึ่งคล้ายกับกระทู้ “ why do you like America ” อีกซะแล้วอิสระทางความคิดบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับว่าใครคนนั้นจะเป็นคนนิยามนะ...เฮ้อ สงสัยผู้ตั้ง กระทู้มิใช่เอื้องอัยราวัณ จึงไม่โดนเพ่งเล็ง ลบมากๆบางครั้งก็กร่อยนะคะพันทิพที่รัก..ฮิฮิ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 8 ก.ย. 47 16:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 #13 “ อันนี้ไม่ใช้ทฤษฎีสบคบคิดหรอกแต่เป็นความจริงที่ ทั้งกลุ่มอัลกออิดะห์และสหรัฐเองไม่อยากจะยอมรับ ต่างหากเพราะเป็นความจริงที่ทำลายความชอบธรรม ของทั้ง ๒ ฝ่าย บินลาเดนจำเป็นต้องอาศัย CIA ใน ช่วงแรกเพื่อเป็นสะพานไปสู่การตั้งขบวนการมุสลิม หัวรุนแรงเพราะในยุคนั้นสหรัฐมองว่าลัทธิคอมฯ เป็นภัยคุกคามมากกว่าลัทธิอิสลามสุดโต่ง ส่วน สหรัฐก็แค่ส่งเงินให้พวกต่อต้านโซเวียตในอัฟกัน ไม่ต้องลงมือเอง เขาเรียกว่านำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าไง เมื่อโซเวียตพ่ายแพ้ไปก็เริ่มหันมาเล่นงานกันเอง ตามอุดมการณ์ของตนโดยบินลาเดนเริ่มก่อน ” ก่อนที่จะไปพูดเรื่องน้ำมันต่อขอตอบคำถามคุณปักษาวายุก่อนนะคะ..พออ่านข้อเขียน ของคุณปักษาฯแล้วดิฉันจำเป็นต้องขอทบทวนสิ่งที่ดิฉันพูดไปแล้วนะคะเพราะดูเหมือน ว่าคุณจะลืมข้อเท็จจริงอีกอันหนึ่งที่เป็น a key fact ของเรื่องนี้นั่นก็คือกลุ่มต่อต้่านกอง ทัพโซเวียตใน Afghan war นั้นประกอบด้วยกลุ่มต่อต้่านสองกลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกันคือ 1. กลุ่มต่อต้านที่ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากประเทศซาอุดิ อาระเบียและ กลุ่มประเทศในอ่าวเปอร์เซียซึ่งเป็นกลุ่มที่ประกอบด้วยพวกมุสลิมหัวรุนแรงที่เข้ามา ในอัฟกานิสถานโดยมาจากทั่วทั้งโลกมุสลิมพร้อมกับการทำจีฮัดในการต่อสู้กับกอง ทัพของโซเวียตและเข้ามาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ใช่เพียงเพื่อต่อสู้กับโซเวียตเพียงอย่าง เดียวแต่เพื่อต้องการเปลี่ยนประเทศอาฟกานิสถานเป็น ultra-purist version of Islam ซึ่งสมาชิกกลุ่มนี้จะเรียกตัวเองว่า *Arab Afghans*และโอซามา บินลาเดนก็อยู่ในกลุ่ม นี้ 2. กลุ่มต่อต้านที่ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากอเมริกาซึ่งเป็นกลุ่มของชาว อาฟกันพื้นเมือง อย่างที่ดิฉันกล่าวไปแล้วในความคิดเห็นที่ 8 ว่า อเมริกาให้เงินสนับสนุนนักรบอาฟกัน พื้นเมือง (มิใช่อัลกออิดะห์) ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจิมมี่ คาเตอร์ (จากพรรคเดโมแครต นะคะอย่าลืม!!) เพื่อสู้กับโซเวียตคอมมิวนิสต์นั้นเป็นเรื่องจริงการใช้แทคติคนี้เป็นที่รู้ จักกันดีในชื่อ Geopolitical Weapon และไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิดค่ะแต่การกล่าวว่า บิน ลาเดนและกลุ่มอัลกออิดะห์เป็นผลผลิตของCIAโดยตรงนั้นเป็นเรื่องที่ขาดน้ำหนักเยอะ ทีเดียว หรือถ้าหากดิฉันจะลองคิดตามทฤษฎีสมคบคิดของคุณปักษาฯโดยวางอยู่บน สมมติฐานที่ว่าอเมริกาต้องการสนับสนุนทางด้านการเงินแก่โอซามา บินลาเดนกระ นั้นก็ตาม บิน ลาเดนนั้นไม่ถือว่าเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนที่ CIA จะต้องทำการติดต่อให้ การสนับสนุน..ด้วยเหตุว่าตัวบินลาเดนเองนั้นไม่เคยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของ CIA เลย บินลาเดนแทบไม่เคยละทิ้งแหล่งกบดานของตนจากเมืองที่อยู่ทางแถบตะวันตกเฉียง เหนือของปากีสถานซึ่งถือว่าเป็นแหล่งพักพิงที่ปลอดภัยสำหรับตัวเค้าเสียด้วยซ้ำและ ที่สำคัญบินลาเดนแทบไม่เคยทำหน้าที่ออกคำสั่งกับกองทัพ Arab Afghansของเค้า เลยเพราะในช่วงเวลาที่ Arab Afghans ต่อสู้กับกองทัพของโซเวียตนั้น บิน ลาเดนยัง ไม่โด่งดังหรือมีบทบาทเป็นผู้นำที่ชัดเจนของกองทัพมูจาฮีดีนในขณะนั้นอย่างเต็มตัวค่ะ.. ตำแหน่งของบิน ลาเดนในตอนนั้นเปรียบได้เพียง เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายพลาธิการที่ทำ หน้าที่จัดหาเครื่องใช้ จัดหาอาหาร และให้การสนับสนุนเจือจุนทางด้านการเงินแก่กลุ่ม “Arab Afghans” เป็นหลักเท่านั้น บิน ลาเดนจึงไม่ถือว่าเป็นตัวจักรกลสำคัญ ณ เวลา นั้น..อีกอย่างหนึ่งที่คุณปักษาควรรับทราบไว้ด้วยก็คือ Mohammad Yousaf ซึ่งทำหน้า ที่เป็นผู้บริหาร ISI’s Afghan operation ในตอนนั้น ยังได้กล่่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง CIA และ Afghan mujahideen (not Afghan Arabs) ว่าหน้าที่หลักของ CIA คือ spending money ในการสนับสนุนการติดอาวุธให้กับกลุ่มนักรบอาฟกันเพื่อต่อสู้กับ the Red Army แต่อย่างไรก็ตาม Yousaf กล่าวว่า “ It was a cardinal rule of Pakistan's policy that no Americans ever become involved with the distribution of funds or arms once they arrived in the country. No Americans ever trained or had direct contact with the mujahideen, and no American official ever went inside Afghanistan." ค่ะเรื่องที่บอกว่าอเมริกาให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ Afghan Arabs นั้นไม่ ต้องไปพูดถึงเลย จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 8 ก.ย. 47 16:26:35 ]

ความคิดเห็นที่ 23 #14 “ คุณเอื้องเชื่อคำพูดของอีตา Fisk ด้วยหรือ ” เผอิญว่าดิฉันไม่เคยอ่านบทความหรือหนังสือเพียงเล่มเดียวค่ะในการเข้ามาตอบกระทู้ในราชดำเนิน ดังนั้นที่คุณปักษาฯตั้งคำถามว่า “คุณเอื้องเชื่อคำพูดของอีตา Fisk ด้วยหรือ? ” นั้นจึงเป็นความเข้า ใจผิดค่ะเพราะมิใช่คำกล่าวของ อีตา Fisk ของคุณปักษาวายุเพียงคนเดียวแต่ยังรวมไปถึง Peter Bergen, Mohammad Yousaf, Milt Bearden และ Richard Miniter ผู้ประพันธ์หนังสือ: Losing bin Laden: How Bill Clinton's Failures Unleashed Global Terror. ที่เห็นพ้องต้องกันว่าบินลาเดนไม่มีทางที่จะทำงานร่วมกันกับ CIA ถ้าเป็น Fisk เพียงคนเดียวต้อง ตรวจสอบอีกเยอะค่ะ อีกอย่างถ้าคุณปักษาฯเคยดูสารคดีเรื่อง * Good Morning Afghanistan * ซึ่งมีทีมผู้บรรยายที่มาจากรัสเซีย เยอรมันและอังกฤษได้ไปถ่ายทำสารคดีชุดนี้ที่ประเทศอาฟกา นิสถานสัมภาษณ์ John Walker Lindh ว่า ทำไมเค้าถึงเดินทางมาที่อาฟกานิสถาน? อเมริกันตาลีบัน ผู้หลงผิดคนนี้ตอบว่า It was "The purest Islamic Nation". อย่างที่ดิฉันได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า นักรบชาวอาหรับเข้ามาในอัฟกานิสถานด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ใช่เพื่อต่อสู้กับโซเวียตเพียงอย่าง เดียวแต่เพื่อต้องการเปลี่ยนประเทศอาฟกานิสถานเป็น ultra-purist version of Islam นั่นเอง จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 8 ก.ย. 47 16:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แล้วทำไมข้อกล่าวหาที่ติดอันดับท็อปฮิตตลอดกาลว่า CIA support for bin Laden ถึงได้ไม่เคยเลือนหายไป? ขอบอกก่อนตรงนี้นิดนึงค่ะว่าเหตุผลตรงนี้ดิฉันนำเสนอในมุมมองอีกด้านหนึ่งของเหรียญเพราะฉะนั้น เรื่องแตกต่างกันทางความคิดของแต่ละท่านที่เขามาตอบจึงถูกทิ้งให้เป็นวิจารณาณของผู้อ่านเอาเองว่า ท่านจะเลือกเสพข้อมูลในรูปแบบไหน ทีนี้มาดูกันค่ะว่าทำไม ประการแรก ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า America และ Saudi Arabia นั้นสนับสนุนกลุ่มต่อต้านโซเวียต กันคนละกลุ่มนั่นก็คือ native Afghans และ Arab Afghans ประการที่สอง anti-American left และ right ทั้งในยุโรปและอเมริกาพบว่า CIA support for bin Laden มันเป็นเรื่องที่ดูมีน้ำหนักเสมอสำหรับพวกเค้าเพราะให้ความรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังสามารถนำมาเล่นได้อีกตราบ นานเท่านาน ประการที่สาม CIA-funding myth อนุญาติให้นักผูกเรื่องราวทฤษฎีสมคบคิดหาความชอบธรรมอันเป็น แบบฉบับในการกล่าวโทษอเมริกาว่าอยู่เบื้องหลังเเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆในโลกใบนี้ป็นอันดับแรก (blame America first) ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามในสามประการที่กล่าวมานี้ล้วนมีจุดมุ่งหมายไปในแนวทางเดียวกันคือความ ต้องการหาเหตุผลอันชอบธรรมให้เกิดความเท่าเีทียมกันในการกระทำของอเมริกาและกลุ่มอัลไคด้า (หรือ ของรัฐบาลในประเทศต่างๆกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย)ของพวกต่อต้านอเมริกาตัวยงไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกาเอง ยุโรป หรือในภาคพื้นเอเชียเพราะภาพลักษณ์เหล่านี้ เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งสำหรับอเมริกาในการหาพันธ มิตรร่วมในการต่อสู้กับการก่อการร้าย..เฉกเช่นเดียวกับที่พวกผู้ก่อการร้ายหรือพวกนักคอลัมนิสต์ที่สิงอยู่ ตามกระดาษเปื้อนหมึกทั้งหลายมักจะเรียกพวกผู้ก่อการร้ายชาวเชเชน ปาเลสไตน์ อิรัคเปรียบประดุจเป็น Freedom fighter นั่นแลนี่เป็นประเด็นสำคัญที่พวกผู้ก่อการร้ายมักจะฉกฉวยนำคำที่มีเกียรติอย่างคำว่านัก ต่อสู้เพื่ออิสรภาพมาใช้ในเวทีการเมืองค่ะทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการกระทำมันบ่งชัดอยู่แล้วว่านี่คือการ กระทำของผู้ก่อการร้าย แนวความคิดแบบนี้นี่เองที่เป็นตัวส่งเสริมให้พวกผู้ก่อการร้ายเห็นความอ่อนแอ ที่เกิดขึ้นในสังคมแห่งโลกเสรีประชาธิปไตย แต่คุณปักษาฯคอยดูไปเถอะค่ะว่า * ในสงครามต่อต้านลัทธิก่อการร้ายครั้งนี้ ไม่มีประเทศใดเป็นกลางได้ ทั้งนี้เพราะไม่มีประเทศที่เจริญแล้วประเทศใดที่จะอยู่อย่างมั่นคงได้ในโลกที่ถูกคุกคามจากการก่อการร้าย* นั้นเป็นจริงเสมอรัสเซียและอีกหลายประเทศกำลังเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งของคำพูดข้างต้นนี้จากผู้ที่ไม่ยอม จำนนกับการก่อการร้าย ณ ตอนนี้และตลอดไป “ The best prevention for terrorism is the strong determination not to give in terrorism ” จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 8 ก.ย. 47 17:28:09 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ส่วนที่คุณปักษาฯ กล่าวว่า “ในยุคนั้นสหรัฐมองว่าลัทธิคอมฯเป็นภัยคุกคามมากกว่าลัทธิอิสลามสุดโต่ง” นั้นไม่จริงค่ะ อเมริกามองทั้งสองเรื่องนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของอเมริกาไม่ยิ่ง หย่อนไปกว่ากันค่ะ ทำไมน่ะหรือคะ? ถ้าหากคุณปักษาฯยังจำได้ การจับตัวประกันชาวอเมริกันในปี1979 ไว้ในสถานทูตนานถึง444วัน สมัยประธานาธิบดีคาเตอร์นั้น (ยุคคาร์เตอร์ นับเป็นปธนที่อ่อนแอที่สุดของ สหรัฐ) ก็เป็นปีเดียวกันกับที่กองทัพโซเวียตบุกเข้ายึดอาฟกานิสถาน และก็เป็นช่วงที่ พวกนักบวชมุสลิม ชาวอิหร่านหัวรุนแรงซึ่งนำโดยอยา ตอลเลาะห์ รูฮอลเลาะห์โคไมนี่ เกิดความกระหายในอำนาจอยากปก ครองประเทศขึ้นมาโดยมีเป้าหมายไม่เพียงแต่โค่นบัลลังก์ยูงทองของชาห์ปาเลวีเท่านั้น แต่ยังคงต้องการ สร้างรัฐอิสลามบริสุทธิ์ขึ้นมาทั่วทั้งภูมิภาคตะัวันออกกลางโดยสร้างกระแส anti-Americanism ปลุกระดม ขบวนการชาตินิยม และ ศาสนานิยมในคนรุ่นหนุ่มสาว ตอนนั้นรวมไปถึง ส่งเสริม Iranian militants ใน การโจมตีผลประโยชน์ของอเมริกา โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องชี้นำในทางการเมือง และต้องไม่ลืมด้วยว่าในช่วงยุคนักบวชหัวรุนแรงครองเมืองนั้นมีกลุ่มก่อการร้ายที่ก่อกำเนิดขึ้นมาหลาย กลุ่ม..กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอิหร่าน ภายใต้การนำของ อะยาตุลลาห์ โคไมนี ซึ่งนิยมใช้การก่อการร้ายเป็นเครื่องมือเพื่อส่งออกการปฏิวัติอิสลามโดยมุ่งโค่นล้ม ระบอบการปกครองและรัฐบาลของประเทศอื่น และสถาปนาระบอบการปกครองรัฐอิสลามเช่นเดียวกับ อิหร่านขึ้นแทน เช่น ขบวนการอิสลามเพื่อปลดปล่อยบาห์เรน และขบวนการมุสลิมนิกายซีอะห์หัวรุนแรง บางกลุ่ม อาทิ ขบวนการก่อการร้าย Hizballah เป็นต้น..นั่นทำไมดิฉันถึงได้กล่าวไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้ ว่า จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เลยทำให้เพื่อนบ้านอย่างอิรักจึงดูไม่เลวร้ายเกินไปนักในสายตาของอเมริกา (didn't look so bad anymore) ดังนั้นเมื่ออิรักบุกอิหร่านในปี1980ทางวอชิงตันจึงไม่ประท้วงแต่อย่าง ใดแต่ซัดดัมก็ประเมิณศักยภาพทางทหารของอิหร่านต่ำเกินไปเค้าคิดว่าจะสามารถชนะอิหร่านได้ง่ายแต่ กาลกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่ออิหร่านสามารถฟื้นตัวจากการถูกโจมตีหนึ่งปีต่อมาให้หลังและกลับมาเป็น ฝ่ายรุกแทนถ้าจำไม่ผิดในราวปี1982 อิหร่านสามารถยึดดินแดนที่เคยสูญเสียไปให้กับอิรักคืนได้ทั้งหมด แถมยังเตรียมกำลังพลขนานใหญ่โต้ตอบอิรักซึ่งในตอนนั้นโคไมนีไม่เพียงแต่ประกาศว่าจะโค่นล้มบัลลังก์ ของซัดดัม ฮุสเซ็นเท่านั้นแต่ยังตั้งใจจะให้อิรักเป็นจุดเริ่มของการแผ่ขยายอิทธิพลรัฐบาลของฝ่ายศาสน จักรอีกด้วย...ด้วยเหตุนี้เองทางวอชิงตันจึงได้ตัดสินใจสนับสนุนอิรักเพื่อหยุดความเหิมเกริมของอิหร่าน และเพื่อยับยั้งการขยายตัวของพวกนักปฎิวัติมุสลิมหัวรุนแรงแต่ทางวอชิงตันเองก็ไม่ได้ตระหนักเลยว่า ซัดดัมก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเผด็จการทั้งหลายในโลกเท่าที่เคยมีมา therefore, the enemy of my enemy is still my enemy, too ผู้ที่คุ้นเคยกับการเมืองและเศรษฐกิจในตะัวันออกกลางคงต้องคิดหลายตลบแล้วล่ะค่ะว่ารัฐบาลในสมัย ชาห์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลนิยมตะวันตกกับรัฐบาลยุคนักบวชหัวรุนแรงครองเมืองนั้น economic progress, increasing income inequality และ poverty นั้นมันมีความแตกต่างกันมากมายขนาดไหน และที่พวก นักการเมืองในคราบนักบวชกล่าวหาว่ารัฐบาลสมัยของชาห์ปาเลวีไม่เต็มใจที่จะ *expand democratic freedoms * ให้กับกลุ่มนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งที่ผ่านมาของอิหร่าน นั้นควรจะเรียกว่านักบวชมุสลิมผู้ปกครองประเทศให้ความเสมอภาคทัดเทียมกันดีไปกว่าในสมัยของชาห์ ปาเลวีอยู่หรอกหรือลองตรองดูก็แล้วกันนะคะเพราะเศรษฐศาสตร์กับการเมืองนั้นมันตัดกันไม่ขาดค่ะ... จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 8 ก.ย. 47 18:03:32 ]

ความคิดเห็นที่ 26 พรุ่งนี้ดิฉันจะมาพูดถึง Pat Buchanan และ Sen. Robert Byrd ผู้ประพันธ์หนังสือ Losing America ที่อาจารย์กุลธิดาแนะนำ และกลุ่มนีโอคอนค่ะแต่ก่อนอื่นขอฝาก คำพูดของ Elie Wiesel เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพทิ้งท้ายก่อนนะคะว่า ทำไม far right อย่าง Pat Buchanan จึงกล่าวหาว่ากลุ่ม neocons ลวงรัฐบาลบุช พาประเทศเข้าสู่สงครามอิรัคและ Ex-Klansman อย่าง Sen. Robert Byrd จากพรรค เดโมแครต จึงเขียนหนังสืออย่าง Losing America ขึ้นมา The left loves the Jews but hates Israel, while the right loves Israel but hates the Jews.-- - Elie Wiesel เนื่องจากว่ากลุ่ม Left และRight ,Far Left และ Far right ในยุโรปและอเมริกามี ความต่างกันพอสมควรค่ะและ หลักปรัชญาในบางมุมมองของ Pat Buchanan นั้น flirts with fascism ส่งเสริม White racial nationalism และ antisemitism ตัวยงเลยทีเดียวจึงค่อนข้างเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับ mainstream Republicanism ค่ะเปรียบได้กับพวก Far right ในยุโรปนั่นเอง Old Right และOld Church อย่าง Pat Buchanan นั้นสูญเสียอำนาจในพรรครีพลับลิกันไปนานแล้วค่ะและยิ่งภาย ใต้คณะรัฐบาลบุชด้วยแล้วหมดความหมายไปเลยจึงต้องออกมาก่อหวอดครั้งใหม่ กับหนังสือหนังสือเล่มใหม่อย่าง Where the Right Went Wrong นั่นยังไงล่ะคะ เช่นกันค่ะคุณปักษาวายุพวกที่คอยแต่โจมตีรัฐบาลบุช ดีแต่นั่งวิพากษณ์วิจารณ์ การทำงานประธานาธิบดีของอเมริกาแต่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสในตำแหน่ง ผู้นำนั้นมันไม่รู้หรอกค่ะว่าการบริหารงานในตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศ มหาอำนาจนั้นมันยากลำบากแสนเข็ญเพียงไรได้แต่ละเลงสีใส่ไข่ตามกระดาษ เปื้อนหมึกไปวันๆ..เฮ้อ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 8 ก.ย. 47 21:19:55 ]

ความคิดเห็นที่ 27 Pat Buchanan เป็น conservative ค่ะคุณปักษาฯ เเล้วอันที่จริง กลุ่มคนที่มีปัญหากับกลุ่ม neocons มากที่สุดไม่ใช่ Democrat หรือ liberal เเต่เป็นพวก conservative อย่าง Pat Buchanan หรือ Tom Fleming ของสถาบัน Rockford หรือ Paul Gottfried ซึ่งเป็นนักวิชาการกลุ่มอนุรักษ์นิยมมากกว่าค่ะ อันที่จริงความคิดเเละ ideal ของกลุ่มเป็นความคิดที่ไม่เลว อย่างเช่นพวกเขาเชื่อในการค้าเสรี ต่อต้านระบบเศรษฐกิจที่มีรัฐเป็นตัวควบคุม ต่อต้านระบบ welfare ซึ่งทำให้คนบางกลุ่มหาผลประโยชน์ใส่ตัวคือไม่ยอมทำงาน คอยพึ่งเเต่รัฐ ในสมัยสงครามเย็น กลุ่ม conservative ต่อต้านคอมมิวนิสต์ conservative สมัยใหม่เน้นที่การใช้เงินภาษีประชาชนของรัฐอย่างประหยัด เน้นที่การลดภาษี เเละลดขนาดของรัฐบาล กลุ่ม neocons ไม่ให้ความสำคัญกับ budget deficit ไม่ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเงินเกินงบประมาณของรัฐบาล (ซึ่งเรื่องการใช้จ่ายเงินเกินงบประมาณของรัฐเป็นเรื่องที่ conservative ต่อต้านนักหนา) neocons ถือว่าวิธีการหรือนโยบายใดก็ตามที่มีประโยชน์ต่อการทำให้ conservative coalition กลายเป็นกลุ่ม majority ได้ พวกเขาทำทั้งนั้น เเม้เเต่การใช้เงินภาษีของประชาชนทุ่มลงไปเท่าไหร่ก็ตาม พูดง่ายๆว่า accounting deficiencies ของรัฐไม่มีความสำคัญสำหรับพวกเขา กลุ่ม neocons ดึงเอาศาสนาเข้าไปผูกติดกับความคิดของพวกเขาไม่ใช่เพราะเขาเชื่อตามคำสอนในศาสนาเหมือนกลุ่ม conservative เเต่กลุ่ม neocons ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในเเง่ที่ว่าความกลัวเเละความเชื่อในศาสนามีประโยชน์ต่อพวกเขาในการควบคุมกลุ่มคน นโยบายต่างประเทศของสองกลุ่มนี้เป็นอีกเรื่องที่ขัดเเย้งกันค่ะ ในขณะที่กลุ่ม neocons สร้างภาพนโยบายต่างประเทศของพวกเขาให้ออกมาดูดี อย่างเช่น doctrine นึงของพวกเขาที่บอกว่า "the US will always feel obliged to defend, if possible, a democratic nation under attack from nondemocratic forces, external or internal." เเต่กลุ่ม neocons ไม่เคยพยายามปกป้องหรือให้ความช่วยเหลือประเทศที่มีผู้นำเผด็จการเลยเเม้เเต่ครั้งเดียว อย่างเช่นกรณีพิโนเชในชิลี เป็นต้นค่ะ ความคิดหลักของกลุ่ม neocons คือสหรัฐควรสร้างอำนาจทางการทหาร เเละคงไว้ซึ่งอำนาจในฐานะ superpower ประเทศเดียวที่เหลืออยู่ คือนโยบายครองโลกนั่นเองค่ะ กลุ่ม neocons ที่อยู่ในเเถวหน้าๆก็เช่น Paul Wolfowitz ซึ่งเป็น Deputy Secretary of Defense คือเป็นรองของ Donald Rumfeld นั่นเเหละค่ะ เเล้วก็ Irving Kristol นักเขียนประจำของนิตยสาร National Review ซึ่งเป็นนิตยสารเผยเเพร่ความคิดเเละนโยบายของ conservative, Robert Kagan นักเขียนอีกคนของ National Review ลองอ่านดูตัวอย่างบทความในเรื่องนี้ของ 2 คนนี่ได้ที่นี่ค่ะ http://www.ceip.org/people/kagfaff.htm อย่างที่ใครไม่ทราบเคยว่าไว้นะคะ ไม่มีศัตรูใดน่ากลัวเท่าศัตรูที่มาจากคนที่เคยเป็นพี่น้องกัน กลุ่ม conservative จึงมองว่ากลุ่ม neocons subvert เเละกำลังทำลาย ideal ของพวกเขา ที่อันตรายยิ่งกว่านั้นคือกลุ่ม neocons กำลังมีอำนาจในรัฐบาลปัจจุบัน เเละกำลังเอานโยบายครองโลกที่เป็นอันตรายต่ออเมริกาเองเเละต่อสังคมโลกมาใช้ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 47 01:47:13 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 47 01:45:31 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 9 ก.ย. 47 01:43:28 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้าจะพูดถึง Sen. Byrd คุณเอื้องอย่าลืมบอกด้วยนะคะว่า Sen. Byrd ทำงานวนเวียนอยู่ในคองเกรสมา 52 ปีเเล้ว เป็นเซเนเตอร์ที่รู้สึกว่าจะทำงานมานานที่สุดเเละเป็นเซเนเตอร์ติตต่อกันมาหลายสมัยที่สุดในตอนนี้ อีกอย่างถ้าจะพูดถึง Constitution เเล้ว หาคนที่รู้ลึกซึ้งเเละเข้าใจ Constitution ของอเมริกาเท่ากับ Sen. Byrd ยาก ท่านยึดมั่นกับ Constitution ถึงขนาดพก Constitution เล่มเล็กๆไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอดเวลา เเล้วถ้าพูดถึงคนวงในคณะรัฐบาลที่เฝ้ามองความเป็นไปของประเทศ คงหาใครเทียบ Sen. Byrd ยากเเล้วเเหละค่ะในทุกวันนี้นะคะ ในเมื่อ Sen. Strom Thurmond ก็ตายเสียเเล้ว แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 47 07:10:33 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 9 ก.ย. 47 02:12:43 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณเอื้องคะ หนังสือของ Ron Kessler นั่น คุณเอื้องบอกเองว่าเขาสัมภาษณ์ Karl Rove, Andy Card, Condi Rice, Al Gonzales นั่นคือบุคคลใกล้ชิดบุชทั้งสิ้น จะให้เขาพูดความจริงทั้งหมดที่อาจออกมาตรงข้ามกับภาพดีๆของบุชได้ยังไงคะ โดยเฉพาะ Karl Rove หรือที่รู้จักกันดีในนาม Bush's brain ใครๆก็รู้ว่าเป็นยังไง เมื่อครั้งที่มี Republican Primary เมื่อปี 2000 ก็นาย Rove นี่ใช่หรือเปล่าคะที่เอาวิธีการของ Atwater มาใส่ร้ายป้ายสี John McCain เหตุเกิดที่รัฐของดิฉันเองนี่เเหละค่ะ ที่มีการใช้โทรศัพท์เสเเสร้งว่าเป็น survey โดยถามคำถามว่าถ้าคุณรู้ว่า John McCain มีลูกนอกกฎหมายกับผู้หญิงผิวดำ คุณยังคิดจะเลือกเขาอยู่หรือเปล่า ลูกสาวที่ survey นั้นพูดถึงหมายถึงลูกบุญธรรมที่ McCain เเละภรรยาของเเกขอมาเลี้ยงจากบังคลาเทศ เด็กคนนั้นผิวคล้ำ ฝ่ายทีมของบุชภายใต้การนำของ Karl Rove ก็เลยเอามาใช้เป็นเครื่องมือใส่ร้าย McCain เสียเลย นั่นหรือคะคุณที่น่าเชื่อถือได้ในเรื่องของการเป็นเเหล่งข้อมูล ผู้เขียนฝ่ายเดโมเเครตเท่านั้นหรือคะที่เชื่อถือไม่ได้ เเล้วที่ว่าใครๆที่ไม่เคยเป็นประธานาธิบดีจะไม่เข้าใจว่าการทำงานของประธานาธิบดีเป็นอย่างไร คุณเอื้องเคยเป็นประธานาธิบดีหรือคะ ถึงได้คิดว่าคุณเอื้องรู้ดีกว่าคนอื่นว่าเเหล่งข้อมูลเกี่ยวกับประธานาธิบดีบุชเเหล่งไหนเท่านั้นที่เชื่อถือได้ ว่าไปเเล้ว Ron Kessler ก็ไม่เคยเป็นประธานาธิบดีนี่นา สิ่งที่เขาเขียน เขาก็ได้มาจากคนเเวดล้อมใกล้ชิดบุชทั้งสิ้น ลองชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือเอาเองก็เเล้วกันค่ะท่านผู้ชม อ้อ...อีกเรื่อง คุณเอื้องน่าจะลองพูดถึงบ้างนะคะ เรื่องที่ FBI กำลังสืบสวนกรณีที่บุคคลระดับสูงคนหนึ่งใน Pentagon เป็นสายให้กับอิสราเอลน่ะค่ะ คนๆนี้ FBI ระบุว่าทำงานอยู่ในสำนักงานของ Undersecretary of Defense เเล้ว Undersecretary of Defense นี่คือใครล่ะคะถ้าไม่ใช่ Douglas Feith ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในกลุ่ม neocons รายงานของ FBI ระบุว่าเจ้าหน้าที่คนที่ว่านี่อยู่ในตำเเหน่งที่ "....influence Bush administration policy toward Iran and Iraq." ตอนนี้การสืบสวนเรื่องนี้ขยายไปถึง Harold Rhode (neocon อีกคน) ซึ่งทำงานอยู่กับ Feith เเละ David Wurmser ซึ่งทำงานอยู่กับ Dick Cheney รวมถึง neocon อีกคนคือ Richard Perle (ฉายา Prince of Darkness) ซึ่งทำงานให้กับ Defense Policy Board กลุ่ม neocons ไม่ได้น่ารักน่าชังอย่างที่คุณเอื้องเข้าใจหรอกนะคะ สมัยบุชคนพ่อเป็นประธานาธิบดี กลุ่ม neocons กลุ่มนี้ที่พยายามเเฝงตัวเข้าไปในรัฐบาลสมัยนั้น ถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลสมัยนั้นเรียกรวมกันว่า Crazies กลุ่ม neocons นี่เสนอรายงานเเผนการณ์ยึดครองโลกต่อบุชคนพ่อ รายงานนั้นยาว 40 หน้า มีชื่อว่า Defense Planning Guidance ว่างๆลองหาอ่านดูนะคะ โชคดีที่สมัยนั้นบุชคนพ่อมองเห็นว่าเเผนการณ์นั้นไม่เพียงเเต่งี่เง่าเท่านั้น เเต่ยังเป็นอันตรายต่ออเมริกาเองเเละต่อสังคมโลกด้วย บุชผู้พ่อจึงไม่เล่นด้วย มาถึงสมัยบุชผู้ลูกนี่เเหละที่หลายๆคนในกลุ่ม neocons สติเฟื่องกลุ่มที่ว่านี่เข้ามามีอิทธิพลเเละครองตำเเหน่งสำคัญๆในคณะรัฐบาล ลองพิจารณาดูอย่างเป็นธรรมนะคะคุณเอื้อง เเล้วจะมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไรค่ะ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 47 01:13:19 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 10 ก.ย. 47 01:10:39 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ผมยังตามอ่านอยู่ครับ อ้อ....อยากบอกคุณเอื้องด้วยครับว่าที่กระทู้นี้ไม่ถูกลบไม่ใช่เป็นเพราะ ผมเป็นคนตั้งกระทู้หรอกครับแต่ผมคิดว่าเป็นเพราะการคุยกันอย่างมีข้อมูลมากกว่า ถึงแม้ว่าคุณเอื้องกับอาจารย์กุลธิดาและใครๆอีกหลายๆคนจะเห็นจะเชื่อไม่เหมือนกัน แต่ก็คุยกันด้วยเหตุผลและควาทเชื่อของแต่ละคน ผมเองก็ไม่ได้หวังว่ากระทู้นี้จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของใครได้ เพียงแต่หวังว่าการรับฟังข้อมูลต่างๆควรจะมีที่มาจากหลายด้าน มิใช่มาจากแหล่งเดียวที่เดียว....แค่นั้นเองครับ อาจารย์กุลธิดาและคุณเอื้องทั้งสองคนผมถือว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดแหล่งข้อมูลมากที่สุด เพราะอยู่ในสหรัฐทั้งคู่ ก็คงมีข้อมูลในเชิงลึกที่คนนอกไม่ทราบมาก่อน งานนี้คนที่อ่านด้วยใจเป็นกลางถือว่าได้กำไรครับ จากคุณ : ตะเกียงลาน - [ 10 ก.ย. 47 09:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 31 (1. กลุ่มต่อต้านที่ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจาก ประเทศซาอุดิ อาระเบียและกลุ่มประเทศในอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประกอบด้วยพวกมุสลิมหัวรุนแรงที่เข้ามา ในอัฟกานิสถานโดยมาจากทั่วทั้งโลกมุสลิมพร้อมกับการ ทำจีฮัดในการต่อสู้กับกองทัพของโซเวียตและเข้ามาด้วย จุดประสงค์ที่ไม่ใช่เพียงเพื่อต่อสู้กับโซเวียตเพียงอย่าง เดียวแต่เพื่อต้องการเปลี่ยนประเทศอาฟกานิสถานเป็น ultra-purist version of Islam ซึ่งสมาชิกกลุ่มนี้จะเรียกตัวเองว่า *Arab Afghans*และ โอซามา บินลาเดนก็อยู่ในกลุ่มนี้) ตอนนั้นทางการสหรัฐยังไม่ได้แยกแยะกลุ่มแบบนี้ ใครก็ตามที่ต่อต้านโซเวียตสหรัฐก็ให้เงินหมด CIA ก็ไม่ได้สนใจว่าคนพวกนี้จะมีอุดมการณ์ยังไง อีกอย่าง CIA ก็ไปสนับสนุนพวกซาอุให้มาสนับสนุน พวกนี้อีกที (2. กลุ่มต่อต้านที่ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงิน จากอเมริกาซึ่งเป็นกลุ่มของชาวอาฟกันพื้นเมือง) การแยกกลุ่มที่คุณว่าเพิ่งจะทำทีหลังเพื่อปัดความรับ ผิดชอบเท่านั้นเอง จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 10 ก.ย. 47 09:53:01 A:10.36.3.79 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 32 (* ในสงครามต่อต้านลัทธิก่อการร้ายครั้งนี้ ไม่มีประเทศใดเป็นกลางได้ทั้งนี้เพราะไม่มีประเทศที่เจริญแล้วประเทศ ใดที่จะอยู่อย่างมั่นคงได้ในโลกที่ถูกคุกคามจากการก่อ การร้าย*นั้นเป็นจริงเสมอรัสเซียและอีกหลายประเทศ กำลังเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งของคำพูดข้างต้นนี้จากผู้ที่ไม่ ยอมจำนนกับการก่อการร้าย ณ ตอนนี้และตลอดไป ) ผมก็ยังเห็นมีอีกหลายประเทศที่ปลอดภัยนะครับ ปัญหาที่เป็นอยู่คือมันเกาไม่ถูกที่คันต่างหาก “ The best prevention for terrorism is the strong determination not to give in terrorism ” จริงแต่สหรัฐไม่โหดพอที่จะปราบผู้ก่อการร้ายให้หมดไป ได้ ผมมองเห็นว่าหากทำตามวิธีของบุชท้ายที่สุดสหรัฐ จะเป็นฝ่ายแพ้ วิธีที่ดีที่สุดที่ใช้กับพวกอาหรับคือต้อง จับลูกเมียมันมาเป็นตัวประกันบ้างแล้วก็ขู่ฆ่า วิธีนี้ใช้ กับคนทางเอเชียไม่ได้ผลแต่กับพวกอาหรับรับรองชะงัด จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 10 ก.ย. 47 10:00:13 A:10.36.3.79 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 33 (เช่นกันค่ะคุณปักษาวายุพวกที่คอยแต่โจมตีรัฐบาลบุช ดีแต่นั่งวิพากษณ์วิจารณ์การทำงาน ประธานาธิบดีของอเมริกาแต่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสในตำแหน่งผู้นำนั้นมันไม่รู้หรอกค่ะว่าการบริหาร งานในตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจ นั้นมันยากลำบากแสนเข็ญเพียงไร) ไม่ต้องถึงขนาดประเทศมหาอำนาจหรอกครับเอาแค่ ประเทศไทยผมก็รู้แล้วว่านายกฯจะมานั่งทำตามที่ คนวิจารณ์ทุกเรื่องไม่ได้ ก็เหมือนกับที่พวกอเมริกัน คอยแต่โจมตีจีนว่าไม่เป็นประชาธิปไตยแต่ไม่รู้ว่า จริงๆแล้วจีนมีปัญหาร้อยแปดนะแหละ (ได้แต่ละเลงสีใส่ไข่ตามกระดาษเปื้อนหมึกไปวันๆ..เฮ้อ) เปื้อนหมึกมันดีกว่าเปื้อนเลือดนะคุณ ผมไม่ชอบวิธี การรุนแรงแต่ถ้าจะรุนแรงต้องเด็ดขาดไปเลย สิ่งที่บุชทำอยู่มันครึ่งๆกลางๆ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 10 ก.ย. 47 10:09:22 A:10.36.3.79 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณคุณกุลธิดามากครับที่ให้ความกระจ่าง กับผมในเรื่องนี้ พวกนีโอคอนส์นั้นมีโลกทัศน์ ที่คับแคบที่คิดว่าสหรัฐสามารถจัดการเรื่องทุก อย่างในโลกได้ ซึ่งจริงๆแล้วสหรัฐทำไม่ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ ประการหนึ่ง ก็คืองบประมาณ สหรัฐจะไปเอาเงินที่ไหนมา เที่ยวทำสงครามได้ตลอดเวลานอกจากจะต้อง ออกพันธบัตร การก่อหนี้สาธารณะมากๆนั้นไม่ เป็นผลดีกับสหรัฐในระยะยาว ผมจึงไม่ชอบ พวกเรแกนหรือนีโอคอนส์มากนัก เพราะถ้า เศรษฐกิจสหรัฐเป็นอะไรไปประเทศอื่นๆ เดือด ร้อน ผมเองก็เดือดร้อนจากการที่สหรัฐบุกอิรัก เพราะน้ำมันแพง ค้าขายฝืดเคือง พวกนีโอคอนส์ มันบ้าจริงๆนะแหละ อีกอย่างหนึ่งผมติดตามการเมืองมาในหลายประเทศ เนื่องจากเคยย้ายไปทั่วโลกผมมองเห็นว่าคุณกลุ่มน้อย บางกลุ่มมักจะควบคุมนโยบายในพรรคการเมืองเพื่อ ผลประโยชน์หรืออุดมการณ์ของตนได้เสมอแม้ว่ามัน จะไม่เป็นผลดีกับคนหมู่มากก็ตาม สามีของเพื่อนร่วมชั้นผมในสหรัฐเคยบอกว่าการที่ป๋า บุช (บุชผู้พ่อ) เลือกแดน เควล มาสมัครคู่กับตนก็ เพราะต้องการเอาใจคนแก่ในพรรครีพับลิกันซึ่ง อีตานี่ก็เป็นพวก Ultra-conservative จอมเปิ่นนั่นเอง จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 10 ก.ย. 47 10:25:07 A:10.36.3.79 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 35 (โชคดีที่สมัยนั้นบุชคนพ่อมองเห็นว่าเเผนการณ์นั้น ไม่เพียงเเต่งี่เง่าเท่านั้น เเต่ยังเป็นอันตรายต่ออเมริกา เองเเละต่อสังคมโลกด้วย บุชผู้พ่อจึงไม่เล่นด้วย) ป๋าบุชเคยเป็น ผอ.CIA กับเอคอัครราชฑูตสหรัฐ ประจำจีนจึงมีโลกทัศน์ที่กว้าง และลูกบุชโตมาแบบ Prepies (ลูกคุณหนู) และไม่ค่อยได้อยู่ต่างประเทศ เลยไม่ค่อยกว้างเลยต้องฟังคนอื่นมากไปหน่อย แต่เพื่อนผมก็เคยล้อเลียนป๋าบุชหนักไปหน่อย โดย โผล่เข้าไปทำล้อเลียนป๋าบุชหาเสียงในโรงอาหาร แล้วก็มีเพื่อนอีกคนโผล่มาใช้ปืนปลอมยิงและตะโกน ว่า ไอ้บุชทำให้พ่อฉันตกงานจนต้องฆ่าตัวตาย งั้น ตายซะเถอะ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 10 ก.ย. 47 10:32:39 A:10.36.3.79 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมเองก็ทราบว่าพวกฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาก็ยังแบ่งเป็น ฝักเป็นฝ่ายทั่วโลก ผมขอถามคุณกลุธิดาอีกนิดนะครับ ว่าไอ้จอมเปิ่นอย่างแดน เควล นี่เป็นนีโอคอนส์กะเค้ารึ เปล่าครับ รวมทั้งจอมแสบอดีตประธานสภาผู้แทน ราษฎรอย่างพ่อนิวต์ กริงกริช ที่เคยใช้แถลงการณ์ "Contract with America" หาเสียงจนลือลั่นจนท้าย ที่สุดก็อาศัยสภาผู้แทนก่อวิกฤติงบประมาณกับท่าน คลินตันมาแล้วจนตอนนั้นสถานฑูตในไทยต้องปิด ประเทศ Anglo-Saxon นั้นดีอยู่อย่างหนึ่งคือพรรคสุด โต่งจะไม่ค่อยมีโอกาสกุมอำนาจเหมือนในฝรั่งเศส จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 10 ก.ย. 47 10:45:24 A:10.36.3.79 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมขอตัวไปทำงานวิจัยต่อนะครับ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 10 ก.ย. 47 10:47:53 A:10.36.3.79 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 38 “ กระทู้เเนะนำหนังสือหรือคะ เเนะนำบ้างนะ กำลังอ่าน Losing America: Confronting a Reckless and Arrogant Presidency ของ Sen. Robert Byrd อยู่ค่ะ ” กระทู้นี้ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าUnfairenheit 9/11 The lies of Michael Moore ภาค2 คงไม่ใช่กระทู้แนะนำหนังสือมังคะอาจารย์กุลธิดาทำไมถึงตีความออกทะเลไป อย่างนั้นได้ ดิฉันเองเห็นคุณ B.F.Pinkerton แนะนำหนังสือซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ ก็เป็นการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลบุชตามแบบฉบับนักวิชาการหัวเสรี นิยมมา ก็เลยขอแลกเปลี่ยนอีกมุมมองบ้างไงคะจะได้มีหลากหลายมุมมองคละ เคล้ากันไปเพราะห้องต่างประเทศ ราชดำเนิน ณ พันทิพดอทคอมแห่งนี้มีเสียง สะท้อนของฝ่ายต่อต้านบุช อมริกา อิสราเอลและชาวยิวมามากเกินพอแล้วค่ะ ขอหนึ่งเสียงของเอื้องอัยราวัณมาสะท้อนอีกด้านหนึ่งของเรื่องราวน่าจะเป็นประ โยชน์ต่อการเปิดโลกทัศน์ของคนที่เข้ามาเสพข้อมูลในพันทิพด้วยนะคะ อ่านหรือฟังแต่เรื่องราวด้านเดียวกร่อยแย่เลยค่ะ แต่ถ้าต้องการให้เป็นกระทู้แนะ นำหนังสือล่ะก็ดิฉันยินดีร่วมแจมเสมอ... จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 10 ก.ย. 47 17:21:56 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อยากบอกคุณตะเกียงลานเช่นกันค่ะว่ากระทู้ของดิฉันซึ่งมีหัวข้อว่า “ why do you like America ” ที่โดนลบทิ้งไปนั้นดิฉันเข้าไปตอบหรือแย้งด้วยเหตุผลเสมอเมื่อเห็นว่าข้อมูลนั้นควรได้รับการ แก้ไขและต้องขอย้ำว่าในมุมของดิฉันนะคะส่วนใครจะเชื่อหรือไม่นั้นเป็นสิทธิของคนอ่านค่ะ แต่..ดิฉันเองก็มีสิทธิที่จะแย้งความเห็นของผู้ที่เข้ามาให้ความเห็นด้วยเช่นกันถ้าดิฉันมีข้อมูลหรือ รู้ในสิ่งที่จะพูดหรือไม่ขี้เกียจที่จะเข้าไปแจม..เผอิญว่าดิฉันมิใช่คนตั้งกระทู้แล้วจะทิ้งไปเฉยๆ อ่ะค่ะ...รุกและรับน่าจะเป็นการเพิ่มสีสันให้กับห้องต่างประเทศบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ..แต่ทว่า บางท่านอาจตีความเป็นอื่นไปกระทู้ก็เลยมีอันต้องอันตรธานหายจากไปด้วยประการฉะนี้แล ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะขอแค่บ่นเล็กๆกับพันทิพเท่านั้นเอง จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 10 ก.ย. 47 18:17:41 ]

ความคิดเห็นที่ 40 “...ถ้าจะพูดถึง Sen. Byrd คุณเอื้องอย่าลืมบอกด้วยนะคะว่า Sen. Byrd ทำงานวนเวียนอยู่ในคองเกรสมา 52 ปี เเล้ว เป็นเซเนเตอร์ที่รู้สึกว่าจะทำงานมานานที่สุดเเละเป็นเซเนเตอร์ติตต่อกันมาหลายสมัยที่สุดในตอนนี้ อีก อย่างถ้าจะพูดถึง Constitution เเล้ว หาคนที่รู้ลึกซึ้งเเละเข้าใจ Constitution ของอเมริกาเท่ากับ Sen. Byrd ยาก ท่านยึดมั่นกับ Constitution ถึงขนาดพก Constitution เล่มเล็กๆไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอดเวลา ..” ดิฉันเชื่อว่าเวลาที่คนๆหนึ่งสนใจจะซื้อหนังสือสักเล่มมาอ่านเพื่อหาความรู้หรือความบันเทิงก็ตามนอกเหนือ จากเนื้อหาของหนังสือแล้วการรู้ว่าผู้เขียนเป็นใครมีประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้างน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับ ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ไม่แปลกหรอกค่ะที่ดิฉันมักจะเห็นคำกล่าวของ Sen. Byrd วิพากษณ์วิจารณ์ โจมตีนโยบายประธานาธิบดีบุช Sen. Byrd นั้นมีประวัติด่างพร้อยเยอะเหมือนกันค่ะอาจารย์กุลธิดา Sen. Byrd คนนี้นี่เองที่เป็นอดีต Grand Kleagle ของกลุ่ม the Ku Klux Klan (KKK), a White Supremacist Group ไม่ต้องบอกก็คงทราบนะคะว่ากลุ่มนี้เป็นองค์กรที่มี *ชื่อเสีย* และอันตรายขนาดไหนซึ่งถือว่าเป็น " terrorist organization " ด้วยค่ะอาจารย์กุลธิดานั่นทำไมวุฒิสมาชิกมลรัฐเวสเวอร์จิเนียจากพรรคเดโมแครตวัยดึกผู้นี้ถึงได้ฉายานาม ตามอดีตอันฉาวโฉ่ว่า * the Klansman * อเมริกันชนผิวดำคุ้นเคยกับองค์กร KKK นี้ดีค่ะในอดีตนั้น KKK(a racist hate group that lynches black people) มีประวัติอันยาวนานในการสังหารกลุ่มชนผิวดำในอเมริกาด้วยการจับเหยื่อไปแขวนคอตามต้นไม้ให้กลาย เป็นศพไร้ญาติมาหลายร้อยพันศพแล้วเพราะเป็นองค์กรที่มีนโยบายเหยียดผิวอย่างรุนแรงโดยมองว่ากลุ่มชน ผิวดำด้อยและต่ำต้อยกว่ากลุ่มชนผิวขาวนั่นเอง..มีจุดมุ่งหมายอันสูงสุดคือประเทศอเมริกาควรรักษาไว้ซึ่ง ชนผิวขาวเท่านั้นและสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่งก็คือ kkk นั้นยังเป็นกลุ่มที่คลั่งศาสนาด้วยค่ะ กลุ่ม kkk นั้นเป็นกลุ่มที่สมาชิกประกอบไปด้วย American White Protestant Males และผู้ที่จะเข้าร่วมเป็น สมาชิกของกลุ่มนั้นถูกจำกัดว่าต้องเป็น American White Protestant Males เท่านั้น kkk นั้นเป็นกลุ่มที่ต่อ ต้าน Roman Catholics ตัวยงเลยล่ะค่ะและไม่ใช่มีเพียงชนผิวดำเท่านั้นค่ะที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการกำจัด ให้สิ้นซาก อเมริกันยิว ชาวเกย์ทั้งหลายและชนกลุ่มน้อยที่มิใช่ชนเผ่าผิวขาวก็ตกเป็นกลุ่มเป้าหมายของ kkk ด้วยเหมือนกัน คดีอาชญากรรมโด่งดังที่ก่อขึ้นโดยกลุ่ม kkk ของ Sen. Byrd นั้นเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องการ ลอบสังหาร Medgar Evers ผู้นำผิวดำที่ Mississippi ผู้ที่ลงมือสังหารนั้นถูกผู้ช่วยนายอำเภอจับกุมและคุม ขังในเวลาต่อมา Senator Byrd นั้นเข้าร่วมกลุ่ม kkk ในปี1942 ในขณะที่อายุได้ 26 ปีเป็นอดีตหนึ่งในผู้นำของ kkk พร้อม กับควบตำแหน่งthe "Kleagle" ด้วยซึ่งคำว่า Kleagle นั้นเป็นเทอมที่พวกkkkใช้อ้างถึง * a recruiter * นั่นเอง ซึ่งคนที่ทำหน้าที่เป็น recruiter นี้จะได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงิน $10 ต่อการชักชวนคนขาว หนึ่งคนให้มาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มในตอนนั้น เป็นที่ทราบกันดีค่ะว่ากลุ่ม kkk นั้นเป็นองค์กรเหยียด ผิว ประกอบอาชญากรรมในการเหยียดเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยในอเมริกาโดยเฉพาะคนผิวดำและ non-whites.. Senator Byrd ยังคงไม่ลืมสัญชาติญานเดิมของเค้าค่ะ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ Senator Byrd ได้ spew racist remarks ซึ่งกล่าววลีว่า "white nigger" ถึงสองครั้งในรายการทีวี FOX NEWS SUNDAY นี่เป็นคำ กล่าวเต็มๆของ Senator Byrd ค่ะเมื่อถูกถามถึง the state of race relations in America " They are much, much better than they've ever been in my lifetime," Byrd said. "I think we talk about race too much. I think those problems are largely behind us... I just think we talk so much about it that we help to create somewhat of an illusion. I think we try to have good will. My old mom told me, 'Robert, you can't go to heaven if you hate anybody.' We practice that." Then Byrd warned: "There are white niggers. I've seen a lot of white niggers in my time; I'm going to use that word." ซึ่งคำว่า niggers นี้ถือว่าเป็นคำที่ไม่สุภาพ และ sensitive มากค่ะยิ่งเป็นนักการเมืองอาวุโสยิ่งไม่สมควร พูดออกอากาศเลย ซึ่งต่อมาSenator Byrdได้ออกมากล่าวขอโทษทีหลัง..เห็นรึยังละคะว่าเดโมแครตที่ ประกาศนักประกาศหนาว่าเป็นปากเป็นเสียงให้กับชนผิวดำก็มีสมาชิกพรรคที่อดีตเป็นผู้ร่วมองค์กรเหยียด ชนผิวดำอย่าง kkk เหมือนกันและชาวเดโมแครตทั้งหลายควรจะตระหนักในข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Senator Byrd อดีต the Klansman คนนี้ก็คือเค้าคนนี้แหละค่ะที่ Vote เสียงต่อต้าน Civil Rights Act ในปี 1964 และ Vote เสียงต่อต้าน ultra -liberal Thurgood Marshall และ conservative Clarence Thomas ที่ถูกเสนอชื่อเป็นผู้พิพากษาประจำ the Supreme Court ซึ่งทั้งสองท่านนี้เป็นอเมริกันผิวดำค่ะ..อีกเรื่อง หนึ่งที่อยากเตือนความทรงจำเกี่ยวกับ ex-clansman คนนี้ก็คือ Senator Byrd ประกาศว่าตัวเค้าได้สิ้นสุด การเป็นสมาชิกกับกลุ่ม kkkในปี 1943 แต่นั่นเป็นเพียงคำกล่าวลอยๆเท่านั้นเองค่ะซึ่งต่อมามีการพบหลัก ฐานว่า Byrd นั้นยังติดต่อกับกลุ่ม kkk อยู่หลักฐานชิ้นนั้นก็คือจดหมายที่เค้าเขียนถึง “Imperial Wizard” Samuel Green แห่งแอตแลนต้า อันมีใจความดังต่อไปนี้ "I am a former kleagle of the Ku Klux Klan in Raleigh County and the adjoining counties of the state .... The Klan is needed today as never before and I am anxious to see its rebirth here in West Virginia .... It is necessary that the order be promoted immediately and in every state of the Union. Will you please inform me as to the possibilities of rebuilding the Klan in the Realm of W. Va ....I hope that you will find it convenient to answer my letter in regards to future possibilities." — Robert Byrd in letter to Klan Imperial Wizard Samuel Green of Atlanta, April 8, 1946. จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 10 ก.ย. 47 20:00:22 ]

ความคิดเห็นที่ 41 และอีกคำกล่าวของ Byrd ที่แสดงถึงการเหยียดผิวอย่างชัดเจนในจดหมายของเค้าที่เขียน ถึงวุฒิสมาชิก Theodore Bilbo จากพรรคเดโมแครตที่เป็นพวก Racist อย่างรุนแรงเลย คนนึงเช่นกันก็คือ Byrd wrote that he would never serve in the military "with a Negro by my side. Rather I should die a thousand times, and see Old Glory trampled in the dirt never to rise again, than to see this beloved land of ours become degraded by race mongrels, a throwback to the blackest specimen from the wilds." อย่างที่ดิฉันกล่าวไว้ในตอนแรกค่ะว่า kkk นั้นเป็นกลุ่มที่ต่อต้านพวก Catholics ตัวยงเลย ทีเดียว ดังนั้นจึงไม่แปลกเมื่อปี 1960 ช่วง presidential primary ในมลรัฐเวสเวอร์จิเนีย Byrd นี่เองที่เป็นตัวจักรสำคัญในการเสาะหาความพยายามที่จะหยุดยั้ง Kennedy campaign ด้วยเหตุที่ว่า John F. Kennedy นั้นเป็น Catholic ที่เข้มงวดคนหนึ่งผู้ซึ่งต่อมาได้กลายมา เป็นประธานาธิบดีที่เป็นโรมันคาทอลิกคนแรกของอเมริกานั่นเอง เมื่อรู้ประวัติและจุดยืนตลอดการทำหน้าที่เป็นวุฒิสมาชิกในสภาของผู้ประพันธ์หนังสือ เล่มนี้แล้วทำให้หนังสือของเค้าขาดความน่าสนใจไปเยอะทีเดียวเลยล่ะค่ะByrd นั้นได้ กล่าวโจมตีรัฐบาลบุชว่ารัฐบาลชุดนี้ได้ทำลายเสรีภาพของอเมริกาในขณะที่ตัวเค้าเองใช้ "N" word ซ้ำแล้วซ้ำอีกรวมไปถึง พยายามหยุดยั้งการผ่านญัตติหรือมติในสภาในเรื่อง เสรีภาพและสิทธิขั้นพื้นฐาน สำหรับ Black Americans และสาบานด้วยความไม่ละอาย แก่ใจว่าตัวเค้าเองจะไม่มีทางต่อสู้เคียงข้างในสนามรบกับชาวอเมริกันผิวดำอย่างเด็ดขาด นี่ยังไม่รวมถึงคำพูดที่เป็น anti-Semiticที่แสดงให้เห็นบ้างเป็นบางวาระ นี่น่ะหรือคือ ผู้ที่จะทำหน้าที่วิจารณ์เรียกร้องเสรีภาพสิทธิขั้นพื้นฐานให้กับสังคมอเมริกันช่างสวนทาง กับการกระทำของตัวเองในอดีตซะจริง แนวความคิดของ Robert Byrd ต่างหากล่ะคะที่ จะกัดกร่อน America’s liberties ดังภาษิตที่กล่าวว่า “ สนิมเกิดจากเนื้อในตน ” นั่นแล... จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 10 ก.ย. 47 20:48:28 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ฝากรูปนี้ให้กับผู้ที่ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของ ex-clansman (Senator Byrd) คนนี้ไว้ดูต่างหน้าค่ะ ฮิฮิ :^) จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 10 ก.ย. 47 21:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ต้องขอตัวออกไปดู International Air Show ก่อนค่ะเดี๋ยวมาต่อเรื่อง Pat Buchanan และกลุ่มนีโอคอนส์ผู้ตกเป็นเหยื่อของพวกสร้างกระแส Anti-Semetics ทั้งในยุโรป และอเมริกา จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 10 ก.ย. 47 22:02:03 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขออนุญาตออกนอกกระทู้นะคะ ดิฉันเคยอ่านเจอข้อความหนึ่งในหนังสือธรรมะ ข้อความนั้นมีว่า... คนรอบข้างก็เป็นเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นว่าเราเป็นอย่างไร ถ้ามีคนอยู่รอบตัวเราสัก 10 คน, 8 คนชอบเรา 2 คนไม่ชอบเรา หรือ 6 คนชอบเรา 4 คนไม่ชอบเรา หรือแม้กระทั่ง 3 คนชอบเราแต่อีก 7 คนไม่ชอบเรา ก็ยังแสดงให้เห็นว่าเรายังคงอยู่ร่วมในสังคมกับพวกเขาเหล่านั้นได้อยู่ แต่ถ้าในจำนวน 10 คนนี้มีแค่เพียง 1 คนเท่านั้นที่ชอบเรา เราก็ควรจะพิจารณาตัวเองได้แล้วว่า เรามีอะไรบกพร่องหรือมีข้อเสียอะไรมากมายถึงขนาดทำให้คนถึง 9 ใน 10 คนที่อยู่รอบตัวเราเกิดความรู้สึกกับเราได้ขนาดนี้ จากนั้นก็แก้ไขและปรับปรุงตัวเองเสียเพื่อที่จะเรียนรู้การอยู่ร่วมในสังคมกับผู้อื่นอย่างสงบสุข ก็ลองใช้วิจารณญาณเกี่ยวกับคำสอนนี้ดูแล้วกันค่ะ ว่าจะเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้หรือไม่ เพื่อที่เราจะใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้กับใคร ดิฉันเข้าใจว่าคุณเอื้องคงจะรู้สึกว่าทำไมหลายๆท่านไม่เห็นไปในทิศทางเดียวกันกับคุณเอื้อง เพราะคุณเอื้องคิดว่าตัวเองมีข้อมูลและเข้าใจแนวทางการทำงานของรัฐบาลอเมริกันชุดนี้ ดิฉันเชื่อว่า ถ้าการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลบุชผู้ลูกเป็นไปในทางที่ถูก และแก้ปัญหาตรงจุด ก็คงจะไม่มีเสียงขัดแย้งจากใครหรอกค่ะ จากความคิดเห็นของหลายๆท่านที่ดิฉันได้ตามอ่านในราชดำเนินมานานเกินปีครึ่งนี้ ส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติงานของบุชผู้ลูก เป็นเพราะรู้สึกว่า เราไม่ควรใช้กำลังในการรุกรานผู้อื่น คุณคงเข้าใจคำว่า Reflex นะคะ เหมือนคุณขว้างบอลใส่ผนัง ยิ่งคุณขว้างแรงเท่าไหร่ ลูกบอลที่สะท้อนกลับมาหาตัวคุณก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ว่าชาวโลกเค้าไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามการก่อการร้ายหรอกค่ะ เพียงแต่ต้องการให้ใช้สันติวิธีตั้งแต่แรกเท่านั้นเอง มนุษย์ไม่ใช่สัตว์นะคะที่จะใช้กำลังเข้าตัดสินแพ้ชนะ มนุษย์ต่างจากสัตว์เดรัจฉานก็คือ มนุษย์มีสมองที่จะคิดค่ะ คิดยังไงที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ขอความกรุณาจากคุณเอื้องอีกเรื่องหนึ่งค่ะ ดิฉันไม่อยากให้คุณเอื้องพูดว่าคนที่ไม่ชอบบุชเป็นเพราะกระแส ไม่ชอบใครก็ไม่ชอบตามด้วย หรือเพราะเป็นเรื่องของศาสนาเลยทำให้ไม่ชอบบุช หรือรับฟังข้อมูลข้างเดียวเลยไม่ชอบบุช ดิฉันคิดว่านั่นเป็นการดูถูกความคิดเห็นของผู้อื่นมากไปค่ะ นั่นหมายถึงว่า คุณเอามาตรฐานของคุณในการตัดสินผู้อื่น คือ ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างนั้น ก็เลยคิดว่าคนอื่นก็คงจะทำเหมือนกันกับคุณ ดิฉันเชื่อว่าคนที่เข้าห้องราชดำเนินอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นคนที่สนใจเรื่องความเป็นไปมาของสถานการณ์โลก และต้องมีการรับทราบข้อมูลข่าวสารมาบ้าง อาจจะถูกหรือผิดก็มาแย้งกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ดูถูกความคิดผู้อื่นว่าด้อยกว่าตัวเอง นี่พูดรวมๆเลยนะคะ ไม่ใช่คุณเอื้องหรือใครโดยเฉพาะ ดิฉันว่าแต่ละคนก็รับฟังและสามารถตัดสินใจได้เองว่าตัวเองมีความคิดเห็นยังไงในเรื่องนั้นๆ การที่เค้าไม่เชื่อเราก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าโง่กว่าเรา แต่ในขณะเดียวกันในสายตาเค้า เค้าก็อาจจะมองว่าเราโง่กว่าเค้าก็ได้นะคะ ถ้าคุณเป็นพุทธ คุณจะเข้าใจลึกซึ้งกับคำสอนของพุทธที่ว่า ผลเกิดจากเหตุ ทำเหตุยังไงก็ได้ผลอย่างนั้นค่ะ หากจะแสดงความคิดเห็นที่รุนแรงหรือก้าวร้าวไปบ้างก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ จากคุณ : Tabiti - [ 11 ก.ย. 47 10:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 45 สวัสดีค่ะคุณ Tabiti เห็นชื่อคุณ Tabiti สองครั้งตั้งแต่กระทู้ที่แล้วๆและในกระทู้นี้ที่คุณพูดถึงดิฉันโดยตรงรวมไปถึงที่คุณวิพากษ์ วิจารณ์ความเห็นของดิฉันเกี่ยวกับอเมริกา ประธานาธิบดีบุชและตัวดิฉัน คิดว่าเราไม่เคยเสวนากันมาก่อน นะคะการที่ี่ดิฉันมิได้แย้งคุณกลับไปในกระทู้ก่อนหน้านี้ก็พราะเห็นว่าความคิดเห็นของคุณมันออกนอกเรื่อง อย่างที่คุณกล่าวด้วยความตระหนักดีนั่นล่ะค่ะ คุณ Tabiti อย่างไรก็ตามเมื่อดิฉันเห็นคุณเป็นคนที่ติดตามอ่าน ห้องต่างประเทศนี้มาก่อนเช่นกันอย่างที่คุณได้พูดไว้ในกระทู้ที่แล้วดิฉันก็ขอแสดงความคิดเห็นต่อคำวิจารณ์ ของคุณบ้างนะคะ ในกระทู้ที่แล้วนั้นคุณ Tabiti ได้กล่าวว่า “ คุณเอื้องฯ ถ้าคุณจะโพสต์ด่าว่าอะไรดิฉัน ก็โปรดระลึกไว้ก่อนนะคะว่า นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของดิฉันเท่านั้นเอง แค่ความคิดเห็นส่วนตัวนี่คงไม่ได้ ไปทำร้ายอะไรใครใช่ไหมคะ:) ที่ต้องพูดอย่างนี้เพราะสังเกตมาตลอดที่เข้าห้องราชดำเนินมากว่าปีครึ่งว่าถ้า ใครมีความคิดเห็นไม่ตรงกับคุณ คุณก็จะไม่พอใจมากๆเลยแล้วก็โพสต์เสียดสีเหน็บแนมคนนั้นๆมากมาย ” ดิฉันเกรงว่าคุณ Tabiti คงมิได้ติดตามการโต้ตอบในห้องราชดำเนินจริงอย่างที่คุณพูดมังคะอยากบอกให้คุณ Tabiti ทราบตรงนี้เลยค่ะ่ว่า ดิฉันไม่เคยสบถหรือก่นด่าคำหยาบคายหรือพูดเสียดสีใส่ผู้อื่นก่อนเลยในห้องนี้ ตั้งแต่เข้ามาเล่นที่ห้องต่างประเทศได้บรรจบครบเวลาเกือบสองปีเต็ม แต่ดิฉันขอให้คุณรับทราบไว้ตรงนี้ด้วย ว่าดิฉันจะไม่อดทนกับผู้ที่กล่าววาจาสามหาวจาบจ้วงไปถึงคุณแม่ของดิฉัน เชื้อชาติของคุณแม่ดิฉัน ศาสนา ยูดายและคำพูดหยาบคายป้ายสีต่อตัวดิฉันโดยตรงค่ะ..คุณ Tabiti อาจยอมรับตรงนี้ได้แต่ดิฉันมิใช่เตมีย์ใบ้นี่ คะจะได้นิ่งดูดาย อยากให้คุณ Tabiti รับทราบไว้ตรงนี้เลย เพราะฉะนั้นอย่ากลัวไปเลยค่ะว่าดิฉันจะใช้วาจา ด่าคุณถ้าคุณไม่พูดลำเลิกไปถึงในสิ่งที่ดิฉันกล่าวมาเพราะนั่นมันไม่ใช่วิสัยของดิฉันค่ะอย่าวาดภาพในสิ่งที่ ดิฉันไม่ได้เป็นสิคะคุณ Tabiti..หรือถ้าหากเป็นการถกกันในเรื่องการเมืองนั้นมันก็ต้องดูเนื้อหาและบทสนท นาของผู้ร่วมเสวนาด้วยไม่มีการนำเสนอข้อมูลหรือโต้แย้งเลยแล้วจะเรียกว่าการถกกันได้อย่างไรล่ะคะ จริงมะ? และดิฉันก็เชื่อว่าไม่มีรัฐบาลใดจะดีหมดและเลวหมดสำหรับการเมืองในอเมริกาการทำงานของทุกรัฐบาลที่ ผ่านมามีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งนั้นสำคัญอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกมองมุมไหนส่วนใครจะเสนอข้อมูลที่น่า เชื่อถือมากกว่ากันนั้นคงต้องอาศัยข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้บวกกับความคิดเห็นที่สมเหตุสมผลเป็นหลักค่ะ การที่คุณ เองก็iได้กล่าววาจาเหน็บแนมดิฉันในกระทู้ก่อนหน้านี้ และดิฉันมิได้ตอบคำครหาของคุณไปก็เพราะ -หนึ่งดิฉัน เห็นว่าเนื้อหาที่คุณพูดมิได้เกี่ยวกับกระทู้ -สอง การที่ผู้หญิงมาด่าส่อเสียดใส่กันบนเวบบอร์ดสาธารณะนั้นมันไม่งามนักหรอกค่ะคุณ Tabitiดิฉันคิด ว่าคุณ Tabiti ผู้ซึ่งเป็นหญิงไทยร้อยเปอร์เซ็นเต็ม (ถ้าผิดก็ขออภัยนะคะ) และถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างกุลสตรี ไทยน่าจะตระหนักในเรื่องนี้นะคะ และสามเดี๋ยวจะกลายเป็นกระทู้ชวนทะเลาะกันไปโดยใช่เหตุ.และการที่บางคนโต้ตอบใช้คำพูดด่าดิฉันอย่าง รุนแรง อย่างที่คุณได้พูดไว้ก่อนหน้านี้นั้นดิฉันไม่เก็บเอามาเป็นสาระหรอกค่ะเพราะคำพูดของคนผู้นั้นมัน สะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวและตัวตนของคนผู้นั้นเองค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 12 ก.ย. 47 12:56:48 ]

ความคิดเห็นที่ 46 และขอขอบคุณสำหรับข้อความในหนังสือธรรมะที่คุณ Tabiti อุตส่าห์หยิบยกมาให้อ่านนะคะ หลักธรรมคำสอนในศาสนาพุทธเป็นสิ่งที่ดิฉันเลื่อมใสเสมอค่ะ...คิดว่าคุณคงอยากกล่าวสำนวน ไทยกับดิฉันว่า “ คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ ” แต่ดิฉันขอเลือกก้าวข้ามผืนเสื่อใบนั้นก็ แล้วกันนะคะเพราะความคิดเห็นของชนหมู่มากสะท้อนให้เห็นถึงระบบความคิดของคนในสัง คมนั้นๆแต่ข้อเท็จจริงนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งค่ะด้วยเหตุนี้ปรัชญาในการดำรงชีวิตของดิฉันจึงมิได้ ใช้ความคิดเห็นของชนหมู่มากเป็นเครื่องนำทาง ส่วนเรื่องที่มีคนเห็นต่างจากดิฉันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาค่ะคุณ Tabiti มิใช่นอกเหนือความคาดหมาย ของดิฉันแต่อย่างใดคนเห็นด้วยสิคะแปลกสำหรับห้องราชดำเนินแห่งนี้ ;^) นี่พูดตรงๆนะ อีกอย่าง ดิฉันพูดตอนไหนหรือคะว่าคนที่ไม่ชอบบุชเพราะเป็นเรื่องของศาสนา? อันนี้บอกตรงๆว่าแปลกใจ จริงๆค่ะที่คุณหยิบยกในส่วนนี้มา..คุณ Tabiti เองก็ต้องยอมรับความจริงอยู่อย่างหนึ่งค่ะว่าคนที่ไม่ ชอบบุชนั้นมีหลากหลายเหตุผลไม่ว่าจะเป็นได้รับฟังข้อมูลด้านเดียว เกลียดสงคราม ไม่ชอบบุชเป็น เพราะกระแสนั่นก็ใช่ค่ะ หรือเป็นเพราะบุชสนับสนุนอิสราเอลอย่างที่โลกอารับและมุสลิมมักจะนำ มาโจมตีนั่นก็ใช่ค่ะและนั่นทำไมถึงได้มีข่าวการพยายามทำลายความสัมพันธ์ของอิสราเอลและสหรัฐ อเมริกาเกี่ยวกับเรื่องที่มีการกล่าวหาว่าบุคคลระดับสูงคนหนึ่งในเพนตากอนเป็นสายให้กับอิสราเอล เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนพอสมควรค่ะมีความเป็นไปได้ว่าเรื่อง นี้อาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องทั้ง 1.Political motives โดยมีเป้าหมายหลักในการโจมตีคือ Jewish Americans , AIPAC และ Israel ที่สนับสนุนโดยกลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มหนึ่งของ Kerry ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง อยู่เบื้องหลังเพื่อต้องการสร้างบรรยากาศว่านโยบายของอเมริกาภายใต้รัฐบาลบุชไม่คำนึงถึงผล ประโยชน์ของอเมริกาเป็นหลัก กลุ่มนี้เห็นทีจะหนีไม่พ้นองค์กร Tides Foundation ที่สนับสนุน ทางด้านการเงินให้กับกลุ่มหัวรุนแรง (ไม่ใช่บุคคลทั่วไปนะคะแต่ทำเป็นอาชีพ) ในการประท้วง สงครามอิรัก,เรียกร้องให้อเมริกามีการเปิดพรมแดนมากขึ้น, สนับสนุนให้มีกฏหมายคุ้มครองผู้ ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและสนับสนุนการเผยแพร่ Islamist ideology ในอเมริกา..นอกจาก นี้ Tides ยังเป็นกลุ่มที่สนับสนุนและทำงานร่วมกับองค์กร CAIR (the Council for American Islamic Relations)องค์กร CAIR นี้เรียกตัวเองว่าเป็น “ Muslim civil rights group ” แต่หัวหน้ากลุ่มองค์ กรนี้มีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายฮามาสโดยตรงเลยล่ะค่ะคุณ Tabiti นีฮาด อาหวัดซึ่งเป็น ผู้อำนวยการขององค์กรนี้นั้นได้พูดอย่างเปิดอกว่า “I am a supporter of the Hamas movement.” แรนดัล โรเยอร์ซึ่งมีตำแหน่งเป็น civil rights coordinator ที่องค์กรCAIR ก็ถูกจับกุมพร้อมกับ กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่เวอร์จิเนีย ด้วยข้อหาร่วมกันวางแผน jihadist activities และบาง “charities” ของ CAIRที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาบังหน้าก็ถูก Bush administration ปิดทำการไปเรียบร้อยแล้วค่ะเพราะ เบื้องหลังคือการส่งเงินให้กับกลุ่มฮามาสนั่นเอง องค์กรเหล่านี้ยังเป็นตัวผลักดันให้ผู้ที่พูดภาษา อาระบิกเข้าไปทำงานแทรกซึมในหน่วยงานของ FBI และ CIA ีอีกด้วยโดยได้รับการสนับสนุน จากกลุ่มwhite supremacist ideologies และกลุ่ม anti-Semitic ที่เป็นใหญ่เป็นโตในองค์กรเหล่า นั้นนั่นเอง และ 2. การชิงดีชิงเด่นท่ามกลาง intelligence-agencies นั่นเองเนื่องจากว่าบางกลุ่มคนที่อยู่ใน องค์กร CIA และ FBI นั้นกลัวที่จะสูญเสียอำนาจนั่นเองเพราะบุชได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะ ทำการปรับเปลี่ยนองค์กรทั้งระบบซึ่งข่าวนี้ถูกแพร่ออกมาก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่ของพรรค ริพลับลิกันเพียงไม่กี่วันยังมีรายละเอียดอีกมากมายค่ะขอติดไว้พูดเรื่องนี้ทีหลังขอพูดคร่าวๆให้ คุณฟังแค่นี้ก่อนหรือถ้าหากคุณทราบในสิ่งที่ดิฉันพูดแล้วฟังอีกรอบคงไม่กร่อยนะคะ นี่คือเรื่อง ราวอีกด้านหนึ่งของการเมืองอเมริกาค่ะที่ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยหยิบมาพูดนักหรอกตามสื่อ ของเมืองไทยเราจึงเห็นแต่ผู้คนกล่าวถึงกลุ่มนีโอคอนส์กันในแง่ลบเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่กล่าวเรื่อง นี้ขึ้นมาเพราะเห็นคุณ Tabiti กล่าวว่า “ คนที่เข้าห้องราชดำเนินอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นคนที่สนใจ เรื่องความเป็นไปมาของสถานการณ์โลกและต้องมีการรับทราบข้อมูลข่าวสารมาบ้าง อาจจะถูก หรือผิดก็มาแย้งกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ดูถูกความคิดผู้อื่นว่าด้อยกว่าตัวเอง ” แต่คุณเคยถามตัวเอง บ้างรึเปล่าคะว่าทำไมคนในเวบบอร์ดแห่งนี้ส่วนใหญ่จึงไม่เคยกล่าวถึงกลุ่มล็อบบี้เชื้อสายอาหรับ กลุ่มโปรออยล์ล็อบบี้ กลุ่ม white supremacist ล็อบบี้เลยในการเดินเข้าออกทำเนียบขาวเพราะ ดิฉันตั้งคำถามนี้กับตัวเองยังไงล่ะคะว่าทำไมถึงมีแต่ผู้คนตีความหมายไปว่ากลุ่ม Jewish lobby กลุ่มนีโอคอนส์ ครอบครองอเมริกาทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนั่นเป็นความเข้าใจผิดมากข่าวการ กล่าวหาว่าบุคคลระดับสูงคนหนึ่งในเพนตากอนเป็นสายให้กับอิสราเอลนี่แหละค่ะเป็นบทพิสูจน์ หนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดอันนี้ ทั้งหมดที่ดิฉันกล่าวมาไม่ว่าจะเป็นการรับฟังหรือเลือกฟังข้อมูลด้านเดียว ไม่ชอบบุชเป็นเพราะ กระแสนั้น ดิฉันไม่ได้ใช้มาตรฐานของตัวเองหรอกค่ะแต่มันคือเรื่องจริงที่หาอ่านได้ตามกระดาษ เปื้อนหมึกโดยทั่วไปอย่าลืมด้วยนะคะว่าคุณ Tabiti เองก็กำลังใช้ความรู้สึกที่เกลียดบุชของคุณ เองมาเป็นมาตรฐานตัดสินผู้อื่นอยู่นะคะ ดิฉันขอพูดย้ำตรงนี้อีกครั้งว่าดิฉันไม่เคยกล่าววาจาดูถูก ว่าผู้อื่นโง่กว่าดิฉันหรอกค่ะในทางตรงกันข้ามบางท่านในห้องนี้มากกว่าที่ดูถูกสติปัญญาของดิฉัน อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เข้ามาเล่นที่ห้องนี้แรกๆแล้วลองไปค้นหาในกระทู้เก่าๆได้เลยค่ะมีทุกคำด่า และคำดูถูกถ้ายังพอมีเหลือร่องรอยให้เห็นอยู่บ้างหรือถ้าหากคุณติดตามอ่านห้องต่างประเทศนี้ มานานจริงคุณต้องทราบอย่างแน่นอน..ความคิดเห็นของดิฉันนั้นวางอยู่บนพื้นฐานทั้งในส่วน ความคิดเห็นของตัวเองและข้อมูลสาธารณะซึ่งเป็นข้อมูลจริงสามารถตรวจสอบได้ค่ะอยู่ที่ว่าผู้ อ่านสนใจจะเข้าไปตรวจสอบหรือไม่เท่านั้นเองถ้าหากคนผู้นั้นเข้าไปอ่านในสิ่งที่ดิฉันเขียนแล้ว ล่ะก็จะไม่มีคำถามที่พูดว่า “ อเมริกาค้นพบอาวุธร้ายแรงอะไรบ้างมั้ย? ” ออกมาอีกเด็ดขาดแต่ ผู้ที่ยังตั้งคำถามนี้อยู่คือผู้ที่ไม่เข้าไปอ่านลิ้งค์ที่ดิฉันให้ไว้หรือเพียงแต่ต้องการย้ำความคิดของตัว เองว่าบุชโกหกเท่านั้นเอง และการที่ใครสักคนจะไม่เชื่อดิฉันนั้นดิฉันเคยกล่าวไปหลายครั้ง แล้วค่ะว่าดิฉันไม่แคร์แม้แต่นิดเพราะดิฉันเองคงไปบังคับใจใครให้มาเชื่อดิฉันไม่ได้ที่ดิฉันมา โพสต์ที่นี่ก็เพียงเพราะต้องการนำเสนอข้อมูลอีกด้านไงคะ ส่วนใครจะมองว่าดิฉันโง่กว่าในสาย ตาของคนๆนั้นนั้นก็เป็นสิทธิ์ของคนผู้นั้นค่ะถ้าคนผู้นั้นคิดว่าตัวเค้่าเองรู้จริงหรือฉลาดกว่าดิฉันก็ แสดงภูมิรู้ออกมาได้เลยค่ะสังคมไทยไม่ใช่เผด็จการนี่คะจริงมั๊ย? ดิฉันเองก็จะได้รับข้อมูลใหม่ๆ ด้วยส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของดิฉันอีกเช่นกันค่ะ.. คุณ Tabiti เองยังเชื่อมั่นในความคิดของคุณเองเลยว่าการบริหารงานของบุชผู้ลูกนั้นไม่ถูกต้องแต่ คุณเอามาตรฐานของใครมาวัดล่ะคะ มาตรฐานคุณและคนในห้องนี้อย่างนั้นหรือ? อิรักยังไม่มีการ เลือกตั้งอย่างเป็นทางการเลยอย่ารีบด่วนสรุปสิคะถ้าหากคนอิรักเลือกผู้นำอย่างซัดดัมเข้ามาปก ครองประเทศอีกครั้งตอนนั้นต่างหากล่ะคะถึงจะสมควรกล่าวว่าสงครามอิรักครั้งนี้เป็นสงคราม ที่ผิดพลาดชาวอิรักเท่านั้นค่ะที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุด..แล้วการที่คุณ Tabiti บอกว่าบุชผู้ลูกแก้ปัญ หาไม่ตรงจุดนั้นดิฉันก็อยากจะทราบเหมือนกันค่ะว่าไม่ตรงจุดตรงไหนรัฐบาลชุดนี้ไล่ล่าทั้งบินลา เดนและโค่นล้มจอมเผด็จการอย่างซัดดัมฮุสเซ็นผู้ซึ่งให้ที่พักพิงและสนับสนุนแก่กลุ่มก่อการร้าย อย่างให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สวรรค์บนดินของบินลาเดนในอาฟกานิสถานเป็นอัน ต้องล่มสลาย ผู้หญิงชาวอาฟกันมีสิทธิเลือกตั้ง ได้เรียนหนังสือเทียมชาย เดินสง่าบนเวทีกีฬาระดับ โลกอย่างโอลิมปิกส์มิใช่เพราะอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีบุชคนนี้หรอกหรือ แม้แต่ นักกีฬาอิรักคนหนึ่งผู้ซึ่งวิจารณ์บุชว่าใช้อิรักหาประโยชน์ในทางการเมืองก็อย่าหวังเลยว่าจะได้มี สิทธิพูดวิจารณ์ซัดดัมอย่างที่เค้าวิจารณ์บุชหากซัดดัมยังเรืองอำนาจอยู่ อีกอย่างนักกีฬาชาวอิรักผู้ นั้นคงลืมไปเสียสนิทว่าครั้งหนึ่งในอดีตถ้าเค้าแข่งแพ้ในเกมส์กีฬา เกมส์ชีวิตของเค้าอาจต้องจบลง ที่ห้องทรมานอย่างไม่มีทางเลือกเป็นแน่แท้ ก่อนเหตุการณ์9-11นั้นโลกเราปลอดจากการก่อการร้ายดีอยู่หรอกหรือคะช่างน่าพิศวงจริงๆถ้า โลกเรานี้สงบจริง9-11เกิดขึ้นได้อย่างไร? แล้วเหตุการณ์บอมบ์เวิลเทรดเมื่อปี1993 บอมบ์สถาน ทูตในอาฟริกา บอมบ์the Cole นั่นล่ะภายใต้รัฐบาลคลินตันมิใช่หรือ? ระเบิดที่บาหลีนั่นอีกก็ ก่อนสงครามบุกอิรักมิใช่หรือ? car-bombing of an Israeli-owned hotel in Kenya ก็ก่อนสง ครามบุกอิรักมิใช่หรือ? ที่ดิฉันอยากพูดตรงนี้ก็คือการก่อการร้ายนั้นมีมานานแล้วค่ะนับวันจะ ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ..มิใช่เพราะสงครามบุกอิรักหรอกค่ะแต่เป็นเพราะการนิ่งดูดายไม่ทำอะไร เลยต่างหากและปล่อยให้มีการปลูกฝังความเชื่อแบบผิดๆสร้างเมล็ดพันธ์แห่งความเกลียดชัง แบบถาวรให้กับเด็กทั้งในตะวันออกกลางและโลกมุสลิมที่มีต่อตะวันตก ทุนนิยมและคนนอก ศาสนานี่ต่างหากที่ผู้รักความสงบต่อต้านสงครามอย่างเช่นคุณ Tabiti ไม่ควรมองข้าม ดังนั้น แนวความคิดการสร้างประชาธิปไตยในอิรักถึงแม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาการก่อการร้ายให้หมด สิ้นไปแต่อย่างน้อยก็เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรีไม่ถูกครอบ งำจากผู้นำเผด็จการที่สร้างกระแสปลุกระดมคนในชาติให้ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านคนนอก ศาสนาจะถูกเปิดโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น..จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชและอเมริกาไม่ได้ต้องการสงครามหรอก ค่ะแต่เหล่าผู้ก่อการร้ายนำสงครามมาให้อเมริกาถึงที่โดยมีความเกลียดชังแบบไม่มีที่สิ้นสุด เป็นแรงผลักดัน.สงครามควรเป็นทางเลือกสุดท้ายแต่ก็ต้องไม่ลืมว่าสงครามเป็นหนทางเลือก ทางเดียวของผู้ก่อการร้ายเสมอนั่นทำไมโลกเสรีประชาธิปไตยจึงก้าวช้ากว่าก้าวของผู้ก่อการ ร้ายเราจึงได้เห็นการหลั่งเลือดและน้ำตาให้กับคนบริสุทธิ์ที่ต้องจบชีวิตไม่เคยจางหายไปตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน . จากคุณ : jess - [ 13 ก.ย. 47 12:08:04 A:64.19.80.100 X: TicketID:032370 ]

ความคิดเห็นที่ 47 As the greatest scientist and mathematician of the twentieth century once said: " The world is a dangerous place to live, not because of the people who are evil, but because of the people who don't do anything about it." - Albert Einstein จากคุณ : jess - [ 13 ก.ย. 47 13:46:11 A:64.19.80.100 X: TicketID:032370 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เสียดายที่ผมไม่เห็นด้วยกับไอน์สไตน์ ไม่จำเป็นที่นักวิทยาศาสตร์ระดับโลก จะถูกเสมอไป คุณเอื้องพยายามหว่านล้อมให้คนเชื่อว่า บุชและนีโอคอนส์เป็นเหยื่อของการสร้าง กระแส แต่ผมว่าผลที่ออกมามันก็ฟ้องอยู่ แล้วว่าสิ่งที่บุชทำไม่ได้เป็นผลดีต่อชาวโลก แม้แต่น้อย พวกนีโอคอนส์มีความรู้เรื่องโลก น้อยมาก ลองถามพวกนีดูสิว่าเลโซโธอยู่ที่ ไหนรับรองว่าได้คำตอบแบบฮากลิ้ง (แนวความคิดการสร้างประชาธิปไตยในอิรักถึง แม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาการก่อการร้ายให้หมด สิ้นไปแต่อย่างน้อยก็เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชน ได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรีไม่ถูกครอบ งำจากผู้นำเผด็จการที่สร้างกระแสปลุกระดมคนในชาติให้ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านคนนอก) เสรีในการที่ถูกฆ่าตายนะสิ การโจมตีอิรักโดยใช้หลัก ฐานที่เลื่อนลอยเกี่ยวกับอาวุธร้ายแรงทำให้มีผลเสีย ดั้งนี้ ๑ เปิดประเทศอิรักให้ผู้ก่อการร้ายเข้าไปซ่องสุมกำลัง ถ้าซัดดัมอยู่โอกาสที่บินลาเดนจะซ่องสุมกำลังยาก ๒.บินลาเดน ถล่มอเมริกา อเมริกาควรจะทุ่มกำลัง ไล่ล่าพวกอัลกออิดะห์ซิ มาลงที่อิรักทำไม ไม่เห็น เกี่ยวกันเลย ๓.สหรัฐถือว่าตนเป็นมตรฐานของชาวโลกแต่พอจะ อ้างเหตุโจมตีอิรักกลับเอาสิ่งที่เลื่อนลอยมาอ้างแล้ว มันจะมีความชอบธรรมได้ยังไง แต่ผมเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง ทั้งบุชและบินลาเดนคงจะ ได้ชดใช้กรรมในเร็ววัน จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 13 ก.ย. 47 15:51:45 A:161.200.255.161 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อีกประการหนึ่งผมมองว่าคุณเอื้องก็ไม่ได้แตกต่าง จากพวกมุสลิมที่เข้ามาแสดงความเห็นในห้องนี้ตรง ที่ว่า "ยิวมักจะเป็นเหยื่อของความเกลียดชัง" เช่น เดียวกับที่พวกมุสลิมชอบพูดว่า "มุสลิมมักเป็นฝ่าย ถูกกระทำ" เสมอ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 13 ก.ย. 47 15:57:02 A:161.200.255.161 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 50 "พวกนีโอคอนส์นั้นมีโลกทัศน์ ที่คับแคบที่คิดว่าสหรัฐสามารถจัดการเรื่องทุก อย่างในโลกได้ ซึ่งจริงๆแล้วสหรัฐทำไม่ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ ประการหนึ่ง ก็คืองบประมาณ สหรัฐจะไปเอาเงินที่ไหนมา เที่ยวทำสงครามได้ตลอดเวลา" ถูกต้องที่สุดเลยค่ะคุณปักษาฯ เรื่องนี้ประธานาธิบดีบุชคนพ่อก็เคยตระหนักมาก่อน บุชคนพ่อเเละ ที่ปรึกษาในสมัยนั้นคือ James Baker เคยเขียนไว้ว่าเมื่อครั้งสงครามอ่าวเปอร์เซียปี คศ 1991 เหตุที่ท่านไม่บุกไปถึงกรุงเเบกเเดดเเละโค่นซัดดัม ฮุสเซ็นลงจากอำนาจ ทั้งๆที่ทำได้ไม่ยาก ก็เพราะค่าใช้จ่ายเเละชีวิตทหารที่จะต้องเสียไป บวกกับค่าใช้จ่ายที่จะต้องคงกองทหารไว้ในอิรัคนั้นจะมากมายมหาศาลจนประเทศรับไม่ไหว ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายเเค่คงสถานการณ์ในอิรัคไม่ให้เลวลงนั่นคิดเป็นเงินเเล้วอาทิตย์ละพันล้านดอลล่าร์ค่ะ เงินจำนวนนั้นส่วนใหญ่มาจากเงินที่รัฐบาลกู้มา เเละโยนภาระรับผิดชอบไปให้คนรุ่นหลัง อเมริกาซึ่งถือเป็นประเทศร่ำรวยอยู่เเล้วนี่ จะคงเเบกรับภาระค่าใช้จ่ายสูงขนาดนั้นได้นานเเค่ไหน บุชคนพ่อมองเห็นความล่มจมของประเทศซึ่งจะเป็นผลมาจากการรุกรานอิรัคล่วงหน้าสิบกว่าปีมาเเล้วค่ะ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 47 02:49:06 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 13 ก.ย. 47 22:59:27 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คุณเอื้องคะ เรื่องที่เกี่ยวกับ Sen. Byrd ท่านเคยมีความคิดเห็นอย่างไร เคยทำอะไรบ้างเมื่อหลายสิบปีมาเเล้ว ก่อนที่คุณเอื้อยหรือดิฉันจะเกิดด้วยซ้ำไปนั่นเกี่ยวข้องอะไรกับหนังสือที่ท่านเพิ่งเขียนไม่นานมานี้หรือคะ อย่าใช้วิธีโจมตีผู้เขียนหนังสือก่อนที่จะได้อ่านหนังสือของเขาเสียก่อนเลยดีกว่านะคะ วิธีการเเบบ character assassination ซึ่ง Bush and Co. นิยมใช้นั่น คุณเอื้อยพลอยติดวิธีการนั้นไปด้วยหรือคะ ถ้าจะใช้วิธีการนั้น ดิฉันพูดถึง Ron Kessler เเละความเกลียดชังที่เขามีต่อเดโมเเครต โดยเฉพาะที่เขาเคยเรียกรัฐบาลคลินตันว่า visious บ้างดีใหม อย่าเลยดีกว่าค่ะ เสียเวลาเปล่าๆ ดิฉัน judge a book by its content, not its cover ค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 47 23:18:17 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 13 ก.ย. 47 23:05:41 ]

ความคิดเห็นที่ 52 คุณปักษาฯคะ เเดน เเควลเเละ Newt Gingrich ไม่ใช่ neocon ค่ะ อาจเป็นพวกขวาจัด หรือ conservative สุดกู่ เเต่ 2 คนนี่ไม่ใช่ neocons ค่ะ พวก neocons เป็นพวกนักวิชาการ พวกบ้าทฤษฎี เเต่ไม่เคยมีประสบการณ์ในเเง่ปฎิบัติเลย พูดง่ายๆว่าพวกนี้ก็เหมือนคนที่นั่งคิดฝันทฤษฎีต่างๆนานาอยู่ในห้องเเอร์ เเต่ไม่รู้ว่าทฤษฎีของตัวนั้นเอาไปใช้ในเเง่ปฎิบัติได้หรือเปล่า หรือว่าเอาไปใช้ในเเง่ปฎิบัติเเล้วจะมีผลอย่างไร ที่น่าคิดอีกอย่างคือพวก neocons มีความสัมพันธ์กับอิสราเอลหัวรุนเเรงกลายๆด้วยค่ะ ในเมื่อคุณเอื้อยยังไม่พูดถึงเรื่องที่ดิฉันยกขึ้นมา ก็อยากเล่าเรื่องที่ FBI กำลังสอบสวนคนในกลุ่ม neocons ซึ่งได้ตำเเหน่งสูงๆในคณะรัฐบาลนี้อยู่นะคะ เรื่องนี้เริ่มเมื่อมีงานประชุมร่วมระหว่างสถานทูตอิสราเอลในสหรัฐกับกลุ่มล๊อบบี้ของคณะกรรมการที่ชื่อ American Israel Public Affairs Committee หรือ AIPAC ระหว่างที่มีการร่วมทานอาหารกลางวันกันนั้น เจ้าหน้าที่คนนึงของรัฐบาลสหรัฐคือ Larry Franklin ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในเพนตากอน ในหน่วยงาน Near East and South Asia ของเพนตากอน เดินเข้าไปร่วมประชุมด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ FBI ไม่คาดฝันมาก่อน เพราะการประชุมนั้นเป็นการประชุมระหว่างยิวเเละยิวด้วยกันเอง เมื่อ FBI เห็น Larry Franklin ในงานนั้น เจ้าหน้าที่ FBI จึงเริ่มจับตาดูนาย Franklin หลังจากที่จับตาดูนาย Franklin มาระยะนึง ก็เริ่มเห็นว่ามีการส่งผ่านโยบายเเละ intelligence ที่สหรัฐมีต่ออิหร่าน (เป็นนโยบายที่ไม่ classified คือไม่เปิดเผยในที่สาธารณะ) ไปถึงอิสราเอล เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐหลายคนพูดถึงกรณีนี้ว่าเป็น "the case of the most significant Israeli expionage investigation in Washington since Jonathan Pollard." Jonathan Pollard คือคนสัญชาติอเมริกันซึ่งเป็นสายให้อิสราเอล เเละถูกจับได้ โดนพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตเมื่อปี คศ 1987 ค่ะ ข้อหาคือนาย Pollard ส่งข้อมูลลับของ US Navy ไปให้อิสราเอล ยิ่งกว่านั้น FBI ยังพบว่า Larry Franklin ส่งข้อมูลจากเอกสารลับมากมายของเพนตากอนไปถึงอิสราเอลด้วยค่ะ เรื่องของเรื่องคือ Larry Franklin คือหนึ่งในกลุ่ม neocons ซึ่งกำลังมีอิทธิพลอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ในขณะนี้ค่ะ หัวหน้าโดยตรงของ Larry Franklin คือ William Luti ซึ่งเคยเป็นลูกน้องของ Newt Gingrich นาย William Luti ดำรงตำเเหน่ง deputy assistannt secretary of Defense ในการวางเเผนรุกรานอิรัค เเละทำงานอยู่ในออฟฟิตของ Douglas Feith ซึ่งเป็น neocon ระดับหัวเเถวด้วย นาย Douglas Feith นี่ ก่อนที่จะได้ตำเเหน่งในเพนตากอนเคยดำรงตำเเหน่งที่ปรึกษากลุ่ม Likud ของอิสราเอล Likud คือพรรคการเมืองของนาย Ariel Sharon นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอิสราเอล ยิ่งกว่านั้นกลุ่ม neocons ของนาย Douglas Feith เเละ Larry Franklin ยังมีส่วนเกี่ยวพันกับกลุ่มต่อต้าน mallahs ของอิหร่านด้วย ตัวอย่างความสัมพันธ์ของ neocons กลุ่มนี้กับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลปัจจุบันของอิหร่านก็คือ Larry Franklin เเละผู้ร่วมงานอีกคนของเขาคือ Harold Rhode มีการพบปะกับ Manucher Ghorbanifar ซึ่งเป็นนักค้าอาวุธชาวอิหร่านหลายครั้ง ครั้งล่าสุดคือการพบกันที่กรุงปารีสในปี คศ 2001 นาย Manucher Ghorbanifer วางเเผนโค่นรัฐบาลอิหร่านมานานเเล้วค่ะ อีกเรื่องที่อยากพูดถึงคือ กลุ่ม neocons ในคณะรัฐบาลบุชนี่ได้ก่อตั้งหน่วยงานลับภายในเพนตากอนมานานเเล้ว คือตั้งเเต่เมื่อคนพวกนี้เข้ายึดครองเพนตากอนใหม่ๆ หน่วยงานนี้ใช้ชื่อว่า Office of Special Plans หรือ OSP พูดง่ายๆว่าตั้งขึ้นเพื่อเเข่งกับ CIA ในการหาข้อมูลในลักษณะที่เป็นข้อมูลที่ตนต้องการ กลุ่ม OSP ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดในคณะรัฐบาลนี้คือ Donald Rumsfeld เเละ Dick Cheney ถึงได้คงอยู่ได้จนทุกวันนี้ ที่สำคัญคือข่ายงานของกลุ่มนี้ทำหน้าที่เหมือนรัฐบาลเงา เเละไม่ได้รับค่าจ้างจากเงินภาษีของประชาชน ถึงได้ไม่ต้องรายงานตรงต่อสภาคองเกรสหรือต่อหน่วยงานอื่นในรัฐบาล หน่วยงานนี้เเหละค่ะที่เป็นหน่วยงานที่ป้อนข้อมูลเรื่องซัดดัม ฮุสเซ็นเเละ WMD ให้กับคณะรัฐบาลเพื่อสร้างเหตุผลในการรุกรานอิรัค สิ่งที่หน่วยงาน OSP ทำก็เช่นทันทีที่เกิดเหตุการณ์วันที่ 11 กันยา ปี 2001 นาย Rumsfeld เเละ Paul Wolfowitz พยายามหาเหตุโยงเหตุการณ์ 11 กันยาให้ไปถึงซัดดัม ฮุสเซ็น เเต่ CIA ไม่สามารถหาข้อมูลยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างซัดดัม ฮุสเซ็นเเละเหตุการณ์ 11 กันยาหรือยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างซัดดัม ฮุสเซ็นกับกลุ่มอัลไคด้าได้ (คนที่อาศัยอยู่ในอเมริกาคงจำได้ว่านั่นคือสิ่งเเรกที่เราได้ยิน ว่าซัดดัม ฮุสเซ็นอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วันที่ 11 กันยา ชื่อ Osama bin Laden เเละ Al Queda คือชื่อที่เราได้ยินหลังจากนั้นหลายวัน) จึงเป็นหน้าที่ของกลุ่ม OSP ที่จะหาข้อมูลโยงซัดดัม ฮุสเซ็นให้ไปถึงเหตุการณ์วันที่ 11 กันยาให้ได้ ถึงได้มีข้อมูลหลุดออกมาว่านาย Mohammad Atta หัวหน้ากลุ่มจี้เครื่องบินวันนั้นเคยพบเจ้าหน้าที่ของซัดดัม ฮุสเซ็นที่กรุงเเบกเเดดในวันที่เท่านั้นเท่านี้ ซึ่งภายหลังจากนั้นสามปี คณะกรรมการสอบสวนกรณี 11 กันยาถึงได้ระบุชัดเจนว่าวันที่ว่านาย Atta อยู่ในกรุงเเบกเเดดนั้น ที่จริงเขาอยู่ในฟลอริดา เพราะมีหลักฐานว่านาย Atta เบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มในไมอามี่ในวันนั้น เป็นต้น พูดง่ายๆว่าหน่วยงาน OSP สร้างหลักฐานด้วยการคัดเลือกเเต่ข้อมูลที่สนับสนุนความคิดเเละความต้องการของคนในกลุ่ม ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะได้มาอย่างไร น่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือเเค่ไหนก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับซัดดัม ฮุสเซ็นที่กลุ่มนี้ได้มาส่วนใหญ่มาจากนาย Ahmad Chalabi (กลุ่มอิรัคกู้ชาติหรือที่เรียกว่า Iraq National Congress) เเละคนที่นาย Chalabi พามา ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น CIA เเละ State Department ภายใต้การนำของ Colin Powell สงสัยมาตลอดตั้งเเต่ต้นว่าเชื่อได้น้อยมาก ครั้งนึง Gregory Thielmann ซึ่งดำรงตำเเหน่งเจ้าหน้าที่อาวุโสในหน่วยงาน intelligent bureau ของ State Department เคยพูดว่าอย่างนี้ค่ะ "The whole thing was bizarre. The secretary of defense (หมายถึง Donald Rumfeld) had this huge defense intelligence agency, and he went around it." ยิ่งกว่านั้น OSP ยังเป็นสายโดยตรงระหว่างทำเนียบขาวกับกลุ่มอิรัคกู้ชาติเเละ intelligence operation ภายใต้การนำของนาย Ariel Sharon ด้วยโดยไม่ต้องผ่านกลุ่ม Mossad ช่วงก่อนบุกอิรัคหน่วยงานกลุ่มนี้ของนาย Sharon เป็นอีกหน่วยงานที่คอยป้อนข้อมูลเกี่ยวกับซัดดัม ฮุสเซ็นไปถึงทำเนียบขาวโดยผ่านกลุ่ม OSP ข้อมูลที่ทำเนียบขาวได้จากหน่วยงาน Intelligence ของอิสราเอลนี้จะเป็นข้อมูลประเภทที่เจ้าหน้าที่คนนึงของ State Department เรียกว่าข้อมูลเเบบ alarmist เกี่ยวกับอิรัคภายใต้การนำของซัดดัม ฮุสเซ็นทั้งสิ้น คือเป็นข้อมูลที่ชี้ไปในทำนองที่ว่าซัดดัม ฮุสเซ็นเป็นภัยอันใหญ่หลวงเเละเป็นภัยอันเร่งด่วนต่อความปลอดภัยของสหรัฐเเละของโลก เจ้าหน้าที่คนนึงของนำเพนตากอนพูดถึงคนกลุ่มนี้ว่าอย่างนี้ค่ะ "None of the Israelis who came were cleared into the Pentagon through normal channels. Instead they were waved in on Mr. Feith's authority without having to fill in the usual forms. The exchange of information continued a long-standing relationship Mr. Feith and other Washington neoconservatives had with Israel's Likud party." ส่วน neocon ระดับหัวเเถวอีกคนคือนาย Richard Perle ในปี คศ 1996 Richard Perle เป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าพรรค Likud ในสมัยนั้นซึ่งก็คือนาย Benjamin Netanyahu สองคนนี้เขียน policy paper ไว้ร่วมกันภายใต้ชื่อว่า A Clean Break: A New Strategy for Securing the Realm โดยระบุว่าต้องหาทางกำจัดซัดดัม ฮุสเซ็นให้ได้ นอกจากนี้ก็ต้องกำจัด Syria, Lebanon, Saudi Arabia เเละ Iran ถ้าไม่กำจัดก็ต้องหาทาง destabilised ทั้ง 5 ประเทศนี้เพื่ออิสราเอลจะได้ปลอดภัยอย่างเเท้จริง คุณเอื้องว่างๆก็หา paper นี้มาอ่านด้วยนะคะ อ้อ...ส่วนข่าวลือที่ว่าก่อนอิรัคถูกบุก ซัดดัม ฮุสเซ็นขนย้าย WMD ไปไว้ที่ซีเรียเเละที่อื่นๆนั้นมาจาก intelligence ของอิสราเอลกลุ่มที่ว่านี่เเหละค่ะ หน้าที่ของ OSP คือ absorb ข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเเต่ง, rumour, outright lies, หรือ plain disinformation เเล้ว 'made it a "product"' เพื่อเสนอต่อไปยัง Dick Cheney, Lewis Libby (chief of staff ของ Cheney) เเละ Stephen Hadley ผู้ช่วยของ Condoleezza Rice รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆในทำเนียบขาวเเละ national security council จากนั้นก็ leak ข้อมูลบางส่วนออกไปยังสื่อต่างๆ เพื่อสื่อจะได้ช่วยเป็นปากเสียง เผยเเพร่ข้อมูลบางส่วนต่อไปยังสาธารณะชน แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 47 07:05:26 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 14 ก.ย. 47 00:17:56 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ดูรูปปัจจุบันของ Sen. Robert Byrd เเละอ่านความคิดเห็นปัจจุบันของท่านดีกว่านะคะคุณเอื้อง คนเราคิดอย่างไร เป็นอย่างไรเมื่อห้าสิบกว่าปีที่เเล้วนั่น มันเอามาเป็นเครื่องตัดสินความคิดของเขาในปัจจุบันไม่ได้หรอกค่ะ เวลาต่างกัน สถานการณ์ความเป็นไปในประเทศต่างกัน ความเชื่อเเละความคิดเห็นของคนเปลี่ยนไปได้ค่ะ วัดกันที่ความคิดเเละการปฎิบัติของคนเราในปัจจุบันจะถูกต้องกว่าค่ะ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 47 03:00:41 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 14 ก.ย. 47 02:42:37 ]

ความคิดเห็นที่ 54 สำคัญคือข่ายงานของกลุ่มนี้ทำหน้าที่เหมือนรัฐบาลเงา เเละไม่ได้รับค่าจ้างจากเงินภาษีของประชาชน ถึงได้ไม่ต้องรายงานตรงต่อสภาคองเกรสหรือต่อหน่วยงานอื่นในรัฐบาล หน่วยงานนี้เเหละค่ะที่เป็นหน่วยงานที่ป้อนข้อมูลเรื่องซัดดัม ฮุสเซ็นเเละ WMD ให้กับคณะรัฐบาลเพื่อสร้างเหตุผลในการรุกรานอิรัค แล้วคนกลุ่มนี้เอาเงินมหาศาลจากที่ไหนมาใช้จ่ายครับอาจารย์กุลธิดา จากคุณ : ตะเกียงลาน - [ 14 ก.ย. 47 09:38:30 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ดิฉันโต้แย้งไม่เก่งหรอกค่ะคุณเอื้อง ดิฉันก็พูดตามความรู้สึกของดิฉันเท่านั้นเอง จะว่าเกลียดก็แรงไปนะคะ เพราะบุชไม่ได้มาทำร้ายอะไรโดยตรงกับดิฉันนี่คะ เพียงแต่รู้สึกไม่ชอบแผนการดำเนินงานของเค้าที่ก่อให้เกิดความรุนแรงและสูญเสียมากมาย ที่ดิฉันคิดว่ารัฐบาลของบุชผู้ลูกดำเนินการไม่ถูกต้องนั้นก็เพราะสิ่งที่มันเห็นกันอยู่อย่างเห็นได้ชัดตอนนี้ไงคะ ผลที่มันเกิดไงคะ ความสูญเสียรุนแรงที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้ที่มันอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว คุณยังมองไม่ห็นอีกหรือคะ ซึ่งถ้าการบริหารงานของพวกเค้าถูกต้องอย่างแท้จริง ความรุนแรงและความสูญเสียมันก็จะไม่เกิดขึ้นมากถึงขนาดควบคุมไม่ได้อย่างนี้หรอกค่ะ หรือคุณคิดว่ารัฐบาลอเมริกันควบคุมสถานการณ์ในอิรักตอนนี้ได้? ดิฉันดูข่าวยังจำได้ว่า จอร์ช ดับเบิ้ลยู บุช ประกาศว่า สงครามจบแล้ว เรา(และเหล่าพันธมิตร) ชนะแล้ว ชนะตรงไหนเหรอคะ คุณลองนับดูแล้วกันว่ามีคนเสียชีวิตไปแล้วกี่พันคน และยังจะมีคนเสียชีวิตไปอีกกี่คนถึงจะถึงจุดสิ้นสุด สงสัยเกือบหมดโลกเลยมั้ง ก็แค่อยากจะรู้เท่านั้นเองว่า รัฐบาลของจอร์จ บุชตอนนี้ จะทำให้มันจบได้อย่างไรกับสิ่งที่พวกเขาได้เริ่มต้นขึ้น และเมื่อไหร่ที่มันจะจบ? ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ ก็เลยต้องเดินหน้าต่อไป อย่างนั้นหรือคะ? แล้วอีกกี่ชีวิต อีกกี่ความสูญเสียถึงจะทำให้มันสิ้นสุด มันเศร้านะคะคุณ จากคุณ : Tabiti - [ 14 ก.ย. 47 18:31:21 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ผมเคยเชื่อว่าซัดดัมมีอาวุธทำลายล้างสูงจริง แต่หลังจากที่สหรัฐบุกอิรักแล้วไม่พบอะไร ผมเลยเลิกเชื่อครับ เช่นกันครับสำหรับท่านวุฒิสมาชิกเบิร์ดคนเรา ความคิดเปลี่ยนกันได้ครับ ก็ขอขอบคุณกุลธิดา และคุณเอื้องฯสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับพวกอนุรักษ์ นิยมจัดกับพวกอนุรักษ์นิยมใหม่ ผมเคยเป็นลูก ศิษย์ของแดน เควลกับลอเรนซ์ อีเกิ้ลเบอร์เกอร์ ในวิชานโยบายต่างประเทศสหรัฐ บอกตามตรงว่า โลกทัศน์ของตาแดนในเรื่องต่างประเทศมันคับแคบ เหลือเชื่อจริงๆ ผมชอบการเมืองในอดีตของสหรัฐ ที่ไม่ค่อยมีพวกสุดโต่งเข้ามามีอิทธิพลมากแต่ ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปจริงๆ ถ้าเป็นฝรั่งเศสก็มีแต่ พวกสุดโต่งแล้วแต่จะมากจะน้อยพวกสายกลาง ไม่มีเลยจริงๆ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 14 ก.ย. 47 18:34:34 A:202.28.78.70 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 57 "ซัดดัม ฮุสเซ็นขนย้าย WMD ไปไว้ที่ซีเรีย" จะขนอาวุธโดยที่ดาวเทียมสอดแนมของสหรัฐ จับไม่ได้ เป็นไปได้ไง? แล้วเราจะต้องต่อภาค ๓ กันมั๊ยเนี่ย คุณTabitiครับใจเย็นๆนิดหนึ่งนะครับ ผมเห็นด้วยครับกับผลร้ายที่บุชบุก อิรัก อย่างน้อยก็ต้องใช้น้ำมันแพงขึ้น ครับ การวางแผนของพวกนีโอคอนส์ ผิดพลาดหลายเรื่อง บรรดานายทหาร ระดับสูงของสหรัฐเองก็ไม่พอใจแผน การรบของตาเฒ่ารัมส์เฟลด์เหมือนกัน แต่ไม่รู้จะทำยังไงเพราะเป็นรัฐมนตรี กลาโหม เป็นผู้บังคับบัญชา ตาเฒ่า คนนี้น่าจะแสดงสปิริตลาออกไปได้แล้ว น่าด้านจริงๆ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 14 ก.ย. 47 18:52:26 A:202.28.78.70 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 58 แฮ่ๆๆ ดิฉันป่าวใจร้อนนะคะ คุณปักษาวายุ แต่มันอินน่ะค่ะ เพราะดูข่าวทุกวัน มีแต่เรื่องสูญเสียทุกครั้ง เดี๋ยวก็ทหารอเมริกันเสียชีวิต เดี๋ยวก็ชาวอิรักรวมทั้งเด็กทั้งผู้หญิงเสียชีวิต เดี๋ยวก็ตัวผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต (อันนี้ก็คงจะสมควรค่ะ) อย่างนี้ทุกวันเลยนะคะ มันก็เลยหดหู่น่ะค่ะ ดิฉันดูรายการข่าวเจาะประเด็นการเลือกตั้งในสหรัฐฯที่กำลังจะมีขึ้นทางสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เค้าบอกว่า ดิ๊ก เชนีย์ รองประธานาธิบดี มีอำนาจมากกว่าตัวจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ท่านประธานาธิบดีเสียอีก เลยสงสัยว่าจริงหรือเปล่าคะ จากคุณ : Tabiti - [ 14 ก.ย. 47 19:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 59 จริงๆเรื่องการกล่าวหาว่าามีบุคคลระดับสูงคนหนึ่งในเพนตากอนเป็นสายให้กับอิสราเอล เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้นกำลังมีการสอบสวนอยู่แต่อาจารย์กุลธิดา Dunagin กลับสรุปเป็นรื่องเป็นราวไปก่อนการสอบสวนของFBIจะเสร็จสิ้นเสียแล้วโดยผลักความ ผิดและภาพลักษณ์ในด้านลบไปให้อิสราเอลเสียแล้ว ที่ดิฉันยังมิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในทัน ทีนั้นก็เป็นเพราะกำลังติดตามการสอบสวนอยู่ค่ะนั่นทำไมดิฉันถึงมิได้สรุปตายตัวลงไปว่า เรื่องราวมันเป็นอย่างไรแต่ใช้คำว่า “ มีความเป็นไปได้ว่า ” แทนยังไงล่ะคะอาจารย์กุลธิดา แต่เมื่อเห็นอาจารย์กระตือรือร้นเรื่องนี้เป็นพิเศษดิฉันก็จะขอกล่าวถึงเรื่องนี้เลยละกัน..แต่ ก่อนที่จะเข้าถึงรายละเอียดขอพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอิสราเอลก่อนนะคะ มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าทั้งสองประเทศนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดมาไม่ว่าคณะรัฐ บาลของสหรัฐจะเป็นเดโมแครตหรือรีพลับริกันก็ตามถึงแม้ว่าทั้งสองประเทศจะมิได้เห็น พ้องต้องกันในทุกๆเรื่องแต่ทั้งสองประเทศก็แชร์valuesร่วมกันในหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น ด้านการศึกษา การค้นคว้าวิจัย ศาสนา เศรษฐกิจ และระบอบการปกครองไม่ว่ารัฐบาลชุด ต่อไปจะเป็นเดโมแครตหรือริพลับลิกันมิตรภาพระหว่างประเทศทั้งสองก็ยังคงการันตีได้ ว่าแน่นแฟ้นเหมือนเดิมแต่นโยบายด้านการสร้างสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ อาจมีความแตกต่างกันบ้างระหว่างรัฐบาลเดโมแครตและรีพลับลิกันเมื่อเร็วๆนี้แคร์รี่เองก็ ยังต้องส่ง Cameron Kerry น้องชาย(ยังคงนับถือยูดายค่ะซึ่งภรรยาของเค้าเป็นชาวอิสรา เอลเช่นกัน) ไปอิสราเอลเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชาโรนว่าแคร์รี่นั้นยังอยู่เคียงข้างอิส ราเอลเสมอ (เฮ้อ..ปากหวานอีกตามเคยค่ะ..อิอิ) รวมไปถึงต้องการได้คะแนนเสียงจาก American Jewish voters ด้วยโดยแคร์รี่นั้นได้ส่งสารมาถึงนายกชาโรน, Silvan Shalom รัฐมนตรีต่างประเทศและหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน Shimon Peres โดยมีใจความว่า: " the Kerry administration's policy toward Israel will be such that it will enjoy the support of the Republicans and the Democrats." สำหรับจอห์น เอ็ดเวิร์ดคู่หูของแคร์รี่นั้นก็เป็น a ‘strong supporter of the US-Israel relationship’ ตัวยงคนหนึ่งเลยล่ะค่ะเรื่องของสงครามอิรักเดโมแครตและรีพลับลิกันอาจมีแนวความคิด การแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันแต่เมื่อมาถึงอิสราเอลทั้งสองพรรคนั้นมี่เสียงสนับสนุนส่วน ใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า “ Israel is The United States's most cherished friend and ally ” นั่นไม่ใช่เพราะว่า American Jewish voters เป็นตัวแปรสำคัญอย่างที่หลายๆคนเข้าใจหรอก นะคะเพราะอเมริกันยิวที่มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงนั้นคิดเป็นเปอร์เซ็นก็เพียงแค่ 2%ของ ประชากรทั้งประเทศเท่านั้นอาจไม่ถึงด้วย แต่นั่นเป็นเพราะว่าทั้งสองประเทศ “share common values ” ร่วมกันค่ะไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง democracy, freedom, peace education และsecurity โดยเฉพาะเรื่องการทำวิจัยและด้านการศึกษานั้นมีทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการชาว อิสราเอลมากมายหลายคนที่ทำงานร่วมกันกับอเมริกา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มีกลุ่ม anti-Israel พยายามที่จะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศด้วยการหยิบยกเรื่องสายลับจารกรรม ข้อมูลขึ้นมาเป็นประเด็น อ่านสิ่งที่อาจารย์เขียนเกี่ยวกับข้อกล่าวหาสายลับอิสราเอลในเพนตากอนแล้วด้วยพยายามผูก เรื่องกลุ่ม neo-cons, AIPACs และ อิสราเอลเข้าด้วยกันครบเครื่องเหมือนอ่านทฤษฏีสมคบคิด อยู่เลยค่ะที่นี้ลองมาสอบสวนทฤษฎีที่ว่านี้กันหน่อยเป็นไร เรื่องที่มีการกล่าวหาว่าอิสราเอล ส่งสายลับเข้าไปในเพนตากอนเพื่อล้วงข้อมูลด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้นอ่านแล้วมีพิรุธ หลายอย่างเลยค่ะ ดิฉันขอแยกเป็นประเด็นดังต่อไปนี้นะคะ ประเด็นที่หนึ่ง สหรัฐกับอิสราเอลนั้นมีการshare intelligence ร่วมกันระหว่างเพนตากอน และ IDFมายาวนานก่อนรัฐบาลชุดนี้แล้วล่ะค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพนตากอนนั้นได้แชร์ intelligence กับอิสราเอลเรื่อง Iranian global threat เมื่อ5-6ปีที่ผ่านมานี้ในทุกระดับของ หน่วยงานตั้งแต่ระดับสูงสุดลงมาเลย แล้วใยอิสราเอลถึงต้องการได้มาซึ่งข้อมูลจากแค่ระ ดับ mid-level intelligence อย่างลับๆด้วยล่ะคะ? แม้ว่าอเมริกาจะมีเทคโนโลยีการจารกรรม ข้อมูลที่เหนือกว่าอิสราเอลแต่หน่วยสายลับ Mossad ของอิสราเอลนั้นมีการฝังตัวของหน่วย ข่าวกรองระดับบุคคลที่คอยรวบรวมข้อมูลที่ประสพผลสำเร็จในอิหร่านมากกว่าCIAหลาย เท่าตัวเลยล่ะค่ะยังจำการบอมบ์ Iraqi Osiraq nuclear-power plant ของอิรักอย่างแม่น ยำได้มั๊ยคะนั่นล่ะค่ะฝีมือหน่วยข่าวกรองของมอสสาด บรรดาประเทสอาหรับออกมาเต้น แร้งเต้นกาประณามอิสราเอลเสียยกใหญ่แต่ไม่ยอมปริปากเลยสักคำเมื่อครั้งที่ Iraqi Osiraq nuclear อันเดียวกันนี่เองที่โดนอิหร่านบอมบ์แต่แค่ระคายผิวเพราะนักบินไม่มีความชำนาญนั่นเอง และอิหร่านก็เป็นประเทศแรกด้วยที่บอมบ์นิวเคลียร์รีแอ็คเตอร์ของอิรักไม่ใช่อิสราเอลแต่ อิสราเอลเป็นประเทศเดียวที่ทำสำเร็จ ซึ่งก็เป็นผลดี(benefit)กับความมั่นคงของทั้งอเมริกา อิสราเอล ภูมิภาคตะวันออกกลางและต่อโลกใบนี้ด้วย ประเด็นที่สอง เป็นที่ทราบกันดีค่ะว่าอิหร่านนั้นรั้งตำแหน่ง top of the US list ท่ามกลาง ชาติที่สนับสนุนการก่อการร้ายอยู่แล้วด้วยเหตุนี้จึงมีการทำงานร่วมกันในระดับหน่วยข่าว กรองของทั้งสองประเทศ มีการแชร์ intelligence ในหน่วยงานระดับสูงสุดของเพนตากอน กับ IDF ไม่มีความจำเป็นที่อิสราเอลจะต้องส่งสายลับเข้าไปในเพนตากอนเพื่อล้วงข้อมูล ของอิหร่านหรอกค่ะ อีกอย่างสงครามอิรักในครั้งนี้นั้นอิหร่านไม่เพียงแต่ติดอาวุธ ทำการ ฝึกฝนและให้การสนับสนุนกำลังพลแก่ Mehdi army ของ al Sadrในอิรักเท่านั้นแต่ยังคง เอื้อเฟื้อสถานที่สำหรับจัดตั้งหน่วยบัญชาการให้กับ top al Qaeda ด้วยและสาธารณรัฐอิส ลามสุดโต่งแห่งอิหร่านนี้ก็ยังคงทำการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างไม่หยุดยั้ง อเมริกาคงเห็น รัฐบาลของนักบวชหัวรุนแรงเป็น Peaceful Country หรอกนะคะ เรื่องการส่งผ่านอาวุธร้าย แรงจากรัฐบาลอิหร่านไปยังกลุ่มก่อการร้ายนั้นเป็นเรื่องที่อเมริกาเฝ้าระวังเป็นอันดับแรก อยู่แล้วในทางตรงกันข้ามอเมริกาต่างหากที่ต้องการความช่วยเหลือจากอิสราเอลในด้าน ข้อมูลข่าวกรอง ประเด็นที่สาม ลองทายสิคะว่าประเทศไหนที่อิสราเอลต้องการจารกรรมข้อมูลเรื่องอาวุธ นิวเคลียร์ของอิหร่านมากที่สุดถ้าเป็นไปได้ ก็ต้องเป็นประเทศที่ขายเทคโนโลยีและช่วย สร้างโรงงานอาวุธนิวเคลียร์ให้กับอิหร่านใช่มั๊ยค่ะและประเทศที่ว่านี้ก็คือเกาหลีเหนือกับ รัสเซียนั่นเองดังนั้นรัสเซียนี่แหละค่ะที่อิสราเอลต้องการความร่วมมือมากที่สุดในเรื่องอาวุธ นิวเคลียร์ของอิหร่านด้วยเหตุนี้เองนายกรัฐนตรีเอเรี่ยล ชาโรนของอิสราเอลจึงได้เดินทาง ไปเยือนรัสเซียเพื่อพบกับปูตินอดีตหัวหน้าหน่วยสายลับเคจีบี จริงๆปูตินกับชาโรนนี่มีความ สัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันดีทีเดียวเลยล่ะค่ะ นิติภูมิ นวรัตน์ไม่เห็นเขียนถึงบ้างเลย อิอิ แม่ของ ชาโรนเป็น Russian Jew ค่ะ คนหนึ่งอดีตนายพลอีกคนอดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทั้งสอง มีแนวทางที่เห็นพ้องต้องกันมากในเรื่องการต่อต้านการก่อการร้าย บ่อยครั้งที่ปูตินมักจะ โทรมาแสดงความเสียใจกับชาโรนเมื่อมีเหตุระเบิดพลีชีพเกิดขึ้นในอิสราเอล ณ วินาทีนี้นั้น อิสราเอลต้องการข้อมูลจากปูตินค่ะไม่ใช่เพนตากอน นี่เป็นข่าวการเยือนรัสเซียของชาโรนค่ะ Iran tops Sharon's Moscow agenda MOSCOW, Russia (AP) -- Israeli Prime Minister Ariel Sharon has arrived Sunday in Moscow for a summit with President Vladimir Putin expected to focus on Israeli concerns about Iran's nuclear program http://edition.cnn.com/2003/WORLD/europe/11/02/sharon.russia.ap/ ประเด็นที่สี่ Political motives ---การกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ในเพนตากอนคนหนึ่งส่งผ่าน classified materialไปยัง AIPAC เพื่อนำส่งต่อไปถึงมือรัฐบาลอิสราเอลนั้นมีความเป็นไป ได้ว่าผู้ที่ให้ข่าวเรื่องนี้นั้นมีกลุ่มเ้ป้าหมายในการโจมตีก็คือประธานาธิบดีบุชกับการประชุม ใหญ่ของพรรคริพลับริกันและ AIPAC กับอิสราเอล นี่อาจเป็นผลงานในความร่วมมือกันของ กลุ่ม right-wing anti-Semites, left-wing Bush-haters, และScowcroftian "realists" ก็เป็นได้ ค่ะที่ต้องการยับยั้ง *Bush's post-9/11 revolution* จริงๆแล้วเรื่องนี้มิใช่เรื่องใหม่เลยค่ะอดีตหัวหน้ามอสสาด Danny Yatom นั้นได้เปิดเผยว่า ในอดีตที่่ผ่านมาอดีตผู้อำนวยการ CIA George Tenet ยังเคยเชื่อว่าอิสราเอลเกี่ยวข้องกับ การล้วงข้อมูลเพนตากอนระหว่างปี 1997-98เพราะมี *ตัวคอยปั่น*ชงเรื่องนี้โยงเข้าักับกรณี ของ Jonathan Pollard ตลอดเวลาในตอนนั้นเองมีการประชุมและสอบสวนกันขึ้นเช่นเดียว กับกรณีนี้แหละค่ะ Yatom บินไปให้การถึงอเมริกาผลพิสูจน์ปรากฏออกมาว่าข้อกล่าวหานั้น ไม่มีมูลเลย Tenet ได้เขียนจดหมายถึงอดีตหัวหน้ามอสสาดเพื่อขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเว ลาต่อมาข้อกล่าวหาแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกค่ะอาจารย์กุลธิดา ในกรณีของ Pollard นั้นถูกพวก right-wing ,left-wing anti-Semites ที่มีตำแหน่งในเพนตากอน CIA และ FBIนำกรณีของ Jonathan Pollard มาขายบ่อยค่ะเพราะดูมีน้ำหนักดีแต่ทว่าต้องไม่ลืมนะคะว่าคุณไม่สามารถ นำเหตุการณ์กรณีหนึ่งในอดีตมาเป็นตัวตัดสินว่าเหตุการณ์ทำนองนี้ต้องเกิดขึ้นอีกเพราะ เคยเกิดมาแล้วนี่เป็นแนวความคิดของนักกำหนดนโยบายแบบสายตาสั้นค่ะ เช่นกันค่ะลองทบทวนคำพูดของอาจารย์เกี่ยวกับ Sen. Byrd ดูนะคะ อาจารย์กล่าวกับดิฉัน ว่า “ อ่านความคิดเห็นปัจจุบันของท่านดีกว่านะคะคุณเอื้อง คนเราคิดอย่างไร เป็นอย่างไร เมื่อห้าสิบกว่าปีที่เเล้วนั่น มันเอามาเป็นเครื่องตัดสินความคิดของเขาในปัจจุบันไม่ได้หรอก ค่ะ ” เห็นรึเปล่าคะว่าลอจิกเดียวกันเลย ดังนั้นดิฉันขอกล่าวเหมือนกันค่ะว่า Like everyone is jumping the gun saying, 'This is like Pollard.' It is irresponsible to be saying this. คอยติดตามสถาณการณ์การสอบสวนปัจจุบันดีกว่ามังคะ แต่กรณีของดิฉันต่างกับของอา จารย์นิดเดียวตรงที่ว่าจนกระทั่งเร็วๆนี้ Sen. Byrdยังคงแสดงคำพูดที่เป็นเชิงเหยียดผิวอยู่ เลยค่ะหลักฐานมีให้เห็นทางหน้าจอทีวีแต่กรณีการตั้งสมมติฐานเชื่อมโยงกลุ่มบุคคลของ อาจารย์นั้นยังไม่มีหลักฐานใดๆมาพิสูจน์เพื่อจับผู้ที่ถูกกล่าวหามาลงโทษเลยค่ะและก็ไม่ เหมือนกรณีของ Pollard Larry Franklin ซึ่งมียศเป็นพันเอกในส่วนของกองหนุนกำลัง สำรองของกองทัพอากาศสหรัฐที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าส่งข้อมูลจากเอกสารลับของเพนตา กอนไปยังอิสราเอลโดยผ่าน AIPAC นั้นมิใช่ชาวยิวค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 14 ก.ย. 47 23:37:30 ]

ความคิดเห็นที่ 60 “ มีการพบปะกับ Manucher Ghorbanifar ซึ่งเป็นนักค้าอาวุธชาวอิหร่านหลายครั้ง ครั้งล่าสุดคือการพบกันที่กรุงปารีสในปี คศ 2001 ” อ่านแล้วคุ้นๆเหมือนเคยอ่านเจอที่ไหนมาก่อนถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นที่ *กรุงโรม* ไม่ใช่เหรอคะอาจารย์กุลธิดา จริงๆแล้วเป็น *The Italian Job* ด้วยไม่ใช่เหรอคะ ไม่มี Israel Job เลยนี่คะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 14 ก.ย. 47 23:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เดี๋ยวขอมาต่อประเด็นที่ห้าในประเด็นเรื่อง การชิงดีชิงเด่นท่ามกลาง intelligence-agencies เนื่องจากว่าบางกลุ่มคนที่อยู่ในองค์กร CIA นั้นกลัวที่จะสูญเสียอำนาจนั่นเองเพราะบุชได้ ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะทำการปรับเปลี่ยนองค์กรทั้งระบบซึ่งข่าวนี้ถูกแพร่ออกมาก่อนที่ จะมีการประชุมใหญ่ของพรรคริพลับลิกันเพียงไม่กี่วันยังมีรายละเอียดที่ต้องพูดอีกค่ะขอติด ไว้พูดเรื่องนี้ตอนค่ำๆนะคะต้องออกไปเรียนแล้วค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 14 ก.ย. 47 23:43:40 ]

ความคิดเห็นที่ 62 อ่านที่ดิฉันโพสต์ใหม่อีกทีดีมั้ยคะคุณเอื้อง คนที่โยงกรณี FBI สอบสวน Larry Franklin, Douglas Feith เเละกลุ่ม neocons ในเพนตากอนเข้ากับ Jonathan Pollard นั่นไม่ใช่ดิฉันนะคะ เเต่เป็นเจ้าหน้าที่ของเพนตากอนที่ทำงานอยู่ใน Dept. of Defense มาเเต่ดั้งเดิมเอง ดิฉันยกคำพูดของเจ้าหน้าที่ที่ว่านี่มาโพสต์ให้อ่านด้วยเเล้วค่ะ "the case of the most significant Israeli expionage investigation in Washington since Jonathan Pollard." ถ้าเรื่องการเเชร์ข้อมูลลับๆระหว่างอิสราเอลเเละสหรัฐเป็นเรื่องธรรมดาจริง การสืบสวนเรื่องนี้ไม่ขยายวงกว้างไปถึงเจ้าหน้าที่คนสำคัญในกลุ่ม neocons อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอกนะคะ " จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 00:02:43 ]

ความคิดเห็นที่ 63 “ เช่นกันครับสำหรับท่านวุฒิสมาชิกเบิร์ดคนเรา ความคิดเปลี่ยนกันได้ครับ ก็ขอขอบคุณกุลธิดา และคุณเอื้องฯสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับพวกอนุรักษ์ นิยมจัดกับพวกอนุรักษ์นิยมใหม่ ” เป็นพวก White Supremacist ค่ะิคุณปักษาวายุ Senator Byrd ยังพูดเหยียดผิวอยู่เลยค่ะ เกรงว่าคุณปักษาจะไม่เห็นขอนำคำพูดของวุฒิสมาชิกเบิร์ดมาโพสต์อีกรอบนะคะเมื่อ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้(On March 4, 2001) Senator Byrd ได้ spew racist remarks ซึ่ง กล่าววลีว่า "white nigger" ถึงสองครั้งในรายการทีวี FOX NEWS SUNDAY นี่เป็นคำ กล่าวเต็มๆของ Senator Byrd ค่ะเมื่อถูกถามถึง the state of race relations in America " They are much, much better than they've ever been in my lifetime," Byrd said. "I think we talk about race too much. I think those problems are largely behind us... I just think we talk so much about it that we help to create somewhat of an illusion. I think we try to have good will. My old mom told me, 'Robert, you can't go to heaven if you hate anybody.' We practice that." Then Byrd warned: "There are white niggers. I've seen a lot of white niggers in my time; I'm going to use that word." ซึ่งคำว่า niggers นี้ถือว่าเป็นคำที่ไม่สุภาพ และ sensitive มากค่ะยิ่งเป็นนักการเมืองอาวุ โสยิ่งไม่สมควรพูดออกอากาศเลย ซึ่งต่อมาSenator Byrdได้ออกมากล่าวขอโทษทีหลัง ซึ่งต่อมาSenator Byrdได้ออกมากล่าวขอโทษทีหลัง จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 15 ก.ย. 47 00:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 64 "อ่านสิ่งที่อาจารย์เขียนเกี่ยวกับข้อกล่าวหาสายลับอิสราเอลในเพนตากอนแล้วด้วยพยายามผูก เรื่องกลุ่ม neo-cons, AIPACs และ อิสราเอลเข้าด้วยกันครบเครื่องเหมือนอ่านทฤษฏีสมคบคิด" ดิฉันใช้คำว่า สายลับอิสราเอลในเพนตากอน ตั้งเเต่เมื่อไหร่คะ เรื่องของเรื่องคือ Larry Franklin อาจเอาข้อมูลลับเกี่ยวกับอิหร่านไปให้อิสราเอลเพราะเป็นความเชื่อส่วนตัวของเขา ไม่ใช่เพื่อเเลกกับเงิน เเต่นั่นคือปัญหา นั่นคือ espionage เพราะข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลที่รัฐบาลสหรัฐไม่คิดจะเเชร์กับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิสราเอลซึ่งมีปัญหากับอิหร่านเเละประเทศรอบข้างอยู่เเล้ว คุณเอื้องคะ Don't select and choose what fits your preconceived ideas about neocons and the Bush administration ดีกว่านะคะ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม neocons ในคณะรัฐบาลชุดนี้กับอิสราเอลที่เป็นไปในทางทำลายประเทศอาหรับรอบข้างอิสราเอลนั่นไม่ใช่ conspiracy theory ค่ะ เกี่ยวกับกลุ่ม Office of Special Plans (OSP) spokeman ของ Defense Department ยอมรับว่ากลุ่มนี้มีอยู่จริง ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 4 คนซึ่งอยู่นอกเหนือ payroll ของเพนตากอน คนหนึ่งใน 4 คนนี้คือ Michael Rubin ซึ่งเป็น neocon อีกคน เเละเป็นคนที่มีความเชื่อเรื่อง regime change ในอิหร่านมาตลอด ตอนนี้ คือหลังจากที่สหรัฐยึดครองอิรัคเเล้ว กลุ่ม OSP กำลังทำงานเรื่องเกี่ยวกับนโยบายของเพนตากอนต่ออิหร่าน เเละกลุ่ม OSP นี้กำลังผลักดันนโยบายของสหรัฐต่อ regime change ในอิหร่านเหมือนที่ทำต่ออิรัคไปเเล้ว โดยอ้างว่าอิหร่านกำลังคิดสร้างอาวุธนิวเคลียร์เเละเข้าไปวุ่นวายในอิรัค นอกจากนั้นยังอ้างว่าอิหร่านเปิดประเทศให้เป็นที่อาศัยของกลุ่มอัลไคด้าอีกด้วย อดีตเจ้าหน้าที่ CIA คนหนึ่งพูดถึงกลุ่ม OSP ในเพนตากอนว่าอย่างนี้ค่ะ "They are running their own intelligence operation, including covert action, and are using contractors outside the government to do some of their leg work. Their area of work has been concentrated on Iraq, which is why the intelligence on WMD was so bad, but they have a much broader portfolio. The office is undergoing some scrutiny from inside the government given its poor track record and the lack of 'sanity checking' their products with the intelligence community. A lot of material they produce is not shared with CIA, not coordinated, and finds its way into the public policy statements by the likes of Rumsfeld and Cheney." เเม้เเต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่าย neocons ในเพนตากอนเองก็ยอมรับการมีอยู่ของกลุ่ม OSP เเต่อ้างว่าเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้เป็นเพียง "a pure policy planning shop" ข้อเสนอเเนะข้อนึงที่กลุ่ม OSP ได้เสนอต่อ State Department เเล้วคือให้การสนับสนุนกลุ่ม Mujaheddin el Khalk (MEK) ซึ่งมีฐานที่ตั้งอยู่ในอิรัคเเละมีซัดดัม ฮุสเซ็นให้การสนับสนุนมาหลายปี เเละกลุ่ม MEK นี่มีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของ State Department ว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายมาหลายปีเเล้วด้วยค่ะ เเต่ OSP เเนะนำให้ State Dept. เเละ Defense Dept. สนับสนุนกลุ่มนี้เพื่อล้มล้างรัฐบาลอิหร่าน เจ้าหน้าที่ CIA คนนึงชื่อ Larry Johnson พูดถึงคำเเนะนำจาก OSP ที่ว่านี่ว่า "The Office of Special Plans has been willing to reach out to the MEK and use them as a surrogate to pressure Iran." ยิ่งกว่านั้น neocons กลุ่มนี้ยังสนับสนุน Reza Pahlavi ลูกชายของชาห์เเห่งอิหร่านซึ่งอาศัยอยู่ในสหรัฐเเละเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนการโค่นอำนาจรัฐบาลปัจจุบันในอิหร่าน ส่วนคำถามของคุณตะเกียงลานที่ว่าเจ้าหน้าที่ในกลุ่ม OSP เอาเงินมาจากไหน เรื่องนี้ไม่ทราบค่ะ เเต่จะลองค้นหาดูนะคะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 00:33:53 ]

ความคิดเห็นที่ 65 คุณเอื้องคะ คุณเอื้องคงไม่เคยอาศัยอยู่ในรัฐทางใต้ คำว่า nigger ทุกวันนี้เป็นคำที่คนในรัฐทางใต้ใช้เรียกคนที่ไม่ได้เรื่องทั่วๆไปค่ะ อย่างเช่นคนขาวที่ไม่ทำมาหากิน ได้เเต่พึ่งรัฐหรือก่อคดีต่างๆ นั่นคือ white nigger สำหรับพวกเขา นั่นคือ white nigger ในความหมายของ Sen. Bryd ที่คุณเอื้องยกมาค่ะ คำเเนะนำนะคะ Don't take things out of context ค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 00:37:02 ]

ความคิดเห็นที่ 66 "อ่านแล้วคุ้นๆเหมือนเคยอ่านเจอที่ไหนมาก่อนถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นที่ *กรุงโรม* ไม่ใช่เหรอคะ" ปารีสค่ะคุณเอื้อง คุณเอื้องกำลังพูดถึงเรื่องเดียวกับที่ดิฉันพูดถึงหรือเปล่าคะ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 47 00:38:46 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 00:38:13 ]

ความคิดเห็นที่ 67 "การชิงดีชิงเด่นท่ามกลาง intelligence-agencies เนื่องจากว่าบางกลุ่มคนที่อยู่ในองค์กร CIA นั้นกลัวที่จะสูญเสียอำนาจนั่นเองเพราะบุชได้ ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะทำการปรับเปลี่ยนองค์กรทั้งระบบซึ่งข่าวนี้ถูกแพร่ออกมาก่อนที่ จะมีการประชุมใหญ่ของพรรคริพลับลิกันเพียงไม่กี่วัน" เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการชิงดีชิงเด่นของ intelligence-agencies หรือ CIA กลัวถูกลดอำนาจเลยนะคะคุณเอื้อง เรื่อง Office of Special Plans เเละสิ่งที่ออฟฟิตนั้นทำ เปิดเผยขึ้นมาจากเจ้าหน้าที่คนนึงที่เคยทำงานในเเผนกนั้นเองค่ะ คุณเอื้องคงไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่คนที่ว่านี้ชื่อ Lt. Col. Karen Kwiatkowski ค่ะ เป็น US Air Force lieutenant colonel ซึ่งเกษียณอายุเมื่อเดือนกรกฎาปีที่เเล้ว งานสุดท้ายที่เธอทำคืองานใน Office of Special Plans (OSP) ที่ว่านี่เเหละค่ะ Karen Kwaitokowski เล่าถึงวิธีการทำงานของ OSP ว่าอย่างนี้ค่ะ "I witnessed neoconservative agenda bearers within OSP usurp measured and carefully considered assessments, and through suppression and distortion of intelligence analysis promulgate what were in fact falsehoods to both Congress and the executive office of the president. While this commandeering of a narrow segment of both intelligence production and America foreign policy matched closely with the well-published desires of the neoconsertive wing of the Republican Party, many of us in the Pentagon --- conservatives and liberals alike --- felt that this agenda, whatever its flaws, or merits, had never been openly presented to the American people. Instead, the public story line was a fear-peddling and confusing set of messages, designed to take Congress and the country into a war of executive choice, a war based on false pretenses, and a war one year later Americans do not really understand." Kwaitokowski ยังบอกอีกว่า "The OSP, in effect, was a public relations outfits that produced 'talking points on Iraq, WMD and terrorism. They were propagandistic in style. And all desk officers were ordered to use them verbatim in the preparation of any material prepared for higher-ups and people outside the Pentagon." Lt. Col. Kwaitokowski ไม่ใช่ disgruntled ex-employee นะคะ บอกไว้เสียก่อนที่คุณเอื้องจะใช้วิธีการเเบบ character assassination อีก Kwaitokowski พูดถึงปัญหาของ OSP (ที่เธอทำงานอยู่ปีกว่าก่อนเกษียณ คือระหว่างเดือนพฤษภา ปี 2002 ถึง กุมภา ปี 2003) หลังจากที่เธอเกษียณอายุจากราชการค่ะ ไม่ได้ถูกไล่ออก เหตุที่เธอเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็เพราะเธอทำงานในเพนตากอนมา 20 กว่าปี สิ่งที่เธอเห็นใน OSP ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่ Donald Rumsfeld เเละ Paul Wolfowitz ก่อตั้งขึ้นหลังวันที่ 11 กันยา 2001 ไม่นาน คือสิ่งที่เธอในฐานะข้าราชการประจำ ไม่ใช่ข้าราชการที่มาจากตำเเหน่งเเต่งตั้งทางการเมือง เห็นเเล้วสลดใจค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 02:42:44 ]

ความคิดเห็นที่ 68 พูดถึง Office of Special Plans (OSP) ต่อนะคะ ในหน่วยงานนี้ มีเจ้าหน้าที่ดังต่อไปนี้ค่ะ William Luti เเละ Abram Shulsky เป็นหัวหน้า William Luti พูดถึงไปบ้างเเล้วนะคะ ทีนี้ Abram Shulsky ซึ่งเป็น neocon อีกคน ทำงานให้กับ Richard Perle ในสมัยที่ Perle ดำรงตำเเหน่ง Assistant Secretary of Defense สมัยประธานาธิบดีเรเเกน เเนวคิดของ Shulsky ตรงกับของ Paul Wolfowitz เเละ neocons คนอื่นๆในเเง่ที่ว่าทุกคนในกลุ่มนี้ยึดถือเเนวทางของนักปรัชญาการเมืองคนนึงที่ชื่อ Leo Strauss กลุ่ม neocons กลุ่มนี้บางครั้งถึงได้มีชื่อเรียกว่า Straussian เจ้าหน้าที่คนอื่นๆใน OSP คือ David Shcenker, Michael Makovsky, เเละ Chris Lehman ทุกคนในสำนักงานที่ว่านี้มีเเนวคิดเดียวกับ Douglas Feith เเละมีความเกี่ยวพันกับพรรค Likud ของอิสราเอลเหมือน Feith เหมือนกัน จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 06:06:37 ]

ความคิดเห็นที่ 69 พูดถึงเเนวคิดของพวก neoconservatives อีกนิดนะคะ จะเข้าใจเเนวคิดของคนพวกนี้ก็ต้องศึกษาเเละทำความเข้าใจความคิดของนักปรัชญาการเมืองที่มีอิทธิพลต่อความคิดของพวกเขาเเหละค่ะ นักปรัชญาการเมืองที่มีอิทธิพลต่อเเนวคิดของ neoconservatives ในสหรัฐคือ Leo Strauss ซึ่งเป็นชาวยิว เกิดในเยอรมัน เเล้วอพยพมาอาศัยอยู่ในอเมริกาค่ะ สิ่งหนึ่งที่ Strauss เชื่อถือเเละเคยสอนไว้คือการโกหกที่เขาเรียกว่า philosophy of noble lie จะเห็นว่าวิธีการนี้บุชเอามาใช้เมื่อกำลังจะเริ่มก่อสงครามอิรัค คือสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาเป็นลำดับ เเล้วเปลี่ยนเหตุผลที่ต้องการบุกอิรัคจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่อง ไปอีกเรื่อง ไปได้เรื่อยๆ นั่นคือวิธีการของ Leo Strauss ค่ะ ในเรื่องนี้ Strauss สอนว่า "..the conviction that lies, far from being simply a regrettable necessity of political life, are instead virtuous and noble instruments of wise policy. The idea's provenance could not be more elevated: Plato himself advised his nobles, men with golden souls, to tell noble lies--political fables, to keep the other levels of human society (silver, iron, brass) in their proper places, loyal to the state and willing to do its bidding." Strauss สอนว่าการสร้างเรื่องโกหกเพื่อผลประโยชน์ของรัฐ (หรือของประเทศ) เป็นสิ่งที่ดี ที่ผู้นำควรกระทำ การสร้างเรื่องโกหกเพื่อ "..telling the truth to the wise while at the same time conveying something quite different to the many." นั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง William Kristol ซึ่งเป็น neocons ระดับหัวเเถว เเละเคยเป็นเจ้าหน้าที่คนนึงของ Dan Quayle เคยพูดถึง Leo Strauss ไว้ว่า "Strauss, chiefly by way of his students, is in large part responsible for making the thought and principles of America's founders a source of political knowledge and appeal, and for making political excellence more broadly a subject of appreciation and study." ทั้ง Paul Wolfowitz เเละ Abram Shulsky เป็นลูกศิษย์ของ Leo Strauss เมื่อครั้งที่ Krauss สอนอยู่ที่ University of Chicago ยิ่งกว่านั้น Strauss ยังเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของสองคนนี่ด้วย จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 06:40:07 ]

ความคิดเห็นที่ 70 อาจารย์สอนทฤษฎีการเมืองของ University of Regina ในเเคนาดาคนนึงเคยเขียนหนังสือวิเคราะห์ความคิดของ Leo Strauss ชื่อ The Political Ideas of Leo Strauss เเละ Leo Strauss and the American Right เป็นคนนึงที่ได้รับการยกย่องว่าเข้าใจความคิดของ Leo Strauss ดีที่สุด Dr. Drury พูดถึงความคิดเรื่องนึงของ Strauss ว่า Strauss มีความคิดที่ว่าฝูงชนส่วนใหญ่ที่เขาเรียกว่า unwashed mass ไม่เหมาะสมที่จะรู้ความจริงเกี่ยวกับการทำงานของรัฐ เเละไม่เหมาะสมที่จะมีเสรีภาพ Strauss ทน liberalism ไม่ได้เพราะเขามีความกลัวว่าฝูงชนซึ่งมีจำนวนของคนในกลุ่มเป็นอาวุธนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวเเละเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นวิธีการใดก็ตามที่จะใช้ democracy ให้กลายเป็นศัตรูกับเสรีภาพของฝูงชน รัฐควรกระทำเพื่อควบคุมฝูงชนเอาไว้ในอำนาจ เเละถ้าทำได้อย่างนั้น ก็ถือว่าเป็นชัยชนะอย่างใหญ่หลวงของรัฐ Dr. Druy พูดถึงเเนวคิดของ Strauss ในส่วนที่เกี่ยวกับสงครามอิรัคว่าอย่างนี้ค่ะ "Leo Strauss was a great believer in the efficacy and usefulness of lies in politics. Public support for the Iraq war rested on lies about Iraq posing an imminent threat to the United States." ในหนังสือที่ Strauss เขียนชื่อ Persecution and the Art of Writing เขาบอกว่า "The wise must conceal their views for two reasons -- to spare the people's feelings and to protect the elite from possible reprisals. The people will not be happy to learn that there is only one natural right --- the right of the superior to rule over the inferior, the master over the slave, the husband over the wife, and the wise few over the vulgar many." คำที่ Strauss ใช้เรียกประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เขาใช้เสมอคือคำว่า 'vulgar' mass, vulgar many นี่เเหละค่ะ เเสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีความเคาพรในคนส่วนใหญ่เเละเสียงส่วนใหญ่ของประเทศเเต่ละประเทศเลยเเม้เเต่น้อย นี่เเหละค่ะคือบรมครูของพวก conservatives ของสหรัฐ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 07:05:11 ]

ความคิดเห็นที่ 71 [ประเด็นที่หนึ่ง สหรัฐกับอิสราเอลนั้นมีการshare intelligence ร่วมกันระหว่างเพนตากอน และ IDFมายาวนานก่อนรัฐบาลชุดนี้แล้วล่ะค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพนตากอนนั้นได้แชร์ intelligence กับอิสราเอลเรื่อง Iranian global threat เมื่อ5-6ปีที่ผ่านมานี้ในทุกระดับของ หน่วยงานตั้งแต่ระดับสูงสุดลงมาเลย แล้วใยอิสราเอลถึงต้องการได้มาซึ่งข้อมูลจากแค่ ระดับ mid-level intelligence อย่างลับๆด้วยล่ะคะ?] อันนี้ไม่จริงมั๊ง ผมเคยอ่านข้อความที่คุณ Haa กับ คุณ ktm ก็เคยบอกว่าทั้ง CIA กับ Mossad นั้นก็ ระแวงกันอยู่ CIA จะไม่รับชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เข้าทำงานเพราะกลัวความลับจะรั่วไปยังหน่วย Mossad ในเรื่องความมั่นคงของชาติเป็นไปไม่ได้ ที่หน่วยข่าวกรองของประเทศต่างๆจะแลกเปลี่ยน หรือแบ่งปันข่าวกรองกันได้ทั้งหมดในทุกระดับ มันจะต้องมีสิ่งที่สหรัฐไม่รู้เกี่ยวกับอิสราเอลและ สิ่งที่อิสราเอลไม่รู้เกี่ยวกับสหรัฐอยู่ อันนี้ผมพูด ตามหลักวิชาข่าวกรองทางทหารที่ผมเรียนมา {แม้ว่าอเมริกาจะมีเทคโนโลยีการจารกรรม ข้อมูลที่เหนือกว่าอิสราเอลแต่หน่วยสายลับ Mossad ของอิสราเอลนั้นมีการฝังตัวของหน่วย ข่าวกรองระดับบุคคลที่คอยรวบรวมข้อมูลที่ประสพ ผลสำเร็จในอิหร่านมากกว่า CIA หลายเท่าตัวเลย ล่ะค่ะยังจำการบอมบ์ Iraqi Osiraq nuclear-power plant ของอิรักอย่างแม่นยำได้มั๊ยคะนั่นล่ะค่ะฝีมือ หน่วยข่าวกรองของมอสสาด บรรดาประเทสอาหรับ ออกมาเต้นแร้งเต้นกาประณามอิสราเอลเสียยกใหญ่ แต่ไม่ยอมปริปากเลยสักคำเมื่อครั้งที่ Iraqi Osiraq nuclear} อันนี้พูดถูกใจผมจริงๆ สหรัฐเชื่อมั่นในเทคโนโลยี มากเกินไป หน่วย Mossad หาข่าวกรองในระดับ รากหญ้าได้ดีกว่า CIA แน่ เพราะ CIA เน้นแต่แหล่ง ข่าวระดับสูงกับวิทยาการสมัยใหม่เท่านั้น ถ้าข่าว กรองของ CIA ดีจริงคงไม่มั่วเรื่องอาวุธทำลายล้าง สูงในอิรักเป็นแน่ (ฮา) จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 15 ก.ย. 47 15:39:31 A:202.28.78.70 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 72 การชิงดีชิงเด่นในหมู่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐ เป็นสิ่งที่ทำให้สหรัฐไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่อง ราวของอัลกออิดะห์ได้อย่างชัดเจน มันมีมานาน แล้ว ผมไม่รู้ว่าจะแก้ได้รึเปล่า ผมขอขอบคุณ คุณกุลธิดาเกี่ยวกับข้อมูลอีกครั้ง ผมเข้าใจคนที่ ต้องอยู่ท่ามกลางพวกอนุรักษ์นิยมอย่างคุณ กุลธิดาดีเพราะตัวเองเคยเจอแบบนี้มาก่อนครับ รัฐที่ผมเคยอยู่คืออริโซน่าครับ เลือกแต่รีพับลิกัน และคนก็ค่อนข้างเหยียดผิว จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 15 ก.ย. 47 15:48:59 A:202.28.78.70 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เหมือนกันเลยค่ะคุณปักษาฯ รัฐที่ดิฉันอยู่คือ South Carolina เป็น stronghold ของรีพับลิกันเลยเเหละค่ะ คนรัฐนี้เลือกรีพับลิกันเป็นหลักเพราะสองสาเหตุ สาเหตุเเรกคือเขาต้องการคงความเเตกต่างระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำ คือระบบเหยียดผิวในรัฐนี้เเม้ว่าจะว่ากันว่าไม่มีเเล้ว เเต่ลึกๆยังมีอยู่ค่ะ คนที่เป็นเดโมเเครตในรัฐนี้มักจะเป็นคนผิวดำเป็นส่วนใหญ่ คนผิวขาวที่มีการศึกษาน้อยจึงคิดว่าการเป็นรีพับลิกันคือการสร้าง statement ให้มันออกมาตรงข้ามกับคนผิวดำ อย่างที่สองคือคนรัฐนี้เป็นพวกคลั่งศาสนา เขามีความคิดกันว่าเดโมเเครตพยายามบิดเบือนคำสอนของศาสนาของเขา เรื่องที่ถกเถียงกันมากตอนนี้ก็เรื่องกฎหมายควรยินยอมให้เกย์เเต่งงานกันได้ถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่านั่นเเหละค่ะ เรื่องนึง อีกเรื่องก็เรื่องการทำเเท้งอย่างถูกกฎหมาย ศาสนาคริสต์นิกายที่คนรัฐนี้ส่วนใหญ่นับถือคือนิกาย Baptist พวกนี้เขาต่อต้าน 2 เรื่องนี้มาก จริงๆเเล้วบุชหรือรีพับลิกันระดับประเทศเขาไม่ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องพวกนี้หรอกนะคะ เเต่เขาเอา 2 เรื่องนี้มาหาเสียงกับพวกคลั่งศาสนาได้ทุกเมื่อเเหละค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 22:42:46 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เอาลิ้งค์ text ของ A Clean Break: A New Strategy for Securing the Realm  ซึ่ง Richard Perle ร่างขึ้นร่วมกับ Benjamin Netanyahu ของพรรค Likud ของอิสราเอล เเละเคยเป็นประธานาธิบดีของอิสราเอลด้วย มาให้อ่านค่ะ  http://www.saudia-online.com/zogbi/research1.shtml พิจารณาดูข้อความนี้ใน text นั้นนะคะ "Israel can shape its strategic environment, in cooperation with Turkey and Jordan, by weakening, containing, and even rolling back Syria. This effort can focus on removing Saddam Hussein from power in Iraq — an important Israeli strategic objective in its own right — as a means of foiling Syria’s regional ambitions. Jordan has challenged Syria's regional ambitions recently by suggesting the restoration of the Hashemites in Iraq. This has triggered a Jordanian-Syrian rivalry to which Asad has responded by stepping up efforts to destabilize the Hashemite Kingdom, including using infiltrations. Syria recently signaled that it and Iran might prefer a weak, but barely surviving Saddam, if only to undermine and humiliate Jordan in its efforts to remove Saddam." แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 47 22:49:28 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 15 ก.ย. 47 22:46:36 ]

ความคิดเห็นที่ 75 Defense Planning Guidance ที่พูดไว้ข้างต้น ลองอ่านดูนะคะ ยาวหน่อย เเต่จะเห็นเเผนการณ์เป็นเจ้าโลกของกลุ่ม neocons สติเฟื่องกลุ่มนี้ รวมทั้ง Dick Cheney ด้วย อย่างชัดเจนค่ะ http://www.informationclearinghouse.info/pdf/naarpr_Defense.pdf version นี้เป็น revised version ของเเผนที่ Paul Wolfowitz เเละพรรคพวกร่วมกันเขียนไว้ในปี 1992 ปีถัดมา คือ 1993 Dick Cheney ซึ่งกำลังดำรงตำเเหน่ง Secretary of Defense ในสมัยประธานาธิบดีบุชคนพ่อก็เอาเเผนนั้นมาเรียบเรียงใหม่ เเล้วใส่ชื่อของตัวเองลงเเทนในฐานะผู้ร่างเเผนการณ์ดังกล่าว เเต่เนื้อหาเเละรายละเอียดเหมือนที่ Wolfowitz เป็นผู้ร่างไว้ทุกอย่าง เเผนนี้ต้องเก็บเข้าลิ้นชักไปเพราะพอดีกับมีการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีเเละเปลี่ยนรัฐบาล บิล คลินตั้นได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเเละขึ้นรับตำเเหน่งในเดือนมกรา ปี 1993 Cheney, Wolfowitz เเละพวก neocons ที่มีตำเเหน่งอยู่ในรัฐบาลครั้งนั้นจึงพากันตกงานไปตามๆกัน Cheney เเละ neocons งัดเอาเเผนงานนี้มาปัดฝุ่นเเละใช้งานก็ในสมัยรัฐบาลปัจจุบันนี่เเหละค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 47 03:40:14 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 16 ก.ย. 47 03:24:18 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอขอบคุณคุณกุลธิดาอีกครั้งครับสำหรับข้อมูล ที่คุณให้อ่าน พวกอนุรักษ์นิยมใหม่นี้สติเฟื่องจริงๆ เป็นพวกช่างฝันไม่ต่างกับพวกคอมมิวนิสต์หรือ อัลกออิดะห์หรือพวกซ้ายใหม่กับขวาจัดในยุโรป จริงๆ ข้อมูลที่คุณเอื้องฯแนะให้อ่านก็ทำให้ผมรู้ถึง ความเพ้อเจ้อของคนพวกนี้เช่นกัน ผมขออนุญาติทักท้วงนิดหนึ่งครับ เนทันยาฮูเป็น นายกรัฐมนตรีครับไม่ใช่ประธานาธิบดี แกกร้าวมาก เวลาให้สัมภาษณ์ทางบีบีซี ผมเคยเห็นเกย์ในสหรัฐต้องไปแต่งงานกันที่เดนมาร์ก กับเนเธอร์แลนด์ครับคงจะมาจากรัฐพวกนี้มั้ง ผมเอง ไม่ค่อยชอบพวกเกย์แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องภายในจิตใจ ห้ามกันไม่ได้ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 16 ก.ย. 47 18:37:03 A:10.36.3.65 X:202.28.77.31 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณค่ะคุณปักษาฯ เนตันยาฮูเป็นนายกรัฐมนตรีค่ะ เวลาพิมพ์อะไรเสร็จเเล้วโพสต์เลย ไม่อ่านทวน เลยเจอที่พิมพ์ไว้ผิดๆเป็นประจำค่ะ ขอท้าวความถึงเเผนการณ์ของ neocons เเละ Dick Cheney อีกนิดนะคะ คือเมื่อปี 1992 Paul Wolfowitz ร่างเเผน Defense Planning Guidance ที่ว่านี่ ช่วงนั้นเป็นช่วงสิ้นสุดสงครามเย็นใหม่ๆ คงจำกันได้ว่า Berlin wall ถูกทุบทิ้งในวันที่ 9 พฤษจิกายน ปี คศ 1989 2 ปีถัดมา คือในเดือนธันวาคม ปี คศ 1991 สหภาพโซเวียตล่มสลายหลังจากที่ทุ่มเททั้งกำลังเงินเเละกำลังกองทัพยึดครองอัฟกานิสถานมานานหลายปี เมื่อสงครามเย็นยุติลง เมื่อสหภาพโซเวียตไม่ใช่ศัตรูของสหรัฐอีกต่อไป สหรัฐก็ต้องมีการ restructure การทหารใหม่หมด สภาคองเกรสเสนอให้มีการตัดงบประมาณการทหาร เพราะไม่มีความจำเป็นต้องคงกำลังทหารเเละเงินสนับสนุนการทหารจำนวนมหาศาลไว้อีก Colin Powell ได้รับตำเเหน่ง chairman of the joint chief of staff ใหม่ๆในเวลานั้น เสนอให้เปลี่ยนเเผนการทางทหารจาก threat based มาเป็น capability based ในขณะนั้น Paul Wolfowitz ดำรงตำเเหน่ง undersecretary of defense for policy เเละ Dick Cheney เป็น secretary of defense ทั้งสองคนนี่มีความเชื่อในเรื่อง unilateral เเละ maximum force approach จึงพยายามร่างเเผนงานเพื่อเสนอสภาคองเกรส Paul Wolfowitz จึงร่างเเผน Defense Planning Guidance ขึ้นมา หัวใจของเเผนงานนั้นสรุปได้ 3 ข้อค่ะ คือ 1). objective หลักของ US defense strategy คือ "to prevent the re-emergence of a new rival" วิธีการที่จะให้บรรลุเป้าหมายนี้คือกำจัด "hostile power" จากการครอบครองดินเเดนที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐ หน้าที่ใหม่ของสหรัฐคือ "convince allies and enemies alike that they need not aspire to a greater role or pursue a more aggressive posture to protect their legitimate interests." พูดง่ายๆว่าเตือนทั้งมิตรเเละศัตรูว่าจงอย่าพยายามเเสดงท่าที่ที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตัวด้วยวิธีการที่ agressive ถ้าวิธีการนั้นมันไปขัดกับผลประโยชน์ของสหรัฐ ว่างั้นเหอะ 2). เน้นที่การใช้ preemptive military force ซึ่งในเเผนการณ์นั้นระบุว่าควรใช้ได้ตั้งเเต่การใช้กำลังทหาร "to head off a nuclear, chemical, or biological attack" เพื่อเป็นการลงโทษหรือขู่ว่าจะลงโทษ "aggressors" ด้วยวิธีการต่างๆกัน รวมไปถึงการโจมตีทางการทหาร "against weapons-manufacturing facilities" 3). คงอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐเอาไว้ในจำนวนที่เเผนนั้นใช้คำว่า substantial ในขณะที่เดียวกันก็ discourage ประเทศอื่นไม่ให้มีการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ สหรัฐจะต้องเป็นผู้นำในการ discourage ประเทศอื่นไม่ให้มีการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ (ในขณะที่สหรัฐควรเป็นประเทศเดียวที่มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ใช้เป็นจำนวนมาก) รวมทั้งเรียกร้องให้มีการเสนอการลดอาวุธในระบบที่เรียกว่า global missile-defense system เเต่ในเวลาเดียวกัน สหรัฐยังคงมีเเละคงสร้างอาวุธชนิดที่มีกำลังทำลายร้ายเเรง เมื่อประเทศอื่นๆในโลกไม่มีระบบป้องกันขีปนาวุธ เเต่สหรัฐมีขีปนาวุธได้ เเล้วจะเกิดอะไรขึ้น สรุปว่าเเผนที่ Wolfowitz ร่างขึ้นคือเเผนสร้าง "military superiority" ของสหรัฐ เเละสร้าง ligitimacy ให้กับการโจมตีประเทศอื่นในลักษณะ unilateral เมื่อเเผนนี้ leak ออกมาถึงหนังสือพิมพ์ New York Times ในเดือนมีนาคม ปี 1992 ก็มีผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นการใหญ่ ตัวอย่างเช่น Sen. Joseph Biden ของพรรคเดโมเเครต เรียกเเผนนี้ว่าเป็น "Pax Americana" เเละว่าเป็น "...global security system where threats to stability are suppressed or destroyed by US military power." เมื่อผลของเเผนงานนั้นออกมาเเบบนั้น เเรกๆ Dick Cheney พยายามเเยกตัวเองออกมาจากการเป็นส่วนนึงของเเผน Defense Planning Guidance เเต่ก่อนลงจากตำเเหน่งในเดือนมกราคม ปี คศ 1993 Dick Cheney เอาเเผนนั้นมาปรับใหม่ ใช้ภาษาที่อ่อนลง เเล้วส่งมอบให้คณะรัฐบาลชุดใหม่ของประธานาธิบดีคนใหม่คือ Bill Clinton เเผนที่เชนีย์ร่างขึ้นใหม่ก็คือที่เอาลิ้งค์มาลงไว้นั่นเเหละค่ะ ถึงเเม้ภาษาที่ใช้จะอ่อนลงเยอะมาก เเต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีๆ หัวใจของเเผนนั้นก็ยังคงอยู่ครบถ้วน จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 17 ก.ย. 47 00:00:26 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำเเหน่งประธานาธิบดี นโยบายต่างประเทศของสหรัฐก็เปลี่ยนจากการเป็น agressor มาเป็นการนโยบายทหารเเละต่างประเทศโดยเอาการค้าเเละเศรษฐกิจเป็นตัวนำ คือเน้นที่การค้าเสรีเป็นตัวนำการต่างประเทศน่ะค่ะ เน้นที่การทำงานร่วมกัน อยู่ร่วมกันระหว่างทุกประเทศในโลก เน้นที่การสร้าง allied coalitions พูดง่ายๆว่านโยบายของคลินตั้นเปลี่ยนจาก global dominance มาเป็น globalism พวก neocons ได้เเต่มองดูอยู่ห่างๆอย่างโกรธเเค้นอยู่ 8 ปี จนเมื่อคลินตั้นลงจากตำเเหน่ง บุชคนลูกขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีเเทน หลายๆคนในกลุ่ม neocons ได้กลับเข้ารับตำเเหน่งสำคัญๆในคณะรัฐบาลอีก Dick Cheney เป็นรองประธานาธิบดี Donald Rumsfeld เป็น secretary of defense Paul Wolfowitz เป็นรองของ Rumsfeld Colin Powell เป็น Secretary of State Lewi "Scooter" Libby เป็น chief of staff ของ Cheney Eric Edleman เป็นที่ปรึกษาการต่างประเทศของ Cheney กลุ่ม neocons ก็เริ่มงัดเอาเเผนนั้นขึ้นมาใหม่ เเต่ทำได้ไม่เต็มที่จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ 9/11 นั่นเเหละค่ะ เเต่คราวนี้ภาษาที่เรียกวิธีการต่างๆที่มีอยู่ในเเผนการณ์นั้นเปลี่ยนไป ถึงจะเป็นวิธีการเดิม เเต่เรียกใหม่ให้มันดูดีขึ้น เช่น "preemtive strikes" กลายเป็น "unwarned attacks" "forward presence" กลายเป็น "forwarded deterrence" วิธีการที่ Powell ชอบคือการใช้ overwhelming force เพื่อเอาชนะข้าศึก ซึ่งเรียกว่า Powell doctrine กลายเป็น "effects based approach" Rumsfeld เพิ่มเเนวคิดเเนวปฎิบัติลงไปในเเผนงานนั้นอีก เช่นเพิ่ม concept ของ "preemptive strikes with nuclear weapons" นิวเคลียร์ที่ Rumsfeld พูดถึงหมายถึงอาวุธนิวเคลียร์ประเภทที่ใช้โจมตีเป้าหมายใต้ดินเช่นกองบัญชาการที่อยู่ในบังเกอร์ใต้ดิน คำให้การของ Rumsfeld ต่อ Foreign affairs committee ก่อนอเมริกาจะบุกอิรัคนั่นเเหละค่ะคือการชี้ชัดว่ากลุ่ม neocons งัดเอาเเผนการดั้งเดิมที่ Wolfowitz ร่างไว้เมื่อปี 1992 มาใช้ทั้งหมด เเม้ว่า Rumsfeld จะใช้ภาษาที่ดูเหมือนประนีประนอม เเต่ชี้ชัดว่าเขาต้องการทำอะไร อย่างเช่นเขาบอกคณะกรรมการนั้นว่า "Wars can benefit from coalitions but they should not be fought by committee. Coalition must not determine the mission." Rumsfeld พูดถึงเเผนงานที่เขาจะทำ ซึ่งชี้ชัดถึงว่าเขา refer ถึงเเผนที่ Wolfowitz ร่างไว้ในปี 1992 ทั้งหมด คือเขาบอกว่าเป้าหมายของสหรัฐคือ "develop and maintain the military strength necessary to prevent rival powers." Rumsfeld ของบประมาณ $379 พันล้านจากคองเกรส เพื่อว่า "The United States would reign over all its surveys." แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 47 00:40:53 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 17 ก.ย. 47 00:24:17 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณคุณกุลธิดาครับ ผมรู้เรื่องแนวคิดของพวก อนุรักษนิยมใหม่อย่างคร่าวๆเท่านั้นว่าเป็นอันตราย ต่อชาวโลกโดยเฉพาะเรื่องเอาแต่ใจตัว (Unilateralism) ผมเคยเป็นทหารมาก่อนเลยค่อนข้างจะเชื่อหลักการ ของท่านพาวเวลล์เรื่องการใช้กำลังพลที่เหนือ กว่าศัตรูมาก (Overwhelming force) เพราะถ้าการ บุกอิรักใช้หลักการนี้สหรัฐคงไม่ปวดหัวขนาดนี้หรอก แต่ดันให้ตาเฒ่ารัมสเฟลด์ที่เชื่อในเรื่องการใช้กำลัง พลน้อยแต่เน้นอาวุธที่แม่นยำและทันสมัยมาบัญชา การรบก็เลยเป็นอย่างที่เห็น เอ้อ แล้วท่านพาวเวลล์เป็นพวกอนุรักษนิยมใหม่เหมือน กันหรือครับ เพราะสื่อหลายแหล่งรานงานข่าวว่าท่าน ขัดแย้งกับเชนีย์ รัมส์เฟลด์และโวลฟ์โกวิทเป็นประจำ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 17 ก.ย. 47 12:19:23 A:202.28.78.70 X: TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 80 คุณปักษาฯคะ Colin Powell ไม่ใช่พวก neocons ค่ะ จริงๆไม่น่าเอาชื่อของเเกไปรวมไว้กับพวกนั้นเลยนะคะ ขออภัยค่ะ ว่าไปเเล้วก็น่าเห็นใจ Powell ที่ถูกหลอกใช้ ทำให้ชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของเเกย่อยยับไปเลย เเต่เเกก็ยังคงความน่านับถือตรงที่ในที่สุดเเกก็กล้ายอมรับว่าเมื่อครั้งที่เเกให้ปากคำที่ UN วันที่ 5 กุมภา ปีที่เเล้ว เพื่อขอการสนับสนุนก่อนการบุกอิรัคนั้น เเกให้ข้อมูลที่ผิดพลาด เเกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ Washington Post เมื่อวันที่ 20 ที่ผ่านมานี่ว่าเเกไม่เเน่ใจว่าถ้าเเกรู้เหมือนที่เเกรู้ในวันนี้ว่าอิรัคไม่ได้มีอาวุธร้ายเเรงจริงอย่างที่รัฐบาลนี้กล่าวเเก เเกยังจะสนับสนุนให้มีการรุกรานอิรัคหรือเปล่า Powell บอกว่าก่อนการบุกอิรัค เเกเสนอข้อมูลเรื่องซัดดัม ฮุสเซ็น กำลังสะสมอาวุธร้ายเเรงตามข้อมูลที่เเกได้มาจากหน่วยข่าวของสหรัฐ เเต่เเม้เเต่ก่อนสงครามจะเริ่ม เเละในเวลาต่อๆมา ก็มีความสงสัยกันมาเรื่อยๆว่าข้อมูลเรื่อง WMD ที่ได้กันมานั้นมันเที่ยงตรงจริงหรือ ผู้ช่วยคนนึงของ Powell เองชื่อ Greg Thielmann บอกว่า Powell จำเป็นต้องเสนอข้อมูลตามที่รัฐบาลต้องการให้เสนอ ทั้งๆที่ Powell ในวันนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา รู้ว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลที่รัฐบาลตั้งใจจะ "misrepresented to the public" คือตั้งใจเอามาหลอกลวงประชาชน Thielmann ให้สัมภาษณ์ว่านั่นคือจุดตกต่ำช่วงหนึ่งในชีวิตการทำงานของ Colin Powell “I think my conclusion now is that it's probably one of the low points in his long, distinguished service to the nation." อย่างน้อยๆ Colin Powell ก็ยังเป็นลูกผู้ชายพอที่ยอมรับความผิด เเต่มันก็ผิดพลาดไปเยอะเเล้วนะคะ คนตายเพราะความผิดพลาดนั่นไปหลายพันคนเเล้ว ที่สำคัญคือคนที่ประกาศสงครามเเละส่งทหารไปรุกรานอิรัคยังไม่ยอมรับความผิดของตัวเองเลย แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 47 23:12:58 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 20 ก.ย. 47 23:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 81 สวัสดี ทุกๆคนในห้องราชดำเนิน ขอแนะนำตัวเองผมชื่อ อาร์ท ได้ติดตามอ่านการโต้ตอบในห้องราชดำเนินมาเป็นเวลาสองปีแล้ว ผมไม่มีอะไรที่จะไปโต้ตอบกับใครได้เพระผมคิดว่าผมไม่มีความรู้ที่แท้จริง ได่แต่อ่านและเรียนรู้จากท่านทั้งหลายในห้องนี้ ในความคิดเห็นที่ 73 คุณกุลธิดา บอกกับคุณปักษาวายุว่า อยู่รัฐ South Carolina เป็นอย่างไรบ้างครับอบอุ่นน่าอยู่เหมือนกับบ้านเราหรือดีกว่าบ้านเราครับ แล้วคุณปักษาวายุละอยู่รัฐไหนหรือครับช่วยเล่าให้กันฟังหน่อยสิครับผมอยากฟังความเห็นของคุณกับชาวอเมริกัน ส่านคุณTabitiคงจะอยู่ที่อเมริกาเช่นกันใช่ไหมครับ แล้วคุณตะเกียงลานอยู่รัฐไหนมาบ้างครับและรัฐไหนในอมริกาน่าอยู่ที่สุด ส่วนคุณเอื้องอัยราวัณ(jess) คงจะอยู่อเมริกามานานใช่ไหมครับ คุณคงพอที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับความรับผิดชอบของรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลให้ผมฟังได้บ้าง ทุกๆท่านในห้องนี้ดูเหมือนว่าจะมีความรู้และประสพการเกี่ยวกับรัฐบาลของอเมริกาดี ใดยเฉพาะผู้นำของสหรัฐอเมริกา เห็นท่านๆทั้งหลายพูดถึงเขาบ่อยๆ ผมอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับอเมริกาให้มากกว่านี้ หวังว่าทุกๆท่านในห้องนี้คงจะช่วยผมได้นะครับ คือผมอยากทราบว่านโยบายระหว่างประเทศของอเมริกากับชาติอื่นๆนั้นเป็นอย่างไร, หน้าที่ของประฐานาธิบดีมีอะไรบ้าง, หน้าที่ของสภาผู้แทนมีอะไรบ้าง, หน้าที่ของทหารชาวอเริกันมีอะไรบ้าง, ประชาชนของเขามีชีวิตการกินอยู่กันอย่างไร, และในที่สุดทำไมอมริกาถึงทำอย่างที่ได้ทำอยู่ทุกวันนี้ซึ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจกับคนบางกลุ่ม ผมอยากฟังความเห็นจากท่านทั้งห้า(๕)ในกระทู้นี้ด้วย อย่าโกรธผมนะครับผมเพียงแต่อยากเรียนรู้ความจริงจากท่าน ผิดพลาดอย่างไรก้อขออภัยใว้ณ.ที่นี้ด้วย แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 47 15:32:02 จากคุณ : มาสเตอร์อาร์ท - [ 27 ก.ย. 47 15:30:19 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ตอบคุณมาสเตอร์อาร์ท ผมเคยอยู่รัฐอริโซน่าครับ คนอเมริกันในแต่ละรัฐ ก็จะมีนิสัยใจคอแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่ คนอเมริกันจะเป็นพวกโลกแคบเหมือนกับคนที่อาศัย อยู่ในประเทศใหญ่ๆโดยทั่วไปเช่น คนจีน คนรัสเซีย คนบราซิลที่มักจะมองว่าประเทศของตนคือโลกอัน กว้างใหญ่ ถ้าเป็นคนอเมริกันที่ไม่เคยเดินทางออก นอกประเทศโลกทัศน์ก็จะคับแคบมาก จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 28 ก.ย. 47 14:39:20 A:10.36.3.72 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ขอบคุณมากครับที่คุณปักษาวายุเจียดเวลามาเล่า เกี่ยวกับโลกทัศน์อันแคบของชาวอเมริกัน ถัคุณปักษาวายุมีอะไรเกี่ยวกับชนชาวอเมริกันพอที่จะเล่าให้ฟ้งอีกจะเป็นพระคุณเป็นอย่างมากเลยครับ ขอฝากขอบคุณมาล่วงหน้าด้วยนะครับสำหรับความรู้รอบตัวที่หาได้ยากอย่างนี้ จากคุณ : มาสเตอร์อาร์ท - [ 28 ก.ย. 47 18:35:05 ]

ความคิดเห็นที่ 84 คุณมาสเตอร์อาทคะ ดิฉันไม่ได้อยู่อเมริกาค่ะ อยู่อีสาน ณ ประเทศไทยนี่แหละค่ะ :-) แต่ดิฉันก็เป็นคนไทยคนหนึ่งในจำนวนหลายๆคนที่สนใจติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสงครามอิรักมาตลอด ได้ความรู้มากขึ้นก็จากห้องนี้ล่ะค่ะ แล้วก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเฝ้ารอติดตามต่อไปว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับโลกนี้อีก ที่แน่ๆ ตอนนี้น้ำมันแพงมากกกกกกกกกก แย่จริงๆ :-( จากคุณ : Tabiti - [ 30 ก.ย. 47 00:13:41 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ไม่ได้เข้ามาที่พันทิปเสียหลายวัน เลยเพิ่งเห็นว่ากระทู้นี้ยังมีอยู่ ตอบคำถามของคุณ มาสเตอร์อาร์ท นะคะ ดิฉันย้ายมาอยู่ South Carolina เมื่อ 14 ปีที่เเล้วค่ะ ก่อนหน้านั้นอยู่รัฐ Texas 8 ปี ก่อน Texas ก็อยู่ California ถ้าพูดถึงเรื่องผู้คน ผู้คนใน 3 รัฐนี่เเตกต่างกันค่ะ คนเเถว California จะคุ้นกับคนต่างชาติต่างภาษามากกว่าคนในรัฐ South Carolina รัฐ Texas ก็ดีกว่า South Carolina เเม้ว่าจะไม่เท่า California นะคะ การที่คนในรัฐ California คุ้นเคยกับคนที่สีผิวเเละวัฒนธรรม ตลอดจนภาษาพูดที่ไม่เหมือนกับคนอเมริกันทั่วไปนี่ก็เลยทำให้คนรัฐนั้นมีปัญหากับคนต่างชาติน้อยที่สุดค่ะ คนในรัฐ South Carolina นี่ส่วนใหญ่จะเคร่งศาสนา เเต่ดิฉันมองว่าเป็นลักษณะเคร่งศาสนาเเบบทื่อเเละตรงเกินไป คือเขายึดถือคำสอนในไบเบิ้ลเเบบไม่มีการดัดเเปลงให้เข้ากับสภาพความเป็นจริง เขาเชื่อในไบเบิ้ลเเบบเชื่อตามตัวอักษรที่เขียนน่ะค่ะ บางทีเขาก็เลยเรียกตัวเองว่าพวก fundamentalist นิกายหลักของคนรัฐนี้คือศาสนาคริสต์นิกาย Baptist ค่ะ เป็น Baptist สายที่เรียกว่า Southern Baptist ด้วย เลยยิ่งไปกันใหญ่ นิกายนี้เขามีกฎเกณท์เเละความเชื่อประหลาดๆมากมาย อย่างเช่นมีกฎว่าผู้หญิงจะต้องยอมอยู่ใต้อำนาจของสามี ผู้หญิงจะใส่กางเกงเข้าโบสถ์ไม่ได้ พูดในโบสถ์ก็ไม่ได้ มีการห้ามคนเต้นรำ อะไรทำนองนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเต้นรำเเล้วเสียหายตรงไหน ที่สำคัญคือเขาเอาความเชื่อของเขามาเป็นส่วนนึงของการใช้ชีวิตเเละการมองโลกของเขา นี่เเหละค่ะที่ดิฉันมองว่าเป็นปัญหา เมื่อครั้งที่ดิฉันย้ายมารัฐนี้ใหม่ๆ บริเวณเมืองที่อยู่ไม่มีคนต่างชาติเลยค่ะ จะมีก็เเต่ชุมชนของคนลาวเเละเขมร เป็นชุมชนเล็กๆเท่านั้นเอง ระยะปีเเรกๆ เวลาที่ดิฉันไปไหนมาไหน จะถูกผู้คนมอง ไม่ใช่มองเเบบดูถูกหรืออะไรทำนองนั้นนะคะ เเต่เป็นการมองเเบบอยากรู้อยากเห็นมากกว่าค่ะ คงเป็นเพราะตอนนั้นหาคนเอเชียยากมั้งคะเเถวๆเมืองนั้น อ้อ...เมืองที่ดิฉันอาศัยอยู่เป็นเมืองเล็กด้วยค่ะ ตอนนี้มีประชากรพันกว่าคน เเต่เมืองที่สถาบันที่ทำงานตั้งอยู่ เป็นเมืองใหญ่ ผู้คนเมืองนี้มีที่อพยพมาจากรัฐอื่นเยอะค่ะ เขาก็เลยคุ้นเคยกับอะไรที่เเตกต่างจากที่เขาเคยรู้เคยเห็นหรือเคยเป็นมากหน่อย จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 30 ก.ย. 47 06:22:00 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เอ้อ ผมลืมขอบคุณคุณกุลธิดาครับเกี่ยวกับเรื่อง ท่านพาว์เวลล์ ท่านสมกับเป็นลูกผู้ชายชาติทหาร จริงๆ ขอยกกระทิงแดงให้ ๑ ขวด (ฮา) พวกพล เรือนที่ชอบทำตัวเป็นทหารอย่างพวกนีโอคอนมัน ไม่เคยเข้าใจความยากลำบากในสนามรบเลย ผมเคยเป็นทหารแล้วลาออกมาบวชเป็นพระธุดงค์อยู่แถว ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนที่จะลาสิกขาบทไปเรียน ต่อที่สหรัฐที่รัฐอริโซน่า ซึ่งทุกๆปิดเทอมผมจะไปอยู่กับ เพื่อนและเรียนภาษาฝรั่งเศสที่มนฑลควิเบคในแคนาดา พอจบมาก็ไปอยู่ที่เม็กซิโกพักหนึ่งและก็ไปทำงานกับ NGO ในบอสเนียซึ่งเป็นที่ๆทำให้ผมไม่ชอบสงครามครับ จากนั้นก็ร่อนเร่ต่อไปอีกหลายประเทศแต่ก็กลับไปสหรัฐ บ้าง ไทยบ้าง ไปๆมาๆอยู่แบบนี้แหละท้ายที่สุดก็มาลงที่ ไทยแต่ก็อาจจะต้องร่อนเร่ต่อไปอีกครับ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ก.ย. 47 11:20:47 A:10.36.3.72 X:202.28.77.31 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 87 สวัสดีค่ะคุณ มาสเตอร์อาร์ท ยินดีที่ได้รู้จักคุณมาสเตอร์อาร์ทค่ะ ดิฉันเกิดที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาค่ะแต่ไปเติบโต ในสามประเทศด้วยกันคือ ไทย อเมริกา และแคนาดาค่ะตอนเด็กๆย้ายที่เรียนบ่อยค่ะดังนั้น ที่คุณมาสเตอร์อาร์ทถามดิฉันว่า “ คุณเอื้องอัยราวัณ(jess) คงจะอยู่อเมริกามานานใช่ไหม ครับ” นั้นก็คงตอบได้ว่าถ้านับปีรวมทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในประเทศแม่ของตน (สหรัฐอเมริกา) อาจจะนานเท่าๆกับแคนาดาแต่มากกว่าไทยค่ะ สำหรับคำถามที่คุณมาสเตอร์อาร์ท ถาม มาเรื่องเกี่ยวกับความรับผิดชอบของรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลสหรัฐนั้น ไม่ทราบว่าคุณมาส เตอร์อาร์ทอยากทราบเรื่องไหนเหรอคะ เป็นเรื่องที่กล่าวถึงภาพรวมหรือเฉพาะเจาะจง เป็นกรณีๆไป อยากทราบตรงนี้ก่อนอ่ะค่ะ จะถามเกี่ยวกับรัฐบาลลิเบอร์รัลของแคนาดาก็ได้นะคะดิฉันชอบวิจารณ์เหมือนกันค่ะ ฮิฮิ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 30 ก.ย. 47 16:21:09 ]

ความคิดเห็นที่ 88 “ สิ่งที่บุชทำอยู่มันครึ่งๆกลางๆ ” นโยบายในการต่อสู้การก่อการร้ายของรัฐบาลบุชนั้นท่านเน้นอยู่เสมอว่าการต่อสู้ครั้งนี้ นั้นยากลำบากและไม่มี กำหนดระยะเวลาแน่นอนอเมริกาตามล่าศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ใน มุมมืดและโพรงถ้ำสงครามกับอัลเค้าและบรรดาสมุนบินลาเดนทั้งหลายอัฟกานิสถานคือ จุดเริ่มต้นของการดำเนินความพยายามของอเมริกาในการทำลายฐานที่มั่นใหญ่ของกลุ่ม อัลไคด้าอย่างจริงจังและเฉียบขาดหาได้เป็นดั่งคำวิจารณ์ของคุณปักษาฯที่กล่าวว่า “ สิ่ง ที่บุชทำอยู่มันครึ่งๆกลางๆ ” ได้ไม่ ..ในทางตรงกันข้ามรัฐบาลอเมริกาเองในสมัยของ บิล คลินตันที่ได้สั่งบอมบ์อาฟกานิสถานด้วย Tomahawk cruise missilesในปี1998โดย มีเป้าหมายในการทำลายค่ายฝึกก่อการร้ายของบิน ลาเดนและกลุ่มที่สนับสนุนบิน ลาเดน เพื่อเป็นการตอบโต้ที่สถานกงศุลอเมริกันถูกบอมบ์โดยฝีมือของกลุ่มอัลไคด้านั้นเป็นเพียง **ปฏิบัติการหยอกแกมหยิกแบบเหยาะๆแหยะๆครึ่งๆกลางๆ** อย่่างทีคุณนกวายุภักษ์ ได้กล่าวไว้เลยค่ะ..คลินตันขาดความเด็ดขาดและเฉียบขาดค่ะในการจัดการกับกลุ่มของ พวกผู้ก่อการร้่าย การบอมบ์อาฟกานิสถานในปี1998 นั้นเปรียบไปก็คล้ายดั่งคำพังเพยไทย ที่ว่าไว้ว่า *ตีงูให้หลังหัก * อันถอดถ้อยคำเป็นร้อยแก้วได้ความว่า *กระทำการสิ่งใดแก่ ศัตรูโดยไม่เด็ดขาด จริงจัง ย่อมจะได้รับผลร้ายในภายหลัง* นั่นแล เหตุการณ์ สิบเอ็ด กันยาคือคำตอบที่ดีที่สุดค่ะเพราะสั่งสมมานานหลายปีและมาสุขงอมสมัยบุชนั่นเอง.. สงครามในอิรักและอาฟกานิสถานภายใต้แรงกดดันของประชาคมโลกที่นำโดยจอมทัพ ที่ชื่อว่าจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ผู้นำที่เด็ดเดี่ยวและเฉียบขาดคนนี้ต่างหากที่จะไม่มีทางยอม ศิโรราบให้กับกลุ่มก่อการร้ายจอมขลาดจากคาบสมุทรอาระเบีย จริงๆแล้วคุณนกวายุภักษ์ ไม่ควรเข้าใจเจตจำนง ของบุชคลาดเคลื่อนไปเลยนะคะบุชได้พูดอยู่เสมอว่าอเมริกาจะไม่ มีวันหยุดพักจนกว่าจะควาญหาตัวกลุ่มผู้ก่อการร้ายทั่วโลกได้และอเมริกาจะไม่สามารถ บรรลุในเป้าหมายนี้ได้จนกว่าประเทศทั้งหลายในโลกจะหยุดให้ที่พักพิงและให้การสนับ สนุนผู้ก่อการร้ายที่อยู่ในขอบเขตประเทศของตน ปรากฏการณ์การก่อการร้ายที่เกิดขึ้น อยู่ทั่วทุกมุมโลกในขณะนี้นั้นมิใช่ปรากฎการณ์ใหม่เลยแต่มันมีมานานแล้วและถูกเตรียม การอันมีเป้ามีหมายสูงสุดคือก่อให้เกิดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายมากที่สุดโดยมุ่งหวังผล ทางการเมือง ศาสนา หรือลัทธิอุดมการณ์เพื่อให้เป็นไปในทางที่กลุ่มตนต้องการโดยมอง ข้ามความผิดบาปของการเข่นฆ่าสังหารโดยอ้างว่าทำไปในนามของศาสนาที่รักสันติพวก เสรีนิยมสุดโต่ง พวกซ้ายจัดและพวกนักสิทธิมนุษยชน NGO ที่มีคำว่ามนุษยธรรมค้ำคอ ทั้งหลายที่อ้างว่ารักสันติภาพจนน้ำลายไหลนั้นมองไม่เห็นตรงนี้หรอกค่ะคุณนกวายุภักษ์ เรียกว่าภัยไม่ถึงธรณีประตู ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา และก็อยากจะขอเล่าสู่กันฟังถึง บทบาทของจอมทัพคลินตันในอดีตให้คุณปักษาฟังหน่อยค่ะเกรงว่าคุณนกฯจะหลงลืม ไปว่าเมื่อครั้งที่คลินตันสั่งบอมบ์อัฟกานิสถานนั้นคลินตันได้กล่าวสุนทรพจน์กับประชา ชนชาวอเมริกันไว้ดังนี้ค่ะ "Let our actions today send this message loud and clear -- there are no expendable American targets. There will be no sanctuary for terrorists. We will defend our people, our interests and our values." อ่านแล้วคุณนกฯก็คงจะทราบดีนะคะว่าคำกล่าวของคลินตันนั้นไม่ต่างจากประธานาธิบดีบุช เลยค่ะผลประโยชน์และความมั่นคงของอเมริกานั้นต้องมาก่อนเสมอนี่เป็นนโยบายที่รัฐบาล อเมริกันไม่ว่าจะมาจากพรรคเดโมแครตหรือริพลับลิกันเมื่อยามออกศึกสงครามกับศัตรูที่ใช้ ยุทธวิธีการลอบกัดเป็น strategy หลักต้องคำนึงถึงก่อนเสมอต่างกันแค่คลินตันและบุชนั้นต้อง เผชิญกับภัยก่อการร้ายของพวกมุสลิมหัวรุนแรงต่างกรรมต่างวาระกันเท่านั้นเองกล่าวคือเหตุ การณ์11กันยาได้ทำให้อเมริกาตระหนักแน่แก่ใจแล้วว่าภัยคุกคามจาก Islamic terrorists นั้นเป็นจริงและจับต้องได้ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 30 ก.ย. 47 16:30:17 ]

ความคิดเห็นที่ 89 “ แต่ผมเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง ทั้งบุชและบินลาเดนคงจะได้ชดใช้กรรมในเร็ววัน ” ถ้าหากดิฉันจะลองใช้ตรรกของคุณนกฯดูบ้างเห็นทีงานนี้คุณปักษาคงต้องชวนคลินตัน ไปชดใช้กรรมในเร็ววันด้วยเช่นกันเพราะในการบอมบ์อัฟกานิสถานเมื่อปี1998 และ ปฏิบัตการจิ้งจอกทะเลทรายในอิรักภายใต้จอมทัพคลินตันนั้นมีผู้เสียชีวิตเช่นเดียวกันคุ่ะ เผอิญดิฉันไม่มีความรู้เรื่องกรรมในศาสนาพุทธดีพอ จึงขอเข้าใจตามที่คุณปักษาเขียน ไว้ก็แล้วกันว่าถ้าหากผู้นำประเทศใดต้องสั่งกองทัพไป์ทำศึกสงครามกับศัตรู(ศัตรูนี่ หมายถึงผู้ก่อการร้ายไม่ใช่ประชาชนนะคะต้องแยกแยะหน่อย)แล้วเป็นเหตุให้มีจำนวน ผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายต้องได้รับเวรกรรมในเร็ววันอย่างที่คุณนกฯกล่าวไว้ล่ะก็เห็นทีงาน นี้ผู้นำหลายๆประเทศคงได้รับผลกรรมตายตกไปตามกันหลายท่านแน่ๆ? ดิฉันเองก็อยากทราบความเห็นของคุณปักษาฯเช่นเดียวกันค่ะว่าคุณเองในฐานะที่เคยรับ ราชการทหารมาก่อนนั้นและอ้างว่่าเคยมีประสบการณ์ในสนามรบมาด้วยและยังเคยได้ สัมผัสสงครามในประเทศยูโกสลาเวียและอาฟริกามาแล้วในอดีตตามที่คุณกล่าวว่า “ ดีกว่า ประสบการณ์สงครามที่ผมไปเห็นที่บอสเนียกับในแอฟริกาหรือที่อื่นๆเยอะครับ ” คุณ ปักษาผู้ซึ่งเป็นอดีตทหารและเคยประสพกับสงครามมาด้วยตัวเองจากคำบอกเล่าของคุณ เองดิฉันคิดว่าคุณปักษาคงต้องเคยถือปากกระบอกปืนขึ้นมายิงต่อสู้ข้าศึกแน่นอนค่ะเพราะ เคยอยู่ในสนามรบมาก่อนดังนั้นดิฉันจึงมีคำถามๆคุณปักษาฯว่า: คุณฆ่าคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามมาแล้วกี่ศพ? อย่างนี้คุณปักษาในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตามหลักธรรมในศาสนาพุทธต้องชด ใช้เวรกรรมในเร็ววันกับบินลาเดนด้วยแน่นอนถูกมั๊ยคะ?. .หรือว่าปากกระบอกปืนของคุณไม่เคยเปื้อนเลือดเลยเพราะเวลาจะเล็งปืนจ่อยิงศรีษะหรือ ตัดขั้วหัวใจของศัตรูฝ่ายตรงข้ามคุณปักษาต้องนึกถึงคำว่า *เวรกรรม* ในสนามรบเสมอ? หรือถ้าคุณไม่เคยสังหารใครแต่เป็นผู้สั่งการเองเห็นทีงานนี้คุณคุณปักษาต้องชดใช้กรรมใน เร็ววันนี้เช่นเดียวกันค่ะนี่ดิฉันพูดตามตรรกะของคุณล้วนๆเลยนะ..เพราะถ้าดิฉันเข้าใจไม่ผิด ศีลห้า (เบญจศีล)ในศาสนาพุทธข้อที่หนึ่ง ปาณาติปาตา เวรมณี ละเว้นสังหาร ประทุษร้าย ต่อชีวิตและร่างกายสัตว์อื่นนั้นห้ามพุทธศาสนิกชนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ศีลจะขาดเพราะใจอย่าง เดียวไม่ได้เช่นนึกฆ่าสัตว์ เป็นต้น ศีลยังไม่ขาดเพราะยังไม่ได้ประกอบด้วยกายวาจาแต่ถ้าฆ่า ด้วยกายเราหรือใช้เขาฆ่าด้วยวาจาเราอย่างนี้ศีลขาดเป็นความผิดบาป ดังนั้นเห็นทีท่านคลิน ตันจะต้องชดใช้กรรมในเร็ววันด้วยจริงๆนะคะคุณปักษา ทำไมลืมไปเสียเล่า? ก็เลยขอพื้นที่ ตรงนี้รื้อฟื้นความทรงจำให้คุณหน่อยอ่ะค่ะดูเหมือนคุณนกฯจะลืมง่ายเสียแล้ว จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 30 ก.ย. 47 16:38:55 ]

ความคิดเห็นที่ 90 {ที่ชื่อว่าจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ผู้นำที่เด็ดเดี่ยวและเฉียบขาด คนนี้ต่างหากที่จะไม่มีทางยอมศิโรราบให้กับกลุ่มก่อการ ร้ายจอมขลาดจากคาบสมุทรอาระเบีย} บุชไม่ใช่ผู้นำที่เด็ดเดี่ยวอะไรเลย ถ้าหากไม่ให้คนเข้า ใจเจตนาของบุชคลาดเคลื่อนทำไม่บุชไม่มุ่งจัดการกับ บินลาเดนเพียงอย่างเดียวแต่กับไปบุกอิรักทั้งๆที่ไม่มี หลักฐาน ถ้ามีใครโจมตีผมผมก็ต้องไปเล่นงานคนที่โจม ตีผมไม่ใช่เล่นงานคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ผมเห็นด้วยกับการ บุกอัฟกันแต่ไม่เห็นด้วยกับการบุกอิรัก ทหารที่ดีต้องยึด หลักการป้องกันตัวเองไม่ใช่รุกรานคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช่พอหาหลักฐานอาวุธร้ายแรงก็มาเที่ยวแก้ตัวพัลวัน แทนที่จะยอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมาแบบลูกผู้ชาย ชาติทหาร ผู้ก่อการร้ายในอิรักเกิดขึ้นหลังจากที่อิรักแตก จนตกอยู่ในสภาพไร้ขื่อแปไม่ใช่หรือ ซัดดัมเคยให้ที่พักพิงบินลาเดนรึเปล่า จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ก.ย. 47 17:34:54 A:10.36.3.72 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 91 “ คุณ ktm ก็เคยบอกว่าทั้ง CIA กับ Mossad นั้นก็ ระแวงกันอยู่ CIA จะไม่รับชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เข้าทำงานเพราะกลัวความลับจะรั่วไปยังหน่วย Mossad ” ดิฉันเกรงว่าคุณ ktm คงจะเข้าใจผิดมังคะอยากฝากคำถามของดิฉันไปถึง คุณktmนะคะว่ายังจำ Adam Ciralsky และ David Tenenbaum ได้หรือเปล่า? แล้วทราบหรือเปล่าคะว่าการถูกฟ้องข้อหาanti-semitismและ other form of discrimination นั้นร้ายแรงมากนะคะในอเมริกา บางหน่วยงานของ CIA(ไม่ใช่ทั้งหมด)ที่ต่อต้านชาวอเมริกันยิวนั้นมีจริงค่ะ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของCIA คนหนึ่งก็กำลังถูกฟ้องขึ้นศาลอยู่ค่ะคุณปักษาฯ อย่ากระพริบตาเชียวค่ะคดีนี้เพราะอาจโยงไปถึงเรื่อง การกล่าวหาว่าามีบุค คลระดับสูงคนหนึ่งในเพนตากอนเป็นสายให้กับอิสราเอลเกี่ยวกับอาวุธนิว เคลียร์ของอิหร่าน มาฟังคำกล่าวของ George J. Tenet เกี่ยวกับนโยบายของในการรับบุคคลเข้า ทำงานของ CIAดูดีกว่าค่ะ “ The Central Intelligence Agency is an organization which celebrates diversity. More than any other part of the U.S. government, we must seek out employees from the widest variety of ethnic, cultural and religious backgrounds. It is our job to understand the world and in order to achieve our mission we must have a diverse workforce that represents a broad spectrum of perspectives and skills. The notion of singling out any Agency employee or ethnic group for different or unfair treatment is totally abhorrent to me and to all of CIA’s leadership team. My four immediate predecessors have also issued a strong statement defending the Agency’s long-standing commitment to and record of unbiased treatment for all Agency employees. ” --- George J. Tenet ก็ให้แปลกใจค่ะว่าคุณktmของคุณปักษาฯนำเรื่องที่ลือกันมาว่า CIA จะไม่รับชาว อเมริกันเชื้อสายยิวนี้มาจากไหนการต่อต้านชาวอเมริกันยิวในองค์กร CIA นั้นมี แน่นอนค่ะแต่นั่นเป็นเรื่องของ individual ไม่ใช่นโยบายขององค์กร CIA ค่ะอย่า ฟังเพียง *เค้าเล่าว่า* สิคะคุณปักษาฯต้องเสาะแสวงหาข้อเท็จจริงประกอบไปด้วย ถึงจะทำให้เรามั่นใจได้ว่าเราได้เสพข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องด้วยค่ะ เราไม่จำเป็น ต้องไปเกลียดใครให้มากมายเกินกว่าความจำเป็นค่ะ เพราะะอาจกลายเป็นเหยื่อ ของการโฆษณาชวนเชื่อในมุมกลับได้โดยไม่รู้ตัว จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 30 ก.ย. 47 17:41:26 ]

ความคิดเห็นที่ 92 (ถ้าหากดิฉันจะลองใช้ตรรกของคุณนกฯดูบ้างเห็นทีงานนี้คุณปักษาคงต้องชวนคลินตันไปชดใช้กรรมในเร็ววันด้วย เช่นกันเพราะในการบอมบ์อัฟกานิสถานเมื่อปี1998 และ ปฏิบัตการจิ้งจอกทะเลทรายในอิรักภายใต้จอมทัพคลินตัน นั้นมีผู้เสียชีวิตเช่นเดียวกันคุ่ะเผอิญดิฉันไม่มีความรู้เรื่อง กรรมในศาสนาพุทธดีพอ จึงขอเข้าใจตามที่คุณปักษาเขียนไว้ก็แล้วกันว่าถ้าหากผู้นำประเทศใดต้องสั่งกอง ทัพไป์ทำศึกสงครามกับศัตรู(ศัตรูนี่หมายถึงผู้ก่อการร้ายม่ใช่ประชาชนนะคะต้องแยกแยะหน่อย)แล้วเป็นเหตุให้มีนวนผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายต้องได้รับเวรกรรมในเร็ววันอย่างที่ คุณนกฯกล่าวไว้ล่ะก็เห็นทีงานนี้ผู้นำหลายๆประเทศคงได้ รับผลกรรมตายตกไปตามกันหลายท่านแน่ๆ?) สมแล้วที่คุณไม่มีความเข้าใจในพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ผู้นำเหล่านั้นก็ต้องไปชดใช้เวรกรรมอย่างแน่นอน แม้ว่าจะทำเพื่อความสงบสุขของชาวโลกอย่างแท้จริงก็ ตามมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น คุณไม่คิดหรือว่าคนที่ ถูกฆ่าตายไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลวก็ตามก็จะต้อง อาฆาตแค้นคนที่ฆ่าแน่นอนไม่ว่าผู้ฆ่าจะทำด้วยจุด ประสงค์ใดก็ตาม และก็จะต้องจองเวรกับคุณทุกชาติไป จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ก.ย. 47 17:42:10 A:10.36.3.72 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 93 คุณฆ่าคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามมาแล้วกี่ศพ? ตอบ ก็หลายศพอยู่ ดังนั้นจึงไม่อยากฆ่าคนอีก คุณคิดว่าการฆ่าคนที่ไม่เคยขัดแย้งกับคุณเป็น การส่วนตัวเป็นเรื่องน่าสนุกนักหรือ (อย่างนี้คุณปักษาในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตามหลักธรรมในศาสนาพุทธต้องชดใช้เวรกรรมในเร็ววันกับบิน ลาเดนด้วยแน่นอนถูกมั๊ยคะ?.) แน่นอนผมต้องชดใช้กรรมที่ผมก่อไม่วันใดก็วันหนึ่งแต่ไม่ ใช่กับบินลาเดนเพราะคนละเรื่องกัน (.หรือว่าปากกระบอกปืนของคุณไม่เคยเปื้อนเลือดเลยเพราะเวลาจะเล็งปืนจ่อยิงศรีษะหรือตัดขั้วหัวใจของศัตรู ฝ่ายตรงข้ามคุณปักษาต้องนึกถึงคำว่า *เวรกรรม* ในสนามรบเสมอ?) แน่นอนมันต้องเปื้อนเลือดแต่ก้ดีกว่าให้มันเปื้อนเลือด คนเราถ้าหยุดการฆ่าคนได้ย่อมดีกว่า ผมเลยลาออก มาบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับบุคคลเหล่านั้น (หรือถ้าคุณไม่เคยสังหารใครแต่เป็นผู้สั่งการเองเห็นทีงาน นี้คุณคุณปักษาต้องชดใช้กรรมในเร็ววันนี้เช่นเดียวกันค่ะนี่ดิฉันพูดตามตรรกะของคุณล้วนๆเลยนะ..) แน่นอน ผมถึงหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลยังไงหละ แม้ว่า จะต้องชดใช้กรรมในวันหนึ่งวันได้ข้างหน้าแต่ถ้าเรารู้จัก สร้างกุศลหยุดฆ่าคนก็ยังดีกว่าที่จะถลำลึกฆ่าคนต่อไป เรื่อยอย่างไม่มีวันจบสิ้นหรอกนะ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ก.ย. 47 17:53:06 A:10.36.3.72 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 94 สงครามในบอสเนียมันโหดกว่าใน ๓ จังหวัดชายแดน ภาคใต้เยอะมันแทบจะทำให้คุณสะอิดสะเอียน นโยบายที่พูดบางครั้งก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงเสมอ ไปหรอกคุณ ผมไม่ค่อยเชื่อคำพูดของชาวตะวันตก นักหรอกปากก็บอกว่าไม่เหยียดผิวแต่ในใจเป็นอย่าง ไรก็สุดที่จะหยั่งได้นะคุณ จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ก.ย. 47 17:59:36 A:10.36.3.72 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 95 คนที่เป็นผู้ปกครองประเทศแม้ว่าจะมีคุณธรรมก็ตาม ก็ยากที่จะหลีกเรื่องการก่อกรรมแต่ก็ยังดีกว่าผู้ก่อการ ร้ายหรือผู้นำประเทศที่ไร้คุณธรรมที่ก่อกรรมไม่รู้จัก จบสิ้น มันเป็นเรื่องธรรมดา (เสรีนิยมสุดโต่ง พวกซ้ายจัดและพวกนักสิทธิมนุษยชน NGO ที่มีคำว่ามนุษยธรรมค้ำคอทั้งหลายที่อ้างว่ารัก สันติภาพจนน้ำลายไหลนั้นมองไม่เห็นตรงนี้) ความเห็นของคนพวกนี้ก็มีส่วนถูกอยู่บ้างและเขาก็มอง เห็นแต่เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่บุชทำอยู่ หรือว่าคุณเอื้องไม่รักสันติภาพจริงๆ คนส่วนก็ต้อง การสันติภาพทั้งนั้นเพียงแต่เชื่อในวิธีการบรรลุสันติภาพ ต่างกัน แต่อย่างน้อยผมก็เห็นว่าวิธีการของบุชและ นีโอคอนมันไม่ได้ผลเท่านั้นเองกลับทำให้ผู้ก่อการร้าย แพร่พันธุ์มากขึ้น ถ้ามุ่งจัดการกับบินลาเดนอย่างเดียว ป่านนี้คงจะเรียบร้อยไปแล้ว จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 30 ก.ย. 47 18:10:35 A:10.36.3.72 X:202.28.77.30 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ประเด็นที่หก เรื่องที่ดิฉันได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่ามีการการชิงดีชิงเด่นท่ามกลาง intelligence-agencies นั้นเป็นเรื่องจริงค่ะและมีมานานแล้วด้วยพูดจริงมิได้อิงนิยาย อีกอย่างเหตุการณ์11กันยาก็พิสูจน์ใ้ห้เห็นแล้วนี่คะว่าหน่วยข่าวกรอง CIA นั้น ทำงานล้มเหลวและบกพร่องเพียงใดในการแจ้งเตือนภัยในเหตุวินาศกรรมวันที่11 กันยายน 2001 จึงไม่สามารถป้องกันโศกนาฎกรรมในครั้งนั้นได้ทั้งที่เคยเกิดการ บอมบ์ตึกWTCมาก่อนหน้านี้แล้วในปี1993 เจ้าหน้าที่สอบสวนในองค์กร CIA และFBIไม่สามารถปะติดปะต่อการทำงานของกลุ่ม 19 al-Qaeda hijackers ซึ่ง เลื่อนเวลาการปฏิบัติการถล่มตึก WTCออกไปหลายเดือนได้เลยก็ลองตรองดูเถิดค่ะ ก่อนหน้าเหตุการณ์9-11นั้นการบอมบ์เรือU.S.S. Cole ซึ่งส่งผลทำให้ลูกเรือเสีย ชีวิตไปทั้งสิ้น17 นายก็เป็นผลงานของหน่วยข่าวกรองอีกนั่นแหละที่ไม่สามารถ สืบพบได้ว่าอัลเคด้ามีฐานที่มั่นอยู่ที่ port of Adenในเยเมนนั่นเองเหตุการณ์บอม เรือU.S.S.Cole นี้เกิดขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกันหลังจากที่สถานกงศุลหรัฐโดน บอมบ์ในแอฟริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคลินตันซึ่งก็เป็นฝีมือของกลุ่ม ก่อการร้ายอัลเคด้าขาประจำที่ประกาศกร้าวถึงความเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐอเมริกา ไม่เคยลดน้อยถอยลงไปเลยตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าการ ที่พวกนักวิจารณ์สงครามอิรักทั้งหลายโดยเฉพาะข่าวหรือบทความที่มาจากแหล่ง ข่าวของพวกซ้ายจัดในการกล่าวโทษว่าสงครามอิรักเป็นสาเหตุทำให้มีการก่อการ ร้ายเพิ่มมากขึ้นนั้นเป็นการมองภาพรวมแบบมิติเดียวโดยลืมข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง ไปว่ากลุ่มก่อการร้ายอาหรับหัวรุนแรงเหล่านี้มองศาสนาหรือขบวนการทางการ เมืองเป็นเรื่องเดียวกันปลุกระดมความคิดของกลุ่มชนที่นับถือศาสนาเดียวกันให้ มาเข้าร่วมลัทธิอุดมการณ์เดียวกันจากที่เคยผูกมัดแต่ Arab identity ก็ขยายขอบเขต พันธนาการจนกลายมาเป็นผู้นับถืออิสลามให้เป็นรอยด่างอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ ด้วยการนำหลักการทางศาสนามาเป็นเครื่องตอกย้ำจิตสำนึกของผู้ศรัทธาโดยเน้น ถึงแก่นของศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องการชี้ทางให้ปัจเจกชนผู้ศรัทธาสามารถก้าวล่วง เหนือความตายและยังได้เสนอหนทางการทำจีฮัดโดยการสร้างเงื่อนไขเพื่อความ อยู่รอดของอิสลามเป็นแรงขับเคลื่อนจิตสำนึกของมวลหมู่อิสลามิกชนเหล่านี้เป็นต้น แล้วสงครามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างลับๆระหว่าง FBI กับ CIA นั้นก่อให้้เกิด ความเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของอเมริกาอย่างไร?ปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างสององค์กรนี้มันมีมานานแล้วล่ะค่ะและปัญหาความขัดแย้งที่ว่านี้ก็มาจาก สาเหตุเดียวเท่านั้น("root cause") สาเหตุที่ว่านี้ก็คือ institutional หรือระบบภายใน องค์กรนั่นเองดังที่แพต โรเบิร์ตส์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาได้ สรุปไว้ใน Senate Intelligence Committee ว่าส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ศักยภาพด้าน ข่าวกรองของซีไอเอล้มเหลวนั้นก็มาจากความล่มสลายในวัฒนธรรมของหน่วยงาน และองค์กรด้านข่าวกรองและการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพซึ่งความล้มเหลวเหล่า นี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการอัดฉีดงบประมาณรวมไปถึงการเพิ่มทรัพยากรด้านบุค คลากร นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ถูกสอบสวนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรค่ะ ผลงานชิ้นโบว์ แดงฉบับความล้มเหลวของหน่วยข่าวกรองนั้นก็ไล่ตั้งแต่สงครามอ่าวPearl Harbor ไปจนถึง Bay of Pigs เลยโน่นแน่ะรวมไปถึงการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี Kennedy คดีวอร์เตอร์เกต อิหร่านคอนทร้า จนมาถึง 9/11 นั้นสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรง มาได้เลยว่าเป็นความล้มเหลวของหน่วยข่าวกรองและความล้มเหลวเหล่านั้นก็เป็น ผลมาจากศึกชิงดีชิงเด่นระหว่าง two great rival agencies คือCIAและFBI เนื่องด้วย ระบบหน่วยงานข่าวกรองของทั้งสองหน่วยงานนี้มีหน่วยงานแยกย่อยออกไปอีกหลาย หน่วยงานและภาระกิจหนาที่หลายๆด้านของทั้งสองหน่วยงานคือCIAและFBI ก็ หลีกไม่พ้นที่จะต้องมีความรับผิดชอบที่ซ้ำซ้อนกัน แน่นอนทั้งสองหน่วยงานนี้ ย่อมหนีไม่พ้นการกระทบกระทั่งกันในเรื่องการแข่งขันกันขอเงินงบประมาณให้ั กับกรม กองของตนซึ่งก่อให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันของทั้งสองหน่วยงานและ ความเป็นปฏิปักษ์กันนั้นก็ก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวตามมาซึ่งความเห็นแก่ตัวนี้ก็ สร้างผลงานที่ล้มเหลวร่วมกันเป็นผลต่อเนื่องตามมาด้วยเหตุนี้เองค่ะคณะกรรมการ ของสภาคองเกรสที่ประกอบไปด้วยสมาชิกประมาณ 7 คนจึงได้เสนอแนะเพื่อหา ทางแก้ไขปัญหาที่บ่มเพาะมานานหลายปีของหน่วยข่าวกรองทั้งสองนี้ซึ่งในบรรดา คณะกรรมการทั้ง 7 คนที่เห็นชอบสมควรให้มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมานั้นก็ คือวุฒิสมาชิกจอห์น เอ็ดเวิร์ดและ James B. Steinberg ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยที่ ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำ ทำเนียบขาวในสมัยรัฐบาลคลินตันซึ่งหน่วย งานที่จะจัดตั้งขึ้นนี้ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ MI-5ของอังกฤษนั่นเองค่ะ หรือพูดอีก ในหนึ่งก็คือหน่วยงานนี้มีภาระหน้าที่รับผิดชอบด้านข้อมูลข่าวกรองภายในประ เทศแบบของ FBI และก็เพื่อหวังให้การกระทบกระทั่งกันกับหน่วยข่าวกรองต่าง ประเทศCIAลดน้อยลงไปนั่นเอง Steinberg และวุฒิสมาชิกหญิง Dianne Feinstein ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนี้เหมือนกันที่เห็นชอบด้วยและต้องการแก้ไขความขัด แย้งระหว่างข้าราชการประจำในหน่วยงานราชการด้วยการเพิ่มหน่วยงานราชการ ขึ้นมาอีกหน่วยงานหนึ่ง เป็นความพยายามในการแก้ปัญหาที่แปลกดีค่ะ จริงๆแล้วดูเหมือนว่าการผลักดันให้จัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองใหม่โดยNational Intelligence Directorateนี้ จะมองข้ามองค์กรหน่วยข่าวกรองหลักๆ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบงาน เกี่ยวเนื่องกันอยู่แล้ว เช่น CIA, FBI, NSA, National Geospatial-Intelligence Agency, DIA, และ State Department’s intelligence ซึ่งทั้งหกหน่วยงานนี้ก็ทำงานประสาน ความร่วมมือกันได้ดี มีความเป็นไปได้ที่ว่าจุดประสงค์ของข้อเสนอให้มีการจัดตั้ง หน่วยงานข่าวกรองใหม่นี้ก็เพื่อให้ความช่วยเหลือ Terrorist Threat Integration Center ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่เช่นกันค่ะแต่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของCIA ซึ่งถูกก่อตั้ง ขึ้นโดยประธานาธิบดีบุชเมื่อปีที่แล้วเพื่อส่งเสริมความปรองดองระหว่างกันนั่นเอง (ยังมีต่อค่ะ)... จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 30 ก.ย. 47 18:37:33 ]

ความคิดเห็นที่ 97 “ ไม่ใช่พอหาหลักฐานอาวุธร้ายแรงก็มาเที่ยวแก้ตัวพัลวัน แทนที่จะยอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมาแบบลูกผู้ชาย ชาติทหาร ” ทำไมประธานาธิบดีบุชจะต้องยอมรับผิดด้วยล่ะคะในเมื่อสงครามอิรักนั้นไม่ใช่สิ่ง ที่ผิดพลาดอย่างที่พวกนักวิจารณ์สงครามทั้งหลายพยายามจะยัดเยียดให้โดยลืมข้อ เท็จจริงไปว่า 1. สาเหตุที่อเมริกาบุกอิรักนั้นบุชได้พูดเรื่องนี้อย่างชัดเจนในการกล่าวสุนทรพจน์ กับชาวอเมริกันซึ่งประกอบไปด้วยเหตุผลหลัก 4 ข้อด้วยกันนั่นก็คือ 1. Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons. 2. Saddam's sponsorship of international terrorism. 3. To liberate the Iraqi People. 4. To remove the instability caused by Saddam in the Middle East. บุชได้กล่าวถึงเหตุผลทั้งสี่ข้อนี้สำหรับเป็นเหตุผลที่ใช้ในการบุกอิรักในการกล่าวสุน ทรพจน์ต่อ the UN ในวันที่ 12 กันยายน 2545 และต่อประชาชนชาวอเมริกันในวันที่ 17 มีนา 2546 ก่อนสงครามอิรักจะเริ่มขึ้นอาจารย์เข้าไปอ่านตามลิ้งค์นี้ได้ค่ะ http://www.whitehouse.gov/news/releases/2002/09/20020912-1.html http://www.whitehouse.gov/news/releases/2003/03/20030317-7.html ส่วนรายงานการสอบสวนของคณะกรรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาของสหรัฐฯที่ได้ กล่าวตำหนิรายงานของ CIA ที่ระบุว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองรายงาน ฉบับนั้นซีไอเอได้ส่งมอบให้กับฝ่ายความมั่นคงของประธานาธิบดีบุชซึ่งได้ใช้เป็น เหตุผลหนึ่งในการบุกอิรักนั้นว่าเป็นข้อสันนิษฐานที่เกินจริง, ไม่มีหลักฐานด้านงาน ข่าวกรองมารองรับอย่างเพียงพอ ("overstated or "not supported by the raw intelligence reporting.")และแพต โรเบิร์ตส์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาได้พบ ว่าสัญญาณบอกเหตุที่สำคัญที่สุดถึงความล้มเหลวของหน่วยข่าวกรองก็คือหลังจาก ปี1998และชุดคณะผู้ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นได้เดินทางออกนอกประเทศอิรักไป แล้วนั้น CIA ไม่มีแหล่งข่าวบุคคลที่คอยทำหน้าที่ฝังตัวเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ WMDที่ถือว่าเป็นอาวุธเป้าหมายของซัดดัมอยู่ในประเทศอิรักเลยและโรเบิร์ตส์ยัง เห็นว่าส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ศักยภาพด้านข่าวกรองของซีไอเอล้มเหลวในครั้งนี้ ก็คือมาจากความล่มสลายในวัฒนธรรมของหน่วยงานและองค์กรด้านข่าวกรองและ การบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพซึ่งความล้มเหลวเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย การอัดฉีดงบประมาณรวมไปถึงการเพิ่มทรัพยากรด้านบุคคลากร ค่ะแต่ในขณะเดียวกันรายงานการสอบสวนของคณะกรรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภา ของสหรัฐฯมิได้ระบุว่า CIA ทิ้งหรือละเลยหลักฐานการฝ่าฝืนมติของยูเอ็นและความ พยายามของซัดดัมในการขัดขวางคณะผู้ตรวจสอบWMDของยูเอ็นมาโดยตลอดที่ห้าม อิรักมีอาวุธต้องห้ามไว้ในครอบครองในส่วนตรงนี้สำคัญค่ะเพราะว่าเหตุผลเรื่องWMD นั้นไม่ใช่ *the presence of WMD* แต่เป็นเรื่อง *the absence of evidence* ที่ถูกขน ย้ายออกไปหรือถูกทำลายเนื่องจากว่าวัตถุที่ถูกสะสม(stockpiles)ไว้เหล่านั้นที่หาย ไปโดยไร้ร่องรอยไม่สามารถถูกอธิบายหรือให้เหตุผลได้ว่าอันตรธานหายไปไหน และนี่คือที่มาของข้อสัณนิษฐานโดยทุกคนที่คิดว่าอิรักกำลังพัฒนา WMD program จ ะ large-scale หรือไม่ก็ตามแต่ที่สุดของความจริงก็คือ *Saddam was in breach of the UN resolutions อย่างต่อเนื่อง* และแทบจะไม่มีหลักฐานใดๆเลยที่ถูกระบุว่าซัดดัม ไม่มีอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองจนกระทั่งหลังจากที่อเมริกาประกาศยุติ “ major combat ” และเริ่มสืบค้นหาอาวุธร้ายแรงเหล่านั้นอย่ามองเรื่องอาวุธร้ายแรงอย่างเดียวค่ะเพราะ WMDมิใช่เหตุผลเดียวในการบุกอิรักแต่ประกอบไปด้วย 4 เหตุผลหลักด้วยกันดังที่ กล่าวมาแล้วข้างต้น นี่คือข้อเท็จจริงค่ะ เห็นคนในห้องนี้พูดถึงเรื่อง WMD ซ้ำๆซากๆหลายครั้งทั้งๆที่ข้อมูลเกี่ยวกับ WMD นั้นพวกคุณก็สามารถไปตรวจสอบกับเว็ปไซท์ของยูเอ็นได้โดยตรงรวมไปถึงการราย งานผลการสอบสวนเรื่องอาวุธร้ายแรงในอิรักล่าสุดด้วย ซึ่งขณะนี้ชาร์ลส์ ดิลเฟอร์ หัวหน้าคณะผู้ตรวจอาวุธของสหรัฐฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากซีไอเอ ยังดำเนินการสรุป รายงานความหนาราว 1,500 หน้าอยู่ และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ก่อนจะ นำเสนอรายงานล่าสุดได้ ดร. David Kay เองก็ได้สรุปไว้ชัดเจนแล้วว่า ***อิรักไม่ได้สะสมอาวุธอำนาจทำลายล้าง สูง แต่มีหลักฐานชี้ว่าซัดดัม ฮุสเซนตั้งใจจะรื้อฟื้นโครงการอาวุธขึ้นมาใหม่***ประโยคนี้ ไม่บ่งบอกสาระสำคัญอะไรบ้างเลยหรือแปลกจริง และเหตุผลทั้งสี่ข้อที่ประธานาธิบดีบุช นำไปใช้ในการบุกอิรักที่ดิฉันได้กล่าวไว้นั้นคุณปักษาฯบอกได้รึเปล่าคะว่าเหตุผลข้อไหน ที่อเมริกาไม่ทำตามบ้างอยากรู้ค่ะ 2. อิรักยังไม่มีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการเลยอย่ารีบด่วนสรุปสิคะถ้าหากคนอิรักเลือก ผู้นำอย่างซัดดัมเข้ามาปกครองประเทศอีกครั้งตอนนั้นต่างหากล่ะคะถึงจะสมควรกล่าว ว่าสงครามอิรักครั้งนี้เป็นสงครามที่ผิดพลาดชาวอิรักเท่านั้นค่ะที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุด จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 30 ก.ย. 47 19:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 98 และขอสรุปอย่่างสั้นๆอีกครั้งนะคะว่าในรายงานของ David Kay นั้นสรุปเรื่องอาวุธร้ายแรงในอิรักไว้ 5 ประเด็นหลักด้วยกันคือ 1. Stockpiles haven't been found yet, and there are theories as to where the weapons went. 2. Iraq could have been destroyed them during the war. They could be hidden. They could have been transported to another country. 3. Saddam had the capacity to make weapons 4. Saddam Hussein was dangerous with weapons 5. Saddam Hussein was dangerous with the ability to make weapons. จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 30 ก.ย. 47 20:00:41 ]

ความคิดเห็นที่ 99 วันนี้มีเวลาเขียนเพียงเท่านี้ค่ะต้องออกไปเรียนแล้วค่ะเพราะมหาวิทยาลัยเปิดเทอมแล้ว ยังมะได้นอนเลย ฮือๆๆ..การบ้านรัดตัวจริงๆค่ะ หัวแทบแตกเลย ..แหะๆ.. ตอนนี้ต้องขอตัวไปเตรียมตัวเขียนรายงานเพื่อทำ presentation ก่อนค่ะอาทิตย์หน้าจะมี เจ้าหน้าที่จากยูเอ็นมานั่งฟังเป็นแขกรับเชิญด้วยค่ะ ฮิฮิฮิ หากเวลาเอื้ออำนวยจะมากล่าวประเด็นที่หกและเ็จ็ดต่อค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 30 ก.ย. 47 20:20:06 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เห็นด้วยกับคุณปักษาฯค่ะ ที่ว่าการบุกอัฟกานิสถานนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะรัฐบาลทาลิบันให้ที่พักพิงกับ Osama bin Laden เเละกลุ่ม Al Queda ก็เหมือนกับการให้ที่พักพิงกับฆาตกรนั่นเเหละค่ะ เเต่ซัดดัม ฮุสเซ็นเเละอิรักเกี่ยวข้องอะไรด้วยกับเรื่องนี้ อย่าเบี่ยงเบนประเด็นด้วยการยกกรณี Desert Fox เเละกรณีที่คลินตั้นเคยสั่งบอมม์อิรักเเละอัฟกานิสถานเลยค่ะ Operation Desert Fox เกิดเพราะสาเหตุอะไร เเละอยู่ภายใต้กฎของสหประชาชาติหรือเปล่า คลินตั้นสั่งบอมม์อิรักในวันที่ 16 ธันวาคม ปี 1998 ก็เพราะซัดดัม ฮุสเซ็นขับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธ UNSCOM เเละ IAEA ออกจากอิรัก นั่นเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ซัดดัม ฮุสเซ็นทำไว้กับสหประชาชาติค่ะ ข้อเเตกต่างที่คลินตั้นทำคือการบอมม์อิรักนั้นเทียบไม่ได้เลยกับการส่งทหารเข้ารุกรานอิรักเเละยึดครองอิรักทั้งประเทศ จนขนาดนี้เเล้วคุณเอื้องยังยก Desert Fox มาอ้างอยู่เรื่อยๆ มองไม่เห็นความเเตกต่างหรอกหรือคะ การบอมม์อัฟกานิสถานของคลินตั้นก็เหมือนกัน คลินตั้นยังไม่ถึงกับบุกอัฟกานิสถานเพราะถึงเเม้ว่าสมัยนั้นรัฐบาลทาลิบันจะให้ที่พักพิงเเก่ Bin Laden จริง เเต่ Bin Laden ยังไม่ทำการอุกอาจเหมือนเหตุการณ์ 9/11 คลินตั้นยังไม่มีเหตุอะไรที่จะถึงกับต้องรุกรานอัฟกานิสถานทั้งประเทศค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 1 ต.ค. 47 00:59:03 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เรื่องการชิงดีชิงเด่นกันระหว่าง intelligence-agencies นั้นดิฉันทราบเหมือนกันค่ะว่าเป็นเรื่องจริง อย่าง FBI เเละ CIA เป็นต้น ไม่เคยทำงานประสานกันเลย เเต่เรื่องที่กำลังพูดกันนี่ไม่เกี่ยวกับการชิงดีชิงเด่นที่ว่านี่นะคะ ส่วนสาเหตุที่บุชออกคำสั่งรุกรานอิรักนั้น ถ้าคุณเอื้องเอาเหตุผลที่เขียนไว้สวยๆงามๆจากเวปไซท์ของทำเนียบขาว ก็ได้อย่างที่เห็นนั่นเเหละค่ะ เเต่ในภาคสนาม คือจากเหตุผลที่บุชเเละทำเนียบขาวให้กับประชาชนอเมริกัน ดิฉันคิดว่าคุณเอื้องน่าจะจำได้ว่ารัฐบาลสร้างเหตุขึ้นมายังไงบ้าง คุณเอื้องก็รู้ว่าเขาให้เหตุผลกับเราๆว่ายังไง เหตุผลเริ่มจาก - ซัดดัม ฮุสเซ็นเป็นผู้ก่อเหตุการณ์วันที่ 11 กันยา ต่อมาพบว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด คนร้าย 15 ใน 19 คนที่ตายวันนั้นไม่ใช่คนอิรัก เเต่เป็นซาอุดิอเรเบีย เเละเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหรัฐยืนยันซ้ำเเล้วซ้ำอีกว่าเป็นผลงานของ Al Queda เหตุผลนั้นก็ชักอ่อนลง เเล้วค่อยๆเลือนหายไป - เหตุผลที่ 2 เริ่มเข้ามาเเทน ซัดดัม ฮุสเซ็นมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่ม Al Queda นาย Mohammad Atta เคยไปพบกับเจ้าหน้าที่ของซัดดัม ฮุสเซ็นที่กรุงปราก อะไรเหล่านั้น ต่อมาเหตุผลนั้นค่อยลดความสำคัญลง เพราะโยงยังไง ก็โยงซัดดัม ฮุสเซ็นไปถึงกลุ่ม Al Queda ไม่ได้ มีสาขาของกลุ่ม Al Queda อยู่กลุ่มเดียวที่ active อยู่ในอิรักในเวลานั้นคือกลุ่ม Ansar al Islam ซึ่งก็ active อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ คือบริเวณที่ชาว Kurd อาศัยอยู่ บริเวณนั้นเป็นบริเวณ no-fly zone ซึ่งอยู่นอกอำนาจของซัดดัม ฮุสเซ็น เเละอยู่ภายใต้การดูเเลของกองทหารสหรัฐเเละอังกฤษค่ะ เเถมหัวหน้ากลุ่ม Ansar al Islam เรียกซัดดัม ฮุสเซ็นว่า infidel เพราะซัดดัม ฮุสเซ็นไม่ใช่คนเคร่งศาสนา เป็น secular ค่ะ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพวก Islamic fundamentalist ซัดดัม ฮุสเซ็นจึงเป็นศัตรูกับกลุ่ม Al Queda เมื่อหาหลักฐานมาสนับสนุนเหตุผลนี้ไม่ค่อยได้เต็มที่ สาเหตุที่บุชจะเอามาใช้รุกรานอิรักได้ก็เหลืออยู่สาเหตุเดียวคือ WMD ส่วนเรื่องที่ว่ารุกรานอิรักเพื่อปลดปล่อยคนอิรักนั่น คิดย้อนหลังไปดูให้ดีๆนะคะคุณเอื้อง เหตุผลนั้นเพิ่งโผล่ขึ้นมาก่อนวันบุกอิรักไม่นาน จำได้หรือเปล่า สาเหตุที่เหตุผลนั้นโผล่ขึ้นมาตอนนั้นก็เพราะหลักฐานเรื่อง WMD ที่รัฐบาลมีอยู่มันเป็นหลักฐานที่ง่อนเเง่นเต็มที นั่นต่างหากล่ะคะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 1 ต.ค. 47 01:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เอามาให้อ่านค่ะ หนังสือพิมพ์ Lone Star Iconoclast ของเมือง Crawford, Texas ซึ่งเป็นเมืองที่บุชเเละครอบครัวอาศัยอยู่ endorse John Kerry ค่ะ http://www.iconoclast-texas.com/Columns/Editorial/editorial39.htm แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 47 02:32:35 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 1 ต.ค. 47 02:32:08 ]

ความคิดเห็นที่ 103 มาดูที่สุนทรพจน์ของบุชกันก่อน 1. Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons. เป็นไปได้ 2. Saddam's sponsorship of international terrorism. จริงหรือ มีหลักฐานรึเปล่า ตั้งแต่สงครามอ่าว พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นการยากที่เจ้าหน้าที่อิรักจะออกไปสนับสนุน ผู้ก่อการร้ายนะคุณ 3. To liberate the Iraqi People. อันนี้คงจะใช่ 4. To remove the instability caused by Saddam in the Middle East. ตรงกันข้ามการบุกอิรักทำให้เสถียรภาพในตะวันออก กลางยิ่งง่อนแง่นลงไปอีกนะ มาดูที่ข้อแก้ตัวตรงนี้ดีกว่า 1. Stockpiles haven't been found yet, and there are theories as to where the weapons went. พอไม่พบคลังอาวุธก็พยายามหาข้ออ้างว่าอาวุธอาจไปที่ อื่นทุเรศจริงๆ 2. Iraq could have been destroyed them during the war. They could be hidden. อิรักทำยังไงหละที่สามารถทำลายอาวุธพวกนี้ในขณะที่ สหรัฐบุก คลังอาวุธนะครับ การทำลายคลังอาวุธขนาด ใหญ่โดยไม่เหลือร่องรอยอยู่เป็นไปไม่ได้ ถ้าจะเอา ไปซ่อนหรือเคลื่อนย้ายก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเล็ดรอด การจับตาของดาวเทียมจารกรรมของสหรัฐได้ They could have been transported to another country. ขนไปได้ยังไงกันเป็นไปไม่ได้ที่จะเล็ดรอดการจับตา ของดาวเทียมจารกรรมของสหรัฐได้ 3. Saddam had the capacity to make weapons เอาศักยภาพในการผลิดอาวุธมาจากไหนในเมื่อโดน ปิดล้อมด้วยมาตรการของสหประชาชาติขนาดนั้น 4. Saddam Hussein was dangerous with weapons ซัดดัมอันตรายจริง แต่ไหนหละอาวุธ 5. Saddam Hussein was dangerous with the ability to make weapons. ซัดดัมอันตรายจริง แต่ไหนหละศักยภาพในการผลิตอาวุธ รายงานของ David Kay แทบจะไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำ คนเชื่อถือได้เลย นอกจากเป็นการหาข้อแก้ตัวแบบ ลอยๆเท่านั้น จากคุณ : ปักษาวายุ - [ 1 ต.ค. 47 11:15:58 A:10.36.3.72 X:202.28.77.31 TicketID:055979 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ลอกข่าวจาก USA Today ฉบับวันนี้มาให้คุณเอื้องอ่านค่ะ จะได้ยอมรับความจริงบ้าง ------------------------------------------------------ Saddam destroyed weapons in 1991, report says By John Diamond, USA TODAY WASHINGTON — An extensive U.S. investigation has found that Iraq destroyed virtually all its chemical and biological munitions in 1991, a dozen years before President Bush ordered U.S. troops to invade based largely on the alleged threat posed by those weapons. The report will be presented Wednesday to a Senate committee by chief U.S. arms inspector Charles Duelfer. It says Iraqi dictator Saddam Hussein believed in the deterrent power conferred by weapons of mass destruction but ordered them destroyed in an effort to end sanctions imposed on his country after the Persian Gulf War in 1991. The key findings of the report were described Tuesday by a high-level administration official who has been briefed on its contents. The report is based on extensive interviews with senior officials in Saddam's regime and interrogation of the ousted dictator. The official said the report shows that Iraq planned to revive its banned weapons programs once United Nations sanctions were lifted. But by dating the destruction of Iraqi weapons to 1991, the Duelfer report raises new questions about how U.S. intelligence agencies and the Bush administration were so far off the mark in their assessment of the Iraqi threat. The administration official spoke on condition of anonymity because the White House wants to brief Congress before discussing the report's details with the media. Duelfer is to testify today before the Senate Armed Services Committee on his 1,500-page report. The basic conclusion of the report — that Iraq had no stockpiles of chemical or biological weapons and a moribund nuclear weapons development effort — strengthens the preliminary findings of Duelfer's predecessor, David Kay, and undercuts the main Bush administration argument for war. A weapons inspection team that at one point included 1,500 members conducting field searches, document examinations and interrogations did uncover evidence that Iraq wanted to develop improved missiles. But none of the Scud missiles the Bush administration alleged Saddam was hoarding has been found. The search began during the U.S. and coalition invasion in March and April 2003. U.S. troops have uncovered a handful of decaying mustard gas shells but no evidence of weapons stockpiles or production capability, such as the mobile biological weapons trailers cited by Secretary of State Colin Powell in a prewar presentation to the U.N. Security Council. The failure to find proof of the Bush administration's prewar allegations has become a thorny campaign issue for the Bush White House, particularly as insurgent violence has intensified in Iraq. จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ วันเกิด PANTIP.COM 01:43:41 ]