PANTIP.COM : P3083500 บทบาทการทำงานของรัฐบาลชวน ก่อนเลือกตั้งเมื่อปี2544 อ่านบทวิเคราะห์เก่าใน นสพ.ไทยโพสต์ดูครับ [การเมือง]

ความคิดเห็นที่ 8

อีกบทความหนึ่งที่เตือนสตินักการเมืองและกองเชียร์พรรคการเมืองทั้งหลาย "รักพรรค ต้องรักแผ่นดิน และประชาชน" ด้วย
++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์ - บังอบายเบิกฟ้า
รักพรรค ต้องรักแผ่นดิน และประชาชน

26 พฤศจิกายน 2543 กองบรรณาธิการ

กรณีนักข่าวและช่างภาพ ของไอทีวีต้องเผชิญ ชะตากรรมเลวร้าย จากการรายงานข่าว การปราศรัยใหญ่ของ ฯพณฯ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กับพวก ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยที่มีผู้รักพรรคประชาธิปัตย์ และแต่งกายด้วยเสื้อ พรรคประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่ง ล้อมกรอบรุมทำร้าย นักข่าวสาว คือ นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล กับนายธานินทร์ สามสี ช่างภาพ และนายสมพงษ์ หวังกลุ่มกลาง ผู้ช่วยช่างภาพ

การกระทำของพาลชนดังกล่าว ถ้าใช้ภาษากฎหมายที่จะ อธิบายเพื่อสื่อกับ “หลักการ” ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ย่อมกล่าวได้ว่าเป็น การใช้กำลัง “ประทุษร้าย” และ “ขืนใจผู้อื่น” แม้การกระทำของยายซิ้มที่ นิยมประชาธิปัตย์จนกระทั่งนำพัดของตนมาบังเลนส์กล้องของนักข่าว ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพโดยสุจริตนั้น ก็เป็นความพยายามขัดขวาง การปฏิบัติงานตามปกติของนักข่าว

ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ได้ให้สัมภาษณ์โดยแสดง ความรู้สึกห่วงใยความบาดเจ็บของคนทำงานข่าวหรือไม่ และแสดงทัศนคติ ต่อสื่อมวลชนอย่างไร คงจะไม่ต้องนำถ้อยคำของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีมา กล่าวซ้ำอีก ในเวลาต่อมา ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและ รองนายกรัฐมนตรี บัญญัติ บรรทัดฐาน ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งได้เดินทางไปประชุมกิจการ ตำรวจสากลกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก่อนวันที่จะมีพระราชกฤษฎีกายุบ สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2543 การไปราชการลักษณะนี้โดยปกติย่อมมีคำสั่ง แต่งตั้งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระดับรองลงไปที่สมควรแก่ตำแหน่ง เป็นผู้รักษา การแทน ทั้งนี้ ก็ทราบว่า พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว ได้ปฏิบัติตามหลัก ราชการที่ถือปฏิบัติสืบกันมาตั้งแต่ ฯพณฯ บัญญัติยังเป็นวุ้นหรือสัมภเวสีที่ ไหนอยู่กี่ประมาณได้

ต่อมา เมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาดังกล่าว อาจจะเป็น เวลาการประชุมตำรวจนานาชาติยุติลง ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านก็ เดินทางกลับ แต่ พล.ต.ท.อนันต์ไม่กลับ เพราะได้ขออนุญาตลาท่านผู้ บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมได้รับอนุญาตแล้วว่าลาได้ โดยใช้เวลาอีก สักเล็กน้อยเพื่อเยี่ยมลูกที่ศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา เรื่องเช่นนี้จะเห็นได้ว่า พล.ต.ท.อนันต์ได้ปฏิบัติตามระเบียบการลาและการเดินทางไปต่างประเทศโดย ถูกต้องแล้ว

แต่ ฯพณฯ บัญญัติอ้างว่ามีการชุมนุมทางการเมืองแล้วไม่เห็น หน้า พล.ต.ท.อนันต์ ผบช.น. จึงถือเป็นความบกพร่องในการปฏิบัติราชการ และขัดคำสั่งที่ไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. ปัญหาเรื่องนี้ ข้อน่าคิดคือ หลักกฎหมายทั่วไปยอมถือหลัก “ไม่ย้อนหลัง” มิใช่หรือ มติ ครม. ออกหลังจากการเดินทางไปประชุมตำรวจนานาชาติใช่หรือไม่ แม้การขอลา อยู่ต่อเพื่อเยี่ยมลูกชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็ได้ลาต่อผู้บังคับบัญชาระดับเหนือตนขึ้น ไปถูกต้อง ถ้าเห็นไม่สมควรจะให้ลาก็น่าจะถูกยับยั้ง และการปฏิบัติราชการ ตำรวจนั้น จำเป็นที่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ต้องรอคอยเสนอหน้าต้อนรับนักการ เมืองทุกหนแห่งทุกกรณีเสมอไปหรือไม่ การปฏิบัติงานโดยกำลังคนโดย ความรับผิดชอบโดยตรงในพื้นที่และการบริหารการจัดการแปลว่าอะไร สำหรับวิธีคิดและวิธีใช้อำนาจของเจ้าใหญ่นายโตแห่งพรรคประชาธิปัตย์ มิใช่บริหารไม่เป็นดอกหรือ ประเทศชาติถึงยับเยินกันเพียงนี้

ท่านผู้อ่านที่เคารพ โปรดสังเกตว่าผู้เขียนมิได้เรียกนายชวน หลีกภัย หรือนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ที่ใช้ ฯพณฯ ก็มิใช่เห็นว่าเป็นการ ยกย่องเป็นพิเศษ แต่จงใจเรียก ฯพณฯ ทุกครั้งที่เอ่ยชื่อสองคนนี้ เพราะต้อง การเรียกสติให้รู้ว่านายชวนก็ดี นายบัญญัติก็ดี นายยังเป็นฝ่ายบริหาร ประเทศแม้จะ “รักษาการ” มีตำแหน่งหัวโขนซึ่งมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบตาม กฎหมายและความสำนึกของวิญญูชนอันสมควร

การที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจีบปากจีบคอว่าสื่อมวลชนถูกซื้อ ไม่สนใจถามทุกข์สุขของนักข่าวช่างภาพที่บาดเจ็บและผ่านการข่มขู่คุกคาม นั้น ดูออกจะแบ่งแยกเป็นพรรคเป็นพวกเป็นฝักเป็นฝ่ายเรียบร้อย คดีนี้ ตำรวจแม้จะเห็นตัวคนร้ายจากหลักฐานภาพข่าวที่บันทึกไว้ ตำรวจคงจะ ลำบากใจในการดำเนินคดี อาจจะเรียกว่าฝ่ายหนึ่งมีอิทธิพล ส่วนการดำเนิน เกมการเมืองแบบพรรคประชาธิปัตย์ที่ตั้งนายมารุต บุนนาค เป็นกรรมการ สอบสวนคนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขอให้จับตาการดำเนินงานของท่านผู้ เป็นหลานเหลนขุนหลวงพระไกรสีห์ ซึ่งออกจะดีๆ สมัยแก้รัฐธรรมนูญ ตั้ง ครป. จนนายฉลาด วรฉัตร ต้องอดอาหาร อาจารย์หมอประเวศ วะสี ต้องสานต่อเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ

(มีต่อ)

จากคุณ : ผัดสะตอ - [ 24 ต.ค. 47 11:45:04 A:221.128.98.149 X: TicketID:055531 ]

ความคิดเห็นที่ 9

(ต่อ)

สำหรับ ฯพณฯ บัญญัติ บรรทัดฐาน ซึ่งตามกฎหมายแล้วไม่ มีอำนาจสั่งย้าย ผบช.น. ในขณะนี้ แต่อาศัยลูกเล่นแบบเจ้าหลักการรู้ ถ้อยกระทงความ รู้กฎหมาย จึงใช้คำสั่งโอนไปช่วยราชการ แม้ พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว จะไม่ติดใจในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา และได้ ปฏิบัติตามคำสั่งที่นายบัญญัติสั่งการ นายชวน หลีกภัย เซ็น ตลอดจนเมื่อ กลับมาถึงเมืองไทยก็ไปรายงานตัว เว้นแต่นักการเมืองหายหัวไม่อยู่ให้ รายงานตัวได้

สมมุติว่า ผบช.น.ถูกกล่าวหาว่าระยะจะมีการเลือกตั้ง ไม่อยู่เกาะติดสถานการณ์ ขอถามหน่อยว่าระหว่างเกิดเหตุไอ้เดนคุกพม่า ซึ่งมาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่แล้วเนรคุณ ก่อเหตุฆ่าอนุศาสนาจารย์และจี้ ผบ.เรือนจำกับพวกเป็นตัวประกัน ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการมหาดไทยอยู่ที่ ไหน ส่วน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีนั้นพอจะทราบอยู่บ้างว่าท่านอยู่กาญจนบุรี ช่วยลูกพรรคหาเสียง กรณีเดนทรชนพม่าปฏิบัติการอุกอาจนี้ ครึ่งค่อนวันเป็น เรื่องของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการตามปกติ กับอาศัยน้องๆ นักข่าวแห่งร่วมด้วย ช่วยกัน ช่วยผ่อนคลายทำงานความคิดมิให้คนร้ายพม่าเกิดความเครียดและบ้า ระห่ำจัดการตัวประกัน สถานการณ์เช่นนี้ต้องการคนระดับนำในรัฐบาลร่วมตัด สินใจ เพราะมันเป็นความเป็นความตายของเจ้าพนักงานของรัฐและคนไทยที่ อยู่ในมือทรชนพม่า

ตลอดสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย กี่ครั้งมาแล้วที่เกิด เหตุการณ์หยามหมิ่นศักดิ์ศรีคนไทย กระทั่งรัฐมนตรีประชาธิปัตย์สร้างภาพ เป็นตัวประกันไปส่งคนร้ายต่างด้าวถึงชายแดน แม้เหตุการณ์ครั้งหนึ่งๆ เกิดขึ้นอาจจะมีคำพยายามอธิบายว่าสุดวิสัย แต่อย่าลืมว่าคนไทยโดยทั่วไป ต้องเสี่ยงภัยเป็นประจำวัน และทำให้เจ้าหน้าที่ของเราอีกส่วนหนึ่ง ต้อง เปลืองตัวเข้าเสี่ยงในสถานการณ์เช่นนี้เสมอมาหลายครั้งหลายหน

ทั้งนี้ มิใช่เพราะนโยบายแรงงานต่างชาติราคาถูกที่รัฐบาลยอม รับเพื่อสนองตอบนายทุน หรือมิใช่เพราะปัญหาการจัดการเรื่องชนชาติส่วน น้อยอพยพเคลื่อนย้ายข้ามชาติมีความล้มเหลว ตลอดจนปัญหานโยบายต่าง ประเทศต่อประเทศเพื่อนบ้าน หรือขณะที่รัฐบาลเดินตามก้นสหรัฐอเมริกา ประสานการล้มละลายทางเศรษฐกิจที่เปิดการค้าเสรีแบบงี่เง่า และขาดการ พัฒนาแรงงานและการผลิตของเราเอง

ธรรมชาติของการเมืองที่มีลักษณะประชาธิปไตย จำเป็นต้องมี พรรคการเมืองที่ต่างกันเสนอตนให้ประชาชนเป็นผู้พิจารณาเลือกเข้าไปทำหน้า ที่ตามครรลอง ความแตกต่างของพรรคโดย “หลักการ” คือ ความต่างทาง อุดมการณ์และนโยบาย ชะรอยพรรคการเมืองไทยนั้นอาจจะไม่มีอุดมการณ์ และความคิดเรื่องนโยบายก็ไม่มีความจริงจังจริงใจกระไรนัก เป็นเพียงสิ่งที่ สักแต่ว่าจะต้องมีเพื่อประการหนึ่งใช้โฆษณาหาเสียง กับอีกประการหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่านโยบายนี้เอามา “ยำ” รวมกันในการแถลงต่อรัฐสภาเมื่อเป็น พรรคฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล และแท้ที่จริง สิ่งที่เสมือนหนึ่งนโยบายในการบริหาร นั้น ถูกจัดทำเป็นแผนล่วงหน้าแล้วโดย “สภาพัฒน์” - คณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อันได้วางแผนมา 8 แผน ที่มีผลคนจนยิ่งมาก คนมั่งมียิ่งร่ำรวยมีโอกาสมากขึ้น และสามารถปรับแผน สนองการเมือง ดังเพื่อนร่วมวิชาชีพหนังสือพิมพ์บางคนกล่าวว่า ถ้านักการ เมืองปล้นแบบไอ้เสือเอาวา พวกขุนนางกังฉินที่ปรับตัวตามนักการเมืองและ สมคล้อยสนองประโยชน์ให้ พวกเขาก็เป็น “ไอ้เสือคล้อย” เท่านั้นเอง

และที่เลวร้ายกว่านั้น ปัญหาที่เด็กๆ ถามว่าอะไรเอ่ยคนทำไม่ ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ทำ และคำตอบแบบเด็กๆ คือ โลงศพ เมื่อเป็นคำถาม เดียวกันและตอบอย่างผู้ใหญ่ที่เข้าใจปัญหาการเมือง คำตอบของมันก็คือการ จัดทำงบประมาณ ซึ่งปรากฏการณ์เลวร้ายที่สุดของระบอบรัฐสภาไทย เมื่อพรรคฝ่ายค้านส่วนใหญ่ลาออกจากการเป็น ส.ส. อันหมายถึงองค์ ประกอบของสภานิติบัญญัติมิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ แม้จะมี ส.ส.ฝ่ายค้านบางคนหลงเหลืออยู่ไม่เกินจำนวนนิ้วมือ รัฐบาลนี้ก็ยัง จัดทำงบประมาณและใช้เวลาการเป็นรัฐบาลอนุมัติโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นการ ผูกพันและเป็นภาระต่ออนาคตของประเทศไทย

การเมืองไทยทุกวันนี้ รัฐบาลพลเรือนที่มาจากเลือกตั้งดูจะพา ประเทศชาติอับจนยิ่งกว่ารัฐบาลเผด็จการทหาร (ที่พูดเช่นนี้มิใช่ต้องการเว้น วรรคเพื่อมีเผด็จการทหาร) พวกเขาขาดจริยธรรมและศีลธรรม เพราะยึดเพียง ไม่มีมิตรแท้และไม่มีศัตรูถาวร ประเทศชาติและประชาชนเป็นนามธรรม สำหรับพวกเขา และพวกเขาก็อาจจะมีเฉพาะ “พวกเรา พรรคเราและพรรค ร่วม” ขณะที่ต้องการสร้างภาพความเป็นสุภาพบุรุษ ต้องการสร้างความยิ่ง ใหญ่นำสมัยก้าวสู่โลกไร้พรมแดน ก็แค่พาชาติไปขาย และมีความคับแคบ แบบนักการเมืองท้องถิ่นด้วยความคิด “ท้องถิ่นนิยม” แต่พลันเมื่อเกิดปัญหา ระหว่างท้องถิ่นกับผลประโยชน์ส่วนตัว ดูจะไม่ลังเลกับหลักการ “ส่วนตัว ต้องมาก่อนส่วนรวม”

พี่น้องเอย หนาวน้ำท่วม หนาวน้ำลาย

(จบแล้ว)

จากคุณ : ผัดสะตอ - [ 24 ต.ค. 47 11:45:50 A:221.128.98.149 X: TicketID:055531 ]