ความคิดเห็นที่ 18
ในสมัยของพระมหาราชินีฮิเญานี้ ลำน้ำที่อยู่ใกล้พระราชฐานเกิดมีน้ำทะเลไหลบ่าเข้าสู่ลำคลองซึ่งตื้นเขินกว่าเดิม ทำให้ราษฎรไม่สามารถ ใช้น้ำ ดื่ม อาบ ได้เช่นเคย พระนางจึงเสด็จออกไปเกณฑ์ผู้คนและทรงควบคุมการขุดคลองที่บ้านตัมบังงัน (ปัจจุบันอยู่ระหว่างตำบลเมาะมาวี กับตำบลปรีกี อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี) เพื่อระบายน้ำในแม่น้ำปัตตานีให้ไหลลงสู่คลองที่ขุดขึ้นใหม่ จากบ้านตัมบังงันถึงบ้านกรือเซะ ออกสู่อ่าว "กัวลารา" (ที่ตำบลตันหยงลูโล๊ะ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี) ยังผลให้ราษฎรมีน้ำดื่ม น้ำใช้ และประกอบการเกษตรได้ผลดีอีกด้วย
พระมหาราชินีฮิเญาทรงครองราชย์ถึงปี ค.ศ.1616( พ.ศ.2159) ก็สวรรคต ชาวปัตตานีรุ่นหลังขนานนามพระนางว่า "มัรฮูม ตัมบังงัน" เนื่องจากพระนางทรงเป็นผู้ให้ขุดคลองจากบ้านกรือเซะไปยังบ้านตัมบังงัน พ่อค้าชาวอังกฤษคนหนึ่งที่มาค้าขายกับบริษัท EAST INDIA ได้บันทึกไว้ว่า ราชินีฮิเยาทรงประชวรในเดือน มิถุนายน ค.ศ.1616 และสวรรคตในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน ส่วนพ่อค้าชาวฮอลันดาซึ่งอยู่ที่ปาตานีในปี ค.ศ.1616 ชื่อ HENDRIK JANSSEN บันทึกว่า ราชินีฮิเยา สวรรคตเมื่อ วันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ.1616 หลังจากครองราชย์ได้ 32 ปี
หลังจากนั้นพระมหาราชินีบีรูก็ขึ้นครองราชย์ต่อ ในสมัยราชินีองค์นี้ สุลต่านอับดุลเฆาะฟูรสิ้นพระชนม์ ราชินีบีรูจึงทรงส่งคนไปรับเจ้าหญิงอูงูกลับมาปาตานีพร้อมกับพระธิดาที่กำเนิดจากสุลต่านปาหัง ซึ่งมีพระนามว่า เจ้าหญิงกรูนิง
หลังจากที่ราชินีบีรู ขึ้นครองราชย์ได้ 3 ปี (ค.ศ.1619) คลองตัมบังงันที่ราชินีฮิเยาขุดได้ถูกกระแสน้ำในแม่น้ำปัตตานีไหลบ่าท่วมเซาะตลิ่งพัง ขยายลำน้ำให้กว้าง ขวางยิ่งขึ้น สายน้ำได้ไหลเซาะตีนสพานตลาดปินตูฆาเยาะห์ (ประตูช้าง) ซึ่งอยู่ใกล้กำแพงเมืองมาทุกปี พระมหาราชินีบีรูทรงเกรงว่ากำแพงเมืองจะพังทลาย จึงมีรับสั่งให้ขุนนางเกณฑ์ราษฎรจัดทำทำนบกั้นน้ำในลำคลองไว้
ในสมัยราชินีบีรูนั้น ความเกลียดชังและการชิงดีชิงเด่นระหว่างพ่อค้าต่างชาติที่อยู่ในปาตานีทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ จนถึงกับทำลายซึ่งกันและกัน
วันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.1619 เรืออังกฤษ 2 ลำชื่อ SAMSON และ HOUND ภายใต้การบัญชาของ JOHN JOURDIAN ได้ปะทะกับเรือของฮอลันดาชื่อ BLACK LION ที่อ่าวปตานี ฮอลันดาจึงส่งเรือมาเพิ่มและทยอยเข้าโจมตีเรือของอังกฤษ อังกฤษมีกำลังน้อยกว่า จึงพ่ายแพ้แก่ฮอลันดา กัปตัน JOURDIANถูกกระสุนปืนเสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนี้ นอกจากนี้ฮอลันดายังบุกรุกสถานีการค้าของอังกฤษที่ปาตานีอีกด้วย หลังจากนั้นพ่อค้าอังกฤษก็ค่อย ๆ ทยอยออกไปจากปาตานี จนถึง ค.ศ.1623 (พ.ศ.2166) พ่อค้าชาวอังกฤษก็ไม่มีเหลืออยู่ในปาตานีอีกเลย
ในสมัยที่ราชินีบีรูทรงปกครองปาตานีนั้น ได้ข่าวคราวเสมอว่า กองทัพสยามจะโจมตีปาตานีอีกครั้ง เพื่อกรู้หน้าที่พ่ายแพ้ ในการโจมตีในสมัยราชินีฮิเญา พระนางจึงได้เตรียมอาวุธและสั่งให้มีการหล่อปืนใหญ่หลายกระบอก ที่ใหญ่ที่สุดมี 3 กระบอก ชื่อ "ศรีนาฆารา" "ศรีปาตานี" ยาว 3 วา 1 ศอก 1 คืบ 2 นิ้ว และ "มหาเลลา" ยาว 5 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว
ในปี ค.ศ.1624 ราชินีบีรูสิ้นพระชนม์ และราชินีอูงูทรงขึ้นครองปาตานีต่อ
ในสมัยของพระมหาราชินีอูงูนี้ ข่าวเกี่ยวกับสยามจะโจมตีปาตานียิ่งหนาหูขึ้น พระนางจึงส่งกองทัพไปโจมตีเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราช ใน ค.ศ.1630 (พ.ศ.2173) เพื่อตัดกำลังของทัพสยาม
ค.ศ.1632 (พ.ศ.2175) YANG DI PERTUWAN MUDA เจ้าชายแห่งเมืองโยโฮร์ พร้อมไพร่พลจำนวน 3,000 คน มาถึงปตานี เพื่อสมรส กับเจ้าหญิงกรูนิง พระธิดาของราชินีอูงู แต่ขณะนั้นพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยาได้ส่งกองทัพมาตีเมืองปตานี กองทัพปตานีจึงรวมกับกองทัพของ เมืองโยโฮร์ต้านกองทัพสยามและสามารถขับไล่กองทัพสยามจนถอยกลับไปได้ เมื่อทัพสยามเลิกทัพแล้ว ราชินีอูงูจึงจัดพิธีอภิเษกเจ้าหญิงกรูนิงกับยัง ดี เปอร์ตูวัน มูดา อย่างใหญ่โต หลังจากที่อภิเษกแล้วพระสวามีของเจ้าหญิงกรูนิงก็อยู่ช่วยราชการที่เมืองปตานี ชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ แฮมิลตัน (AIEXANDER HAMILTON) มาเยือนปตานีในสมัยนั้นได้เขียนบันทึกว่า "เมืองปตานีมี 42 แคว้น รวมถึงตรังกานูและกลันตัน แต่เมื่อโอรสของสุลต่านโยโฮร์ได้สมรสกับบุตรีของราชินีปตานี เมืองตรังกานูก็เข้าไปอยู่ ภายใต้การปกครองของโยโฮร์ สุลต่านโยโฮร์ได้ส่งขุนนางคนหนึ่งไปปกครองที่นั้น ปตานีจึงเหลือ 41 แคว้น ปตานีมีเมืองท่า 2 แห่งคือ กวาลาปาตานี(ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า กวาลารอ หรือ กวาลาโต๊ะอาโก๊ะ) และกวาลาบือเก๊าะฮ์ (ปากน้ำปัตตานีปัจจุบัน) พลเมืองปาตานีในขณะนั้นมีผู้ชายที่อายุเกิน 16 ปีรวมทั้งสิ้น 150,000 คน นครปาตานีมีผู้คนหนาแน่น เต็มไปด้วยบ้านเรือน นับเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง จากประตูราชวัง ถึงบ้านบานามีบ้านเรือนไม่ขาดสาย ถ้าหากแมวตัวหนึ่งเดินบนหลังคาบ้านเหล่านั้นจากพระราชวังจนถึงปลายสุด มันจะเดินได้ตลอดโดยไม่จำเป็นต้องเดินบน พื้นดินเลย
"
การพ่ายแพ้ครั้งที่ 2 ของกองทัพสยามนั้นสร้างความเจ็บแค้นแก่สยามมากยิ่งขึ้น เมื่อสยามเห็นว่าลำพังกองทัพของตนจะเอาชนะปาตานีไม่ได้ จึงส่งฑูตไปเจรจากับฮอลันดามาช่วยในการโจมตีปาตานี โดยที่ฮอลันดาขอที่จะผูกขาดการค้าไม้ฝางและหนังกวางในสยาม ฮอลันดาจึงตกลงที่จะส่งเรือจำนวน 6 ลำ พร้อมทหารและอาวุธสมัยใหม่ พระเจ้าปราสาททองทรงสัญญาว่าจะให้ตามคำขอถ้าได้รับการช่วยเหลือจากฮอลันดา เมื่อตกลงกันแล้ว สยามก็ยกทัพใหญ่ โจมตีปาตานีทันที เมื่อกองทัพสยามมาถึงปาตานี ปรากฏว่าฮอลันดาไม่มาช่วย กองทัพสยามจึงรบกับปาตานีตามลำพัง และประกอบกับขาดแคลนเสบียง ในที่สุด ก็ไม่สามารถตีเมืองปตานีได้เช่นเดียวกับคราวก่อน
เมื่อพระเจ้าปราสาททองทราบเรื่องนี้จึงกริ้วฮอลันดามาก พระองค์สั่งให้กักพวกฮอลันดาที่อยุธยาไว้ และห้าม ชาวสยามพูดหรือค้าขายกับชาวฮอลันดา ต่อมาก็ทรงอภัยโทษแก่ฮอลันดา เมื่อทรงทราบว่าฮอลันดามาช่วยเช่นกัน แต่มาช้าเกินไป คือเมื่อเรือฮอลันดามาถึงปาตานี ปรากฏว่ากองทัพสยามถอยกลับไปแล้ว เรือฮอลันดาทั้ง 6 ลำจึงถอยกลับไปเช่นกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1634 (พ.ศ.2177) กองทัพสยามที่ยกทัพมาปาตานีในครั้งนั้น เป็นกองทัพผสม เป็นทหารจากอยุธยา 30,000 คน นอกจากนั้นเกณฑ์มาจาก นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลาและไทรบุรี ส่วนปาตานีได้รับความช่วยเหลือจากเมืองมลายูอื่นๆรวมผู้คน 5,000 คน จากยะโฮร์และปาหัง ซึ่งมากับเรือ 50 ลำ
ใน ค.ศ.1635 (พ.ศ.2178) พระมหาราชินีอูงูสิ้นพระชนม์ พระมหาราชินีกรูนิงทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระมหาราชินีอูงู ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1635 (พ.ศ.2178) สยามได้ส่งทูตเจรจาสันติภาพกับปาตานี และในเดือน มีนาคม ค.ศ.1636 (พ.ศ.2179) พระมหาราชินีกรูนิงก็ได้ทรงส่งราชทูตไปยังอยุธยา เดือน มีนาคม ค.ศ.1636 (พ.ศ.2179) พระนางก็ได้ส่งผู้แทนนำเครื่องราชบรรณาการ ดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปยังอยุธยา ซึ่ง VAN VLIET ได้บันทึกว่า "การส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองครั้งนี้ พระเจ้ากรุงสยามได้ยอมรับด้วยความยินดียิ่ง" และในปี ค.ศ.1641 (พ.ศ.2184) พระมหาราชินีกรูนิงได้เสด็จไปอยุธยา ด้วยพระองค์เอง เพื่อ"ฟื้นฟูสันติภาพ"ระหว่างประเทศทั้งสอง
ปี 1725 (พ.ศ.2268) ลงยูนุสขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงมีบัญชาให้เหล่านายช่าง ทำการบูรณะมัสยิดหลวง (มัสยิดกรือเซะ) ที่สร้างในต้นรัชกาลพระมหาราชินีฮิเญา ซึ่งมีอายุมากกว่า 130 ปี ได้สึกหรอลงกับการเวลา โดยให้รักษารูปแบบเดิมไว้ ทว่า 11 เดือนต่อมาก็ถูกปลงพระชนม์ พระองค์จึงมิทรงสามารถที่จะบูรณะมัสยิดกรือเซะให้แล้วเสร็จได้ดั่งหวัง
ปี ค.ศ.1785 (พ.ศ.2328) พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่ายกทัพใหญ่เพื่อตีสยามอีก (ที่เรียกว่า"ศึกเก้าทัพ") จนสามารถยึดเมืองนครศรีธรรมราชได้ สมเด็จกรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้า) เสด็จยกทัพหลวงไปปราบปรามพม่าจนกองทัพพม่าแตกพ่ายไปและเสด็จต่อมายังเมืองสงขลาและส่งกองทัพ มาประชิดแดนปาตานี กองทัพสยามภายใต้การนำของพระยากลาโหมเสนาและพระยาจ่าแสนยากร แม่ทัพหน้า คุมกองทัพยกมาตีนครปาตานี กองทัพปาตานีไม่สามารถต้านทานได้ประกอบกับสุลต่านมุฮัมมัดถูกกระสุนปืนสิ้นพระชนม์ในสนามรบ ทำให้พระนครปาตานีถูกกองทัพสยามตีแตก พระมหาราชวังอันวิจิตรนั้นถูกเหล่าทหารเผาจนเสียหาย เหลือแต่ซากปรักหักพัง ส่วนมัสยิดนั้นก็ถูกเผาเช่นกัน จนกระทั่งหอคอยอาซานทั้งสี่ทิศ และโดมพังทลายลงมา เหลือแต่ตัวอาคารหลัก
ปัจจุบันชาวจีนและชาวไทย พยายามปั้นแต่งเรื่องนางลิ่มกอเหนี่ยว ผสมผสานกับนิยายเจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยวของไต้หวัน ซึ่งเป็นที่บูชาของชาวจีนก่อนที่จะมีการอุปโลกน์ศาลเจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยวที่ปัตตานี ชาวจีนได้สร้างสุสานปลอมขึ้น ทางทิศตะวันตกของมัสยิด อันที่จริงสุสานของนางสิ่มกอเหนี่ยวนั้น แต่ก่อนอยู่ในสวนมะพร้าวริมทะเล แต่พอถูกน้ำทะเลเซาะเข้า ก็ทำให้สุสานเก่าจมอยู่ใต้น้ำ ชาวจีนจึงอุปโลกน์สร้างสุสานใหม่ขึ้นมา ตามจดหมายเหตุราชวงศ์เหม็ง เล่มที่ 323 เรื่อง ประวัติเมืองกีลุ่ง คือไต้หวันในปัจจุบัน กล่าวว่า เมื่อปลายปีเกี่ยเจ็ง ตรงกับปี พ.ศ. 2109 แม่ทัพเช็กกีกวงได้ทำการปราบปรามพวกโจรสลัดญี่ปุ่นจนราบคาบแล้ว หลิมเต้าเคียน กับพวกได้หลบหนีไปอาศัยอยู่ที่เกาะไต้หวัน ส่วนจดหมายเหตุราชวงศ์เหม็งเรื่อง ประวัติเมืองลูซอน บันทึกว่า เมื่อปีบวนเละที่ 4 ตรงกับปี พ.ศ. 2119 หากหลิมเต้าเคียนมาอยู่ที่นครปาตานีในช่วงที่ลงยูนุสขึ้นครองราชย์ นั่นคือ ปี 1725 (พ.ศ.2268) ต่างกับเรื่องแรกถึง 150 ปีกว่า แสดงว่า ต้องไม่ใช่หลิมเต้าเคียนเดียวกัน อันที่จริง หลิมเต้าเคียนเป็นนิยายหรือตำนานนักเดินเรือทะเล และลิ่มกอเหนี่ยวก็เป็นเจ้าแม่ที่ชาวไต้หวันกราบไหว้บูชามาช้านาน เมื่อมาเจอสุสานจีนดังกล่าว ก็ฉวยโอกาสสร้างเรื่องราวให้สมจริงสมจัง
ต่อมาพระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล่าย ต้นสกุล คณานุรักษ์ ) ซึ่งเป็นหัวหน้าชาวจีนในปัตตานีในอดีต เห็นว่าศาลที่ประดิษฐ์องค์เจ้าแม่อยู่ที่หมู่บ้านกรือเซะห่างไกลจากตัวเมือง ไม่สะดวกแก่แก่การประกอบพิธีต่าง ๆ จึงเอารูปเจว็ดนางกอเหนี่ยวมาตั้งไว้ในศาลเจ้าเล่งจูเกียง ในเมืองปัตตานี
มัสยิดกรือเซะไม่ได้ร้างเพราะสร้างไม่เสร็จตามคำสาปของหญิงปัญญาอ่อนที่น้อยใจจนฆ่าตัวตาย แต่เพราะถูกกองทัพของพระยากลาโหมเสนาและพระยาจ่าแสนยากรเผาทำลาย อนึ่งก่อนหน้านั้น มัสยิดนี้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีรูปแบบงดงามเป็นที่สรรเสริญของนานาชาติ กษัตริย์ลงยูนุสทรงประสงค์ที่จะบูรณะ แต่สิ้นพระชนม์เสียก่อน ไม่ได้หมายความว่ามัสยิดสร้างไม่เสร็จเช่นกัน
จากคุณ :
3N
- [
26 ต.ค. 47 02:50:34
]
|
|
|