PANTIP.COM : P3111026 เรื่องใดที่คุณคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำต่อผู้ต้องหาอย่างไม่เหมาะสม และควรตำหนิมากที่สุด(ถ้าทุกข้อกล่าวหาเป็นความจริง)? [สังคม]

ความคิดเห็นที่ 1

ข่าวประกอบการตั้งกระทู้โหวต

พ.ต.ต.ขังลืม รับผิด ยันเป็นคนร้ายหลังพบประวัติเคยเข้าคุกหลายคดี (คม ชัด ลึก วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547)

"พ.ต.ต." โรงพักลุมพินี ยืดอกรับผิดจับผัวเมียขังลืม พร้อมยันเป็นคนร้ายหลังพบประวัติเคยเข้าคุกคดีฉกทรัพย์มาแล้ว 6 คดี ปฏิเสธปั้นอายุฝ่ายหญิง ระบุให้การเอง ด้านเหยื่อขังลืมผวา กลับบ้านเก็บตัวเงียบที่อุทัยธานี ขณะที่ทนายเดินหน้าฟ้องอาญา-แพ่ง เตรียมพาเหยื่อร้องกรรมการสิทธิฯ โวย ตร.คุ้ยคดีเก่าหวังเบี่ยงประเด็น รอง ผบช.น.เดินสายแนะ ตร.ทั่วกรุง หวั่นซ้ำรอย

หลังจาก พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ ทิพย์จ้อย สารวัตรเวร สน.ลุมพินี เจ้าของคดีขังลืม นายชล นราพินิจ อายุ 28 ปี และน.ส.ศิริอร ช่างลวดลาย อายุ 17 ปี สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์

ถูกตั้ง 2 ข้อหา คือ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหน่วงเหนี่ยวกักขัง จนมีคำสั่งให้ออกจากราชการ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 พ.ย. พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ ทิพย์จ้อย พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เจ้าของคดี ยอมเปิดอกให้สัมภาษณ์กับ "คม ชัด ลึก" ว่า ตนเป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้

แต่ไม่ได้เป็นคนจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คน เรื่องรายละเอียดการจับกุมจึงไม่ทราบ ตนมีหน้าที่สอบปากคำและดำเนินคดี ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนเป็นคนร้ายตัวจริง และมีความผิดจริงในคดีลักทรัพย์โดยมีพยานหลักฐานแน่ชัด

พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบประวัติพบว่านายชล เคยถูกจับกุมในคดีลักทรัพย์ถึง 6 คดี และยังเคยติดคุกมาแล้ว 3-4 ปี โดยเพิ่งจะพ้นโทษมาได้ 2-3 ปี และคดีนี้ตำรวจไม่ได้จับกุมผู้บริสุทธิ์อย่างแน่นอน

พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องที่ผู้ต้องหาอ้างว่าถูกตำรวจใช้ไฟฟ้าช็อต และถูกซ้อมเพื่อให้รับสารภาพนั้น ในขั้นตอนการจับกุมตนไม่ทราบว่าจะมีการกระทำอย่างที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างหรือไม่ แต่จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาก็ไม่เคยบอกว่าถูกตำรวจทำร้ายร่างกายเพื่อให้รับสารภาพ และจากการตรวจสอบตามร่างกายก็ไม่พบบาดแผลแต่อย่างใด

"ผมไม่รู้ว่าทำไมพอเป็นข่าวแล้ว ผู้ต้องหาถึงพูดแบบนี้ ส่วนเรื่องอายุของผู้ต้องหาหญิงที่บอกว่าอายุ 17 ปี ไม่ใช่ 19 ปีตามที่ลงในบันทึกนั้น ช่วงที่ผมทำคดี ทั้ง 3 คนบอกว่าเป็นคนเร่ร่อนนอนตามสนามหลวง ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนก็ไม่มี จึงลงบันทึกไปตามคำให้การ

ตัวนางศิริอร เป็นคนบอกเองว่าอายุ 19 ปี และดูจากหน้าตาและตั้งท้องก็คิดว่าน่าจะใช่ จึงลงบันทึกไปตามนั้น ไม่มีการยึดบัตรหรือเปลี่ยนแปลงอายุผู้ต้องหา" พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ ระบุ

พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ที่ สน.ลุมพินี ก็ได้หกล้ม ตนยังได้สั่งให้ตำรวจนำตัวไปพบแพทย์ โดยมีหลักฐานเป็นใบส่งตัวไปพบแพทย์

สำหรับการนำผู้ต้องหาไปฝากขังในเรือนจำเกินกว่า 84 วันตามกฎหมายกำหนดนั้น ตนยอมรับว่าเกิดความผิดพลาดในหลายๆ ส่วน

ตนในฐานะพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีก็ต้องรับผิดชอบ แต่ก็ไม่ทราบว่าเกิดความผิดพลาดตรงจุดใด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นความผิดพลาดจากการลืมทำคดีหรือไม่ พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพราะตนได้ชี้แจงไปหมดแล้ว ต้องให้ทางผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ดำเนินการจะดีกว่า

ด้าน นายประดล อินธรรมา ทนายความ กล่าวว่า ขณะนี้ทั้งสองคนได้กลับไปอยู่บ้านที่ จ.อุทัยธานีแล้ว และอยากขอร้องให้ตำรวจที่เกี่ยวข้องยอมรับผิดบ้าง เพราะศาลตัดสินมาค่อนข้างแน่นอนแล้วว่ามีความผิด

นายประดล กล่าวอีกว่า ทั้งสองคนยืนยันในวันดังกล่าวไม่ได้ลักทรัพย์ เพียงแต่มายืนรอรถประจำทางเท่านั้น แต่ที่ผ่านมา ยอมรับว่าเคยก่อคดีลักทรัพย์มาก่อน ส่วนนางศิริอรนั้น มีหลักฐานเป็นสูติบัตรยืนยันว่าอายุ 17 ปี

ด้าน นายเมธี ภินโญโชติวงศ์ ทนายความ ซึ่งรับมอบอำนาจจากนายประดล ทนายคนเดิม กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการศึกษาข้อมูลและรายละเอียดในการฟ้องร้อง พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ ทั้งทางอาญาและแพ่ง

"ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตำรวจถึงเอาประวัติของผู้เสียหายมาเปิดเผยว่า เคยต้องคดีมาแล้วหลายครั้ง อดีตที่ผ่านมาผู้เสียหายได้รับโทษและถือว่าจบไปแล้ว เพราะต่างกรรมต่างวาระ

ทุกวันนี้ผู้เสียหายบอบช้ำเสียใจมาก และต้องอยู่อย่างหวาดระแวง เพราะไปมีเรื่องกับตำรวจ และวันจันทร์นี้จะพาผู้เสียหายไปร้องที่กรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กระทรวงยุติธรรม เพื่อเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมาย" นายเมธี กล่าว

นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงแนวทางช่วยเหลือสองสามีภรรยาว่า เท่าที่คุยกับนายชลนรา ทราบว่า ขณะนี้มีคนมาขอเจรจาไกล่เกลี่ยด้วย เพื่อไม่ให้เอาเรื่อง จึงรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งทางกรมรับปากจะจัดหาเจ้าหน้าที่มาดูแลความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่

"ส่วนเรื่องค่าชดเชย ได้ประสานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งผลการสอบสวนมายังกรมด้วย เพราะถือว่าผู้เสียหายเป็นเหยื่อทางอาชญากรรม จึงต้องได้รับค่าชดเชย คือถ้าบาดเจ็บ สามารถเรียกค่ารักษาตามจริงได้ แต่ไม่เกิน 3 หมื่นบาท และในระหว่างถูกจับ ทั้งคู่ทำงานไม่ได้ จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยอีกวันละ 200 บาท และค่าชดเชยอื่นๆ อีกไม่เกิน 3 หมื่นบาท" นายชาญเชาวน์ กล่าว

ด้านนายชล นราพินิจ กล่าวว่า ขณะนี้รู้สึกเครียด และหวาดกลัวว่าครอบครัวจะไม่ได้รับความปลอดภัย เพราะไปมีเรื่องกับตำรวจ

อีกทั้งยังมีตำรวจบางคนออกมาให้ข่าวในลักษณะขุดคุ้ยประวัติที่เคยต้องโทษมาก่อน จึงอยากขอร้องให้ยุติการให้ข่าว เนื่องจากคดีในอดีตตนได้รับโทษไปแล้ว

นายชล ยังกล่าวยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง และจะเดินหน้าฟ้องร้องดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี แน่นอน เพื่อเป็นคดีตัวอย่าง และเป็นสิ่งเตือนใจพนักงานสอนสวนทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่

หากเป็นไปได้ก็อยากฝากไปถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง อย่าเอาผิดกับสิบเวรที่ประจำห้องขัง เพราะที่ผ่านมาสิบเวรทุกคนเป็นคนดี คอยช่วยเหลือครอบครัวตนระหว่างที่ถูกควบคุมตัวอีกด้วย

พล.ต.ต.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รอง ผบช.น. กล่าวว่า เรื่องนี้ขอร้องว่าอย่ามีการซ้ำเติมกัน เพราะคนเรามีโอกาสพลาดกันได้ และเป็นเรื่องของบุคคลไม่ใช่องค์กร ต้องแยะแยะให้ดี

และเท่าที่ทราบ พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ เป็นคนดี ขยันและเคยทำคดีสำคัญมาแล้วหลายคดี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ตั้งแต่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจมา ก็อยู่ที่ สน.ลุมพินี ร่วม 10 ปีแล้ว

"เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาเจอปัญหา แล้วแก้ไม่ถูกทาง ทั้งที่จริงๆ แล้วคดีนี้มีผู้ต้องหาและของกลางครบถ้วน แต่ตำรวจตามตัวพยานมาให้ปากคำไม่ได้ สำนวนจึงดูเหมือนอ่อนไป เขาจึงพยายามหาทางออกด้วยตัวเอง พอเห็นผู้ต้องหาเป็นเด็ก แทนที่จะปรึกษาผู้ใหญ่" พล.ต.ต.ชัชวาลย์ กล่าว

รอง ผบช.น. กล่าวต่อว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุผิดพลาดเหมือนกรณีนี้อีก จึงเดินทางไปตามสถานีตำรวจต่างๆ เพื่อแนะนำพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับงานด้านการสอบสวนในฐานะที่เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาด้านการสอบสวนมาก่อน

พ.ต.อ.ชาญ ชุณหวงศ์ รอง ผบก.น.5 กล่าวว่า ขณะนี้ทาง บก.น.5 ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเป็น 3 ส่วน คือคดีอาญา กรณีที่ พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ ได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจนกระทั่งมีการฝากขัง และดูแลเรื่องการใช้อำนาจโดยมิชอบของพนักงานสอนสวน ซึ่งภายใน 30 วัน ต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ด้วย เพราะเป็นการกระทำผิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชน และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่ามีใครบ้างที่เข้าข่ายต้องรับผิดชอบนอกเหนือจาก พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์

จากคุณ : PANTIP CREW - [ 8 พ.ย. 47 17:56:38 ]

ความคิดเห็นที่ 4

"เพรียวพันธ์"โชว์จับยาบ้าวุ่น ผู้ต้องหาซัดสันติบาลจัดฉาก
(นสพ.กรุงเทพธุรกิจ : การเมือง ฉบับวันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547)

การแถลงข่าวจับกุม แก๊งค้ายาบ้ารายใหญ่ ของตำรวจภูธรภาค 5 ต้องยุติลง เมื่อผู้ต้องหาแฉว่า ร่วมกับเพื่อนตำรวจสันติบาล จัดฉากขึ้นเพื่อหวังสร้างผลงาน

ตำรวจภาค 5 รวบบรรณาธิการ นสพ.ท้องถิ่นสระบุรี พร้อมยาบ้า 480,000 เม็ด ขณะลำเลียงเข้ากรุงเทพฯ โดยใช้รถลากจูงอ้างรถตู้เสีย แถลงข่าววุ่นผู้ต้องหาแฉสันติบาลมีเอี่ยว ร่วมจัดฉากให้ลอบขนยาบ้าเข้ากรุงเทพฯ หวังจับสร้างผลงาน "เพรียวพันธ์" ฉุนลุกจากโต๊ะแก้เก้อรับจะนำเป็นข้อมูลสืบสวนต่อ

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบก.ตร.(ปป.4) ร่วมกับ พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผบช.ป.ส. และพล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผบช.ภ. 5 แถลงข่าวการจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 480,000 เม็ด ที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (7พ.ย.)

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดล็อตใหญ่ จากแหล่งซุกซ่อนบริเวณชายแดนไทย-พม่า เขตติดต่อ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน อ.แม่แตง และอ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยใช้รถตู้เป็นพาหนะในการขนย้าย จึงได้จัดชุดสืบสวนลงพื้นที่ติดตามพฤติกรรมของกลุ่มผู้ต้องหาอย่างใกล้ชิด

กระทั่งทราบว่า ผู้ต้องหา คือ นายวิเชน พัวพันธ์ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30/1 ถ.เทศบาล 4 ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผ่าโลก ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นประจำจ.สระบุรี และนายสวาท ศรสวรรค์ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 หมู่ที่ 7 ต.น้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีอาชีพเป็นคนขับรถตู้ โดยได้มีการลำเลียงยาบ้ามาเก็บไว้ในพื้นที่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

จากนั้นกลางดึกวันที่ 6 พ.ย.ทั้งสองจึงได้ลำเลียงยาบ้าเพื่อส่งให้กับลูกค้าที่กรุงเทพฯ โดยรถตู้โตโยต้าสีเทา ทะเบียน 31-3637 กรุงเทพ ซึ่งมีการวางแผนตบตาตำรวจโดยทำทีให้รถยนต์ตู้ที่ใช้ในการลำเลียงเกิดเครื่องยนต์ขัดข้อง และได้ว่าจ้างรถชักลากจากกรุงเทพฯ ขึ้นมาทำการลากจูงรถตู้คันดังกล่าวเพื่อเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางถนนเชียงใหม่-ลำปาง

จากนั้นได้ให้นายสวาท ติดต่อขอเช่ารถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน กม 9253 เชียงใหม่ จากเต็นท์รถแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ โดยนายสวาทได้นำรถยนต์ตู้ยี่ห้อนิสสัน สีขาว ทะเบียน อต.4102 กรุงเทพ ค้ำประกันในการเช่ารถเพื่อเดินทางไปพร้อมกับรถชักลาก

โดยผู้ต้องหาทั้งสองได้นั่งรถยนต์เก๋งล่วงหน้าไปก่อนเพื่อสังเกตการณ์การตั้งจุดตรวจ เมื่อปรากฏหลักฐานชัดเจนตำรวจจึงได้สกัดจับรถยนต์ที่ทำการลากจูงรถยนต์ตู้ ที่บริเวณศูนย์บริการทางหลวง ดอยขุนตาล ถนนเชียงใหม่-ลำปาง หมู่ที่ 6 บ้านทุ่งเกวียน ต.เวียงตาล อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง

จากการตรวจค้นในรถพบยาบ้าบรรจุอยู่ในกระสอบปุ๋ย โดยมีถุงพลาสติกสีดำขนาดใหญ่ห่อหุ้มไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันกลิ่น ซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะที่นั่งผู้โดยสารภายในรถยนต์ตู้คันดังกล่าว จำนวน 5 ถุง ตรวจนับยาบ้าได้ 480,000 เม็ด จากนั้นตำรวจได้ติดตามรถยนต์เก๋งที่ผู้ต้องหาทั้งสองรายขับล่วงหน้าไปก่อนได้ที่บริเวณปั๊มน้ำมันคิวเอท อ.เมือง จ.ลำปาง ขณะกำลังทำการจอดรถเพื่อเข้าห้องน้ำในปั๊มและดำเนินคดีข้อหาร่วมกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดมีโทษประเภท 1 ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย

ขณะตำรวจนำตัวนายวิเชนและนายสวาท มาแถลงข่าวที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นายวิเชน ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ไปทำข่าว โดยอ้างว่าได้วางแผนร่วมกับเพื่อนซึ่งเป็นตำรวจ สังกัดตำรวจสันติบาลที่กรุงเทพฯ แต่ไม่บอกชื่อและตำแหน่ง เพื่อต้องการจะสร้างผลงานด้านการปราบปรามยาเสพติด โดยตนอาศัยประสบการณ์ที่เคยทำข่าวเรื่องยาเสพติด ทำให้ทราบว่า หากต้องการซื้อยาบ้าต้องซื้อจากใคร พื้นที่ไหน

โดยยาบ้าที่ถูกจับซื้อมาจากนักค้าคนหนึ่งในบ้าน ปางไม้แดง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยเขาอ้างว่ารู้จักกับนายนาวี ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งเป็นขาใหญ่ในวงการยาเสพติดภาคเหนือ ทำให้พ่อค้ายาเสพติดเชื่อใจและยอมขายให้ และเมื่อยาบ้าถึงกรุงเทพฯ จะวางแผนจัดฉากการจับยาบ้าอีกครั้งหนึ่ง

"ผมพร้อมรับโทษประหารชีวิต แต่ก่อนตายขอพูดความจริงว่า ผมไม่ได้เป็นผู้ร่วมขบวนการค้ายาบ้า แต่ที่ทำเพราะอยากช่วยเพื่อนให้มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี เพราะมีช่องทางที่สามารถทำได้

โดยสิ่งตอบแทนคือ เงินล่อซื้อจำนวนกว่า 10 ล้านบาท หากนำยาบ้าไปส่งให้ลูกค้าถึงกรุงเทพฯ รวมถึงอาจจะได้รับเงินค่าแจ้งเบาะแสจากตำรวจอีกในราคาเม็ดละ 3 บาท แต่ถูกจับกุมเสียก่อน และยืนยันว่ายังมีบุคคลระดับสูงที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติด แต่ตำรวจไม่ยอมจับ" นายวิเชน กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กำลังแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาอยู่นั้น ซึ่งได้มีการระบุว่า ผู้ต้องหารายนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่ตำรวจติดตามพฤติกรรมมานานแล้ว ทำให้นายวิเชน เกิดความไม่พอใจ และพูดโวยวายขอความเป็นธรรมต่อสื่อมวลชน กรณีที่มีนายตำรวจพัวพันการค้ายาเสพติด จนทำให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ โมโหเดินลุกออกจากโต๊ะแถลงข่าวไป และอ้างว่าจะนำไปเป็นข้อมูลในการสืบสวน ทำให้การแถลงข่าวต้องยุติไปโดยปริยาย

ท่ามกลางความมึนงงของสื่อมวลชนที่เข้าร่วมการแถลงข่าว จากนั้นได้มีตำรวจมานำตัวนายวิเชน ออกไปทันที โดยอ้างว่าจะนำไปสอบปากคำเพิ่มเติม

แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 47 18:11:36

จากคุณ : PANTIP CREW - [ 8 พ.ย. 47 18:10:36 ]