ความคิดเห็นที่ 19
คุณอย่ามั่ว ขอร้อง คห.14 ดูข้อมูลสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศก่อนที่ทักษิณจะเข้ามาบริหารดู(แถลงเมื่อวันที่3มีนาคม2544) แล้วนึกดูว่าสถานะประเทศไทยปัจจุบันต่างกันอย่างไรจากเมื่อก่อนที่ทักษิณเข้ามา
****เงินคงคลังแห้ง****
ส่วนเงินคงคลังลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่มีอยู่ประมาณเกือบ 400,000 ล้านบาท วันนี้เราเหลืออยู่ประมาณ 43,000 ล้านบาท การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งจัดโดยสถาบันจัดอันดับของต่างประเทศ วันนี้เราถูกจัดอยู่ในอันดับประเทศที่อัตราต่ำสุดของประเทศน่าลงทุน ถ้าหล่นลงไปกว่านี้ก็คือ เป็นอันดับที่ไม่น่าลงทุน ซึ่งคงต้องพยายามทำกันต่อไปให้ดีขึ้นถ้าเราหันไปดูประเทศในกลุ่มที่ถูกกระทบโดยวิกฤติเศรษฐกิจในเอเชียด้วยกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เราเกาะกลุ่มอยู่ในกลุ่มประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งอินโดนีเซียแย่ที่สุดรองลงมาคือฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ถ้าเปรียบเกาหลีกับมาเลเซียแล้ว เรายังถือว่าฟื้นตัวได้น้อยกว่าเกาหลีและมาเลเซียซึ่งเกิดวิกฤติพร้อม ๆ กัน
====>ตั้งแต่กลางปี 2546 สถาบันจัดอันดับทุกสถาบันได้up grade สถานะประเทศไทยขึ้นมาเป็นประเทศที่มีสถานะการเงินการคลังที่แข็งแกร่งมาก ในระดับที่น่าลงทุนแล้วนะครับ ====>คห.5จะผิดก็ตรงบอกสถานะเงินคงคลังผิดเพราะปี2543ประเทศไทยมีเงินคงคลังที่32,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ(ไม่ใช่43,000ล้านเหกรียญ) ซึ่งนายกฯทักษิณได้ขอวงเงินกู้ 2,000-3,000ล้านเหรียญสหรัฐฯกับประเทศจีนเพื่อพยุงสถานะทางการเงินการคลังไทยไว้ เมื่อเดือนกรกฎาคม2544ตอนที่ทักษิณไปเยือนจีนตอนนั้น *************************************************
*****พันธบัตรรัฐบาล : หนี้ผูกพันอีกเกือบ 4 แสนล้าน****
ผมจะขอพูดถึงเรื่องของหนี้ที่รัฐบาลต้องรับภาระอีกส่วนหนึ่งก็คือ พันธบัตรที่รัฐบาลต้องออกพันธบัตรในหลาย ๆ ส่วน เช่น ออกไปใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูใน 500,000 ล้านบาท และออกไปเพื่อใช้หนี้งบประมาณขาดดุลซึ่งถ้าดูแล้ว มีภาระที่รัฐบาลต้องใช้หนี้พันธบัตรเหล่านี้ ถ้าดูวงรอบปี 2544 ก็จะพบประมาณ 69,000 ล้านบาท ปี 2545 ก็ประมาณ 90,000 ล้านบาท ปี 2546 อีก 100,000 ล้านบาท ปี 2547 อีกประมาณ 110,000 กว่าล้านบาท ปี 2548 อีกประมาณ 5-60,000 ล้านบาท อันนี้ยังไม่นับที่จะต้องออกใหม่อีก อันนี้เป็นที่ออกไปแล้ว อันนี้ผมพยายามพูดเฉพาะปีที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลนี้ 4 ปีที่จะต้องรับผิดชอบ ซึ่งที่ผมเล่าให้ฟังนี้ก็เพราะว่าอยากจะบอกว่าเรามีภาระร่วมกัน รัฐบาลก็มีภาระ พี่น้องประชาชนก็มีภาระ แต่เราจะหันกลับมาพูดคุยกัน เพื่อหาทางที่จะแก้ปัญหาร่วมกัน เราต่างคนต่างแก้ปัญหาของเรา แล้วผลสุดท้ายเราก็จะรวมพลังกัน กลายเป็นการแก้ปัญหาของชาติโดยรวมนั่นเอง
====>ภาระพันธบัตรมหาศาลนี้เป็นภาระที่รัฐบาลทิ้งเอาไว้ให้รัฐบาลทักษิณเข้ามาตามล้างตามเช็ดให้ **************************************
*****หนี้ต่างประเทศที่กู้มา ใช้อะไรไปบ้าง?
ทีนี้ลองหันมาดูหนี้ต่างประเทศที่รัฐบาลกู้โดยตรง เพราะท่านหลายคนที่เป็นนักการเงินที่เป็นคนดูเรื่องของเงินตราระหว่างประเทศจะได้เข้าใจ หนี้ต่างประเทศที่รัฐบาลกู้โดยตรง ถ้าแบ่งตามสกุลเงิน เป็นดอลลาร์สหรัฐฯ 62.5% เป็นเงินเยนญี่ปุ่น 36.3% เป็นเงินดอยช์มาร์กเยอรมันประมาณ 1.2% เป็นเงินสกุลอื่นๆ อีกประมาณ 0.65% ซึ่งอยากจะให้ท่านเห็นลักษณะของหนี้ที่เรากู้ทั้งหลาย หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงในประเทศ 67% เพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฟื้นฟูฯ 23% เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ แล้วผู้ถือพันธบัตรส่วนใหญ่เป็นธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมี 41% ธนาคารออมสิน 17.6% เป็นบุคคลทั่วไปเพียง 3.89% ไม่ถึง 4% ******************************************
*****หนี้รัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น 3.1 แสนล้านภายใน 3 ปี
ส่วนหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้เป็นสถาบันการเงิน มีทั้งต่างประเทศและหนี้ในประเทศ ซึ่งรวมกันได้ 890,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2540 จาก 680,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 310,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีที่ผ่านมา นี่คือส่วนของภาครัฐวิสาหกิจ แบ่งเป็นต่างประเทศ 50% ในประเทศ 49% เศษๆ ก็ครึ่งๆ เป็นหนี้ต่างประเทศและหนี้ในประเทศพอๆ กัน *****************************
*****การชำระเงินต้นและดอกเบี้ย****
เรื่องที่ผมขอเรียนย้ำอีกทีคือ เรื่องการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระคืนเงินต้นและเงินกู้นั้น ถ้าเรามองย้อนเมื่อปี 2539 อัตราส่วนในการชำระคืนเงินต้นสูงกว่าอัตราส่วนที่เป็นการชำระดอกเบี้ย นั่นคือ การจัดงบประมาณเพื่อชำระ พอมาปี 2542 เป็นต้นไป อัตราคืนเงินต้นน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอัตราการคืนดอกเบี้ย ซึ่งล่าสุดปี 2544 12,000 ล้านบาท เป็นเงินต้น 87,000 ล้านบาท เป็นดอกเบี้ย แต่มาปี 2545 90,000 ล้านบาทเศษ เป็นดอกเบี้ย 20,000 ล้านบาทเศษ เป็นเงินต้น ถ้าแนวโน้มเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ระยะเวลาการชำระหนี้ก็จะนานขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งมีหนี้พอกพูนขึ้นมากอีก ก็จะนานต่อไปอีก ซึ่งต้องมีวิธีการในการแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ในหลายๆ ระบบ ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงจะลำบากขึ้นถ้าเรามองเส้นกราฟในการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระหนี้และการลงทุนนั้น เริ่มจะชนกันแล้ว ถ้าเมื่อไรงบประมาณเพื่อการลงทุนกับงบประมาณชำระหนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณรายจ่ายแล้ว มาชนกันเมื่อไร แสดงว่าเราไม่มีเงินเหลือสำหรับที่จะนำไปลงทุน การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศก็จะลำบากขึ้น การช่วยเหลือประชาชนก็จะลำบากขึ้น ซึ่งเราจะต้องรีบหยุดแนวโน้มนี้ หรือรีบชะลอแนวโน้มนี้ให้ยืดยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
====> สถานะการคืนหนี้ย่ำแย่มากเพราะเงินที่จ่ายคืน เอาแค่ดอกเบี้ยก็จะล้มทับเงินต้นไปแล้ว นี่คือมรดกที่รัฐบาลชวนทิ้งไว้ให้รัฐบาลทักษิณเข้ามาแก้ปัญหา
จากคุณ :
ผ่านไป
- [
10 พ.ย. 47 22:19:10
A:221.128.104.86 X: TicketID:075991
]
|
|
|