CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ค่าเสียโอกาส: ส่วนบุคคล-ส่วนรวม

    ค่าเสียโอกาส: ส่วนบุคคล-ส่วนรวม
    (จาก Opportunity Costs ที่ http://www.landandfreedom.org/econ/econ1f.htm)

    “ค่าเสียโอกาส” กล่าวสั้นๆ คือ “รายได้ ผลกำไร หรือ ความพอใจ ที่สูงที่สุดที่คาดว่าจะได้จากสิ่งหนึ่งถัดจากสิ่งซึ่งผู้หนึ่งได้เลือก”  แนวคิดเรื่อง “ค่าเสียโอกาส” ถือว่ามีความสำคัญต่อการศึกษาเศรษฐศาสตร์ เพราะเศรษฐศาสตร์คือศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่ามนุษย์ใช้ทรัพยากรที่มีอย่างไรเพื่อสนองความต้องการของตน  ทรัพยากรเหล่านี้ – ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์แบ่งประเภทเป็น ที่ดิน (รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ) แรงงาน และ เศรษฐทรัพย์ (รวมทั้งทุน) – มีอยู่จำกัด  แต่ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด  เมื่อความต้องการทางกายได้รับการสนองครบถ้วนแล้ว เราก็เกิดความต้องการอื่นๆ ต่อไป เช่น ความบันเทิง ความรู้ หรือ การผจญภัย  แต่เมื่อทรัพยากรมีจำกัด เราก็ต้องเลือกว่าจะใช้ทรัพยากรอย่างไร

    ตัวอย่าง ถ้าเรามีเงินร้อยบาท เราอาจใช้ซื้ออาหาร หรือดูหนัง เราอาจคิดว่าทางเลือกหนึ่งดีกว่าทางเลือกอื่นๆ  แต่ผู้อื่นอาจคิดต่างออกไป  ผู้หนึ่งอาจใช้เงินนั้นซื้อหนังสือ อีกผู้หนึ่งอาจซื้อบุหรี่ และยังอีกผู้หนึ่งอาจบริจาคเงินนั้นให้แก่องค์การกุศล  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราเลือกที่จะแลกด้วยแรงงานหรือเงินของเรานั้นย่อมมีค่าเสียโอกาส คือ มูลค่าของสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเราไม่ได้เลือก

    เรื่องนี้ก็ดูว่าจะเห็นได้ชัด แล้วทำไมค่าเสียโอกาสจึงเป็นแนวคิดที่มีอานุภาพนัก?  ก็เพราะความที่มันมีประโยชน์ในฐานะเครื่องมือวิเคราะห์   ในเศรษฐกิจระบบตลาด มนุษย์ย่อมหาทางให้ได้กำไร (โดยไม่ควรจะต้องละความสุจริต)  เขาจึงต้องใช้ทรัพยากรที่มีให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง  เขาจึงต้องชั่งน้ำหนักของปัจจัยต่างๆ ทั้งหลาย  การได้รู้มูลค่าของสิ่งที่ดีที่สุดถัดไปจากสิ่งที่คิดว่าจะเลือกจะช่วยได้มากในการตัดสินตกลงใจ  ตัวอย่าง สมมุติว่าเรามีอาชีพขายลูกชิ้นปิ้งและโชคดีได้กำไรสุทธิ 10,000 บาทในครึ่งเดือน เราจะใช้กำไรนั้นสนองความต้องการของเราอย่างไรดี?  

    เริ่มแรก เราจะต้องคิดออกมาให้ชัดเจนก่อนว่าเราต้องการอะไร  เราอาจหยุดขายลูกชิ้นปิ้งสักพักเพื่อจัดงานเลี้ยง – แต่เมื่องานเลี้ยงเลิกรา เราจะกลับไปอยู่ในฐานะเดิม  หรือเราอาจจะซื้อสินค้าที่จะขายให้มากขึ้น  หรือลงทุนตั้งแผงลอยอีกแผงหนึ่ง  หรือจ้างลูกมือมาช่วย  อาจขายหมูปิ้งเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง  หรือลงทุนในด้านโฆษณา  เมื่อเราเลือกทำอย่างหนึ่ง การจะทำอีกอย่างหนึ่งก็จะมีความเป็นไปได้น้อยลง  ถ้าจะให้การตกลงใจได้ผลดี เราจะต้องคำนวณหามูลค่าที่เราจะเสียไปจากการเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง  ในเชิงเศรษฐศาสตร์สิ่งที่เราควรทำก็คือการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ค่าเสียโอกาสสร้างแบบจำลองผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น

    สังคมส่วนรวมก็คิดหาค่าเสียโอกาสหลายวิธีเหมือนกัน  รัฐบาลต้องตกลงใจเลือกนโยบายภาษีและการใช้จ่ายด้านสาธารณะ  ตัวอย่าง การใช้เงินของรัฐสร้างทางหลวงหมายความว่าจะไม่ได้เงินก้อนเดียวกันนั้นไปสร้างทางรถไฟ  โดยทำนองเดียวกันถ้ารัฐลดภาษี เงินก็เข้าหลวงน้อยลง ผู้บริโภคมีเงินมากขึ้น – แต่ค่าเสียโอกาสอาจจะเป็นกำลังป้องกันประเทศ บริการหรือโครงการของรัฐที่อาจจะมีถ้าไม่ลดภาษี

    มีค่าเสียโอกาสขนาดใหญ่โตสำหรับสังคมส่วนรวมอยู่อย่างหนึ่งที่มักไม่ค่อยมีการพิจารณากัน แต่มีผลใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจของเราทุกด้าน  นั่นคือปรากฏการณ์การเก็งกำไรที่ดิน  พฤติกรรมนี้ – การเก็บกักที่ดินที่มีค่าไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์จนกว่าเจ้าของจะเห็นว่าได้กำไรสูงสุดแล้ว – ได้ก่อปัญหาหนักหน่วงแก่เมืองต่างๆ  ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ ความเข้มแข็งของชุมชน และการอนามัยสิ่งแวดล้อม  มันคือสาเหตุหลักแห่งปัญหาที่เกิดคู่กัน คือ การเสื่อมโทรมของเมือง (urban blight) และ การขยายตัวอย่างสะเปะสะปะของชานเมือง (suburban sprawl)  การเก็งกำไรที่ดินเป็นพฤติการณ์ที่เกิดกว้างขวางมากในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ แต่ไม่ก่อผลประโยชน์แก่สังคมเลย มีแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล

    น่าสังเกตว่าทัศนะของเจ้าของที่ดินเกี่ยวกับค่าเสียโอกาสด้านการเก็งกำไรที่ดินนั้นเป็นตรงข้ามกับทัศนะของสังคมอย่างสิ้นเชิง  สำหรับเจ้าของที่ดิน ค่าเสียโอกาสของการใช้ที่ดินวันนี้คือราคาหรือกำไรที่จะได้สูงขึ้นในอนาคต – และโดยที่มูลค่าที่ดินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อประชากรและการผลิต (รวมทั้งการซื้อขายแลกเปลี่ยน) มีมากขึ้น จึงเกิดแรงจูงใจขึ้นในตัวให้รอคอย!  แต่สำหรับสังคมทั่วไป ค่าเสียโอกาสจากการที่ที่ดินอันมีค่าถูกเก็บกักไว้ไม่ใช้ประโยชน์ก็คือ ทั้งการผลิตและการจ้างงานส่วนที่น่าจะเกิดแต่ไม่เกิดขึ้นในทำเลนั้นๆ  และค่าต้นทุนที่จะต้องขยายการให้บริการและโครงสร้างพื้นฐานออกไปไกลกว่าที่ควรในที่ซึ่งมีความเหมาะสมน้อยลง

    ลองเปรียบเทียบกรณีผู้เก็งกำไรที่ดินกับผู้ขายลูกชิ้นปิ้งที่กล่าวมาแล้ว  ลูกชิ้นปิ้งเป็นที่ต้องการของผู้คน แต่เราจะไม่กักตุนไว้โดยหวังว่าราคาจะสูงขึ้น เพราะถ้าทำเช่นนั้น จะมีผู้อื่นมาขายแทน  สิ่งที่เราอยากทำคือลงทุนให้ได้ลูกชิ้นมากขึ้นและดีขึ้นแก่ลูกค้าจำนวนมากขึ้น ซึ่งสังคมส่วนรวมจะได้ประโยชน์ เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ขายลูกชิ้นปิ้งด้วยกันจะทำให้ผู้บริโภคได้ลูกชิ้นปิ้งที่คุณภาพดีขึ้นและราคาถูกลง  ตลาดที่มีการแข่งขันจึงให้ประโยชน์แก่ทั้งสังคมและผู้ประกอบกิจการที่ประสบความสำเร็จ

    แต่กรณีของผู้เก็งกำไรที่ดินมิใช่เช่นนั้น พวกเขาได้กำไรจากกิจกรรมที่ทำร้ายสังคมส่วนรวมดังกล่าวแล้ว  ปรากฏการณ์นี้ – เมื่อปัจเจกบุคคลผู้ประกอบการได้กำไรจากกิจกรรมที่เป็นผลร้ายต่อประชาคม – คือสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ความล้มเหลวของระบบตลาด หรือ “ตลาดล้มเหลว” (market failure)  คำถามว่าจะทำอะไรกับกรณีตลาดล้มเหลวเป็นคำถามขั้นพื้นฐานที่สุดข้อหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจ

    อีกวิธีหนึ่งในการคิดเรื่องค่าเสียโอกาสคือการระลึกไว้เสมอว่า ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด และ มนุษย์ย่อมหาทางสนองความต้องการของตนโดยใช้ความพยายามแต่น้อยที่สุด  เช่นนี้ เราทุกคนจะต้องเลือกว่าจะใช้แรงงานของเราและผลผลิตจากแรงงานของเราอย่างไรเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการ.

    จากคุณ : สุธน หิญ - [ 11 พ.ย. 47 23:48:39 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป