ความคิดเห็นที่ 37
ครับคุณAthit #23 ผมอาจจะหยิบเอาส่วนที่ไม่ใช่ประเด็นส่วนใหญ่ในสิ่งที่บทความนั้นพูดถึง เพราะท่านยกหลากหลายประเด็นความคิดเห็นที่อาจจะเป็นประวัติที่มาหรือยุกต์ต่างๆในพัฒนาการการเรียนรู้ของมนุษยชาติ มันกว้างไปผมเลยจับเอาย่อหน้าสุดท้ายนี้มาคุยต่อ เพราะเห็นว่าทิ้งท้ายไว้น่าสนใจ
""การเติบโตของศาสตร์ คือการเติบโตจากแม่บทความคิดเดิม แต่เมื่อไปถึงจุดหนึ่งจะเกิดการก้าวกระโดดทางความคิด เพราะฉะนั้นการเข้าใจถึงแม่บท (Paradigm) จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังความรู้ และควรจะเดินต่อไปหรือไม่ ""
และส่วนที่คุณAthit สรุปมาใน #23 ผมเห็นว่าท่านอ.ธีรยุทธ ท่านไม่ได้ชี้ชัดขนาดนั้น ท่านแค่นำเสนอสิ่งที่เป็น และสิ่งที่เห็นที่ผ่านมาจากมุมมองของท่านและที่คุณไปสรุปว่า
""พัฒนา แบบ ตะวันตก มันไม่ได้รับใช้ ความเป็นมนุษย์ แต่มัน ลดทอนความเป็นมนุษย์""
ท่านอ.ธีรยุทธท่านก็ไม่ได้ชี้ชัดขนาดนั้น เพราะนั้นเป็นพื้นฐานแนวคิดแบบตะวันออก แล้วถ้า เป็นพื้นฐานแนวคิดที่มาจากตะวันตก เขาอาจจะบอกว่า การพัฒนาแบบนั้นเพื่อสร้างสิ่งที่จะมาตอบสนองความต้องการ,การแสวงหา ทั้งนวัตกรรมที่รวมไปถึงความรู้ใหม่ที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์
ในขณะที่ปรัชญาหรือแนวคิดตะวันออกกำลังบอกว่าการแสวงหาสูงสุดของมนุษย์ ก็คือการค้นพบตัวตนจริงๆของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งประกอบทางวัตถุ เพื่อปรุงแต่งตัวตนของมนุษย์ แต่แนวคิดสองทางนี้ กลับเป็นส่วนประกอบสำคัญในสังคมโลกสังคมมนุษย์
ดังนั้นวิธีการมองแบบตะวันตกและตะวันออก ที่มีพื้นฐานวิธีคิดมีที่มาที่ไปที่ต่างกัน และกลับการที่จะไปบอกว่าเขาผิดเราถูก หรือพัฒนาแบบนั้น ทำให้ห่างจากความเป็นมนุษย์ จึงไม่ใช่หรือไม่ถูกต้องทั้งหมด และในความคิดเห็นที่ 18,19ของผมจึง พยายามแยกแยะ ให้หาตัวตนจริงๆของเรา เพื่อปรับตัวข้าหาสิ่งใหม่ หรือระบบนิเวสน์ใหม่ ที่ลงตัวได้ขนาดไหน?
เพราะยังงัยเสียแนวคิดตะวันออกที่เน้นการหาตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์มากกว่าสิ่งที่จะมาประกอบปรุงแต่งทางวัตถุเพื่อสร้างความเป็นมนุษย์ แต่เราก็ปฎิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั้งหมดไม่ได้ เช่นแม้แต่การแสวงหาตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ตามแนวคิดตะวันออกแบบเคร่งสุด ก็คือออกบวชนั้นก็ยัง ต้องการปัจจัยสี่ ซึ่งก็ต้องเกี่ยวเนื่องเกี่ยวข้องเกี่ยวโยง(อิทัปฯ,อตัมสกสูตร) กับทุนนิยมตะวันตก หรือแนวคิดการแสวงหาสิ่งที่มาประกอบปรุงแต่ง ตัวตนของมนุษย์
แนวทางแบบพุทธเราจึงไม่ได้สุดโต่งทั้งหมดกับธรรมชาติ นั้นก็คือระบบนิเวสน์รอบตัวเรา การปรับตัว หรือการประณีประณอมกับธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงตามหลัก"มัชฌิมา"ทาง จึงคนละอย่างกับ การปรับจิตวิญญานที่เป็นตัวตนของเราอันนี้ต่างหากที่เราต้องแยกแยะให้ออกเพื่อป้องกันการไปกล่าวหาโจมตีจิตวิญญานหรือที่มาของวัฒนธรรมความคิดอื่นๆของใคร
ข้อสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราเข้าใจกับ อัตตา,อัตตาลักษณ์หรือความต่างของมนุษย์แค่ไหน? แล้วจะอยู่รวมกันกับความต่างของมนุษย์ ที่ไม่สอดคล้อง หรือไปในทิศทางเดียวกับอัตตาเราได้อย่างสงบสุขสันติอย่างไร? เรายืดหยุ่นและแยกแยะได้ขนาดไหน? ระหว่างอัตตาเรากับอัตตาเขา ไม่ใช่ปิดตาเราแล้วไปกล่าวหาเขา หรือปิดตัวเอง ปฎิเสธ สิ่งที่ไม่ใช่เรา ซึ่งในความเป็นจริงเราทำไม่ได้หลอกกับระบบนิเวสน์โลกแบบนี้ เราวิ่งหนีปฎิสัมพันธ์ของโลกาภิวัฒน์โลก ไม่พ้นหรอก แต่เราเลือกที่จะรู้จักกับมันแบบไหน?ดีกว่า
สรุปผมจึงเชื่อว่าท่านอ.ธีรยุทธ ท่านน่าจะนำเสนอปัญหา เท่าที่เป็น และเท่าที่เห็น แต่ไม่ได้สรุปฟันธงขนาดนั้น กับแนวคิดที่จะปฎิเสธใครองค์ความรู้แบบไหน? แต่การพัฒนาสังคมแบบฐานความรู้ที่ถูกต้อง คือต้องเรียนรู้ และบริหารจัดการกับฐานข้อมูลนั้นรวมทั้งแยกแยะได้ว่า อันไหน?ตรงอันไหน?สอดคล้อง กับตัวตนของเรา หรืออันไหน?สร้างสรร อันไหน? บรรลัย กับภาพรวมของสังคม แต่ความคิดที่จะปฎิเสธแอนตี้ใครนั้นน่ะ ในความเป็นจริงแล้วเราทำไม่ได้หรอกเพราะเราหนีความจริงของโลกไม่ได้เราจึงต้องใช้ ทั้งศิล ,สมาธิ และปัญญา วิเคราะห์และเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตัวตนของเรา???
จากคุณ :
ตอม
- [
14 พ.ย. 47 09:34:44
A:61.90.55.8 X: TicketID:001922
]
|
|
|