CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    "ธีรยุทธ-ส.ศิวรักษ์" วิพากษ์"สังคมความรู้"

    "ธีรยุทธ-ส.ศิวรักษ์" วิพากษ์"สังคมความรู้" อะไรชักใยอยู่เบื้องหลัง?

    รายงาน

    "ธีรยุทธ บุญมี" ย้อนยุคสมัยสังคมความรู้ จากอดีตสู่ปัจจุบัน จากคนบางกลุ่มสู่คนส่วนใหญ่ แต่เหตุไฉนยังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อะไรชักใยอยู่เบื้องหลังความรู้ "ปัญญาเหตุผล" หรือ "ระบบตลาด" ขณะที่ "ส.ศิวรักษ์" สอนความรู้ผู้บริหารต้องไม่มีอคติ 4 และต้องมีปัญจธรรม 3 ประการ...

    หมายเหตุ - เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ มีการประชุมวิชาการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ(มสช.) ครั้งที่ 2 โดยมีนายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์คณะสังคมวิทยามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "สังคมประชาธิปไตยกับการใช้ความรู้" และนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักคิดนักเขียนชื่อดัง กล่าวในหัวข้อ "ตกผลึกความคิด : ตัวแปรในช่วงเปลี่ยนจากสังคมความเห็นผ่านความรู้สู่ปัญญา"

    O "ธีรยุทธ บุญมี"

    การเปลี่ยนแปลงโลกจากยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม มาเป็นโลกยุคดิจิตอล ที่มีการกำหนดตัวเลข 2 หลัก คือ 0 กับ 1 เพื่อเป็นตัวแทนของทุกสรรพสิ่ง เป็นเทคโนโลยีที่น่ากลัวเพราะสามารถทำให้เกิดโลกเสมือนจริงได้ อำนาจของเทคโนโลยีทำให้ทุกสิ่งถูกแทนค่าด้วยตัวเลข 0 กับ 1 เหมือนกันไปหมด ทำให้การจัดระเบียบคุณค่าของสิ่งต่างๆ ลดน้อยถอยลง เหลือเพียงมีกับไม่มี เป็นผู้เชี่ยวชาญกับไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ดีกับไม่ดี ทำให้คุณค่าอีกมากที่มีอยู่ในสิ่งต่างๆ ถูกละเลยไป

    ในยุคโพสต์ โมเดิร์น นักคิด นักปรัชญาด้านมนุษย์ศาสตร์ บอกว่า การพัฒนาของมนุษย์มาจากการพัฒนาด้านภาษาที่เป็นความสามารถพิเศษที่มนุษย์มีมากกว่าสัตว์อื่นๆ โดยมองว่าการที่มนุษย์จะทำอะไร เกิดจากความคิดของมนุษย์เองมากกว่าปัจจัยจากภายนอก ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับการสื่อสาร ภาษา ข้อมูลข่าวสารมากกว่าปัจจัยภายนอก เมื่อบวกกับการพัฒนาทางเทคโนโลยียิ่งทำให้คนสนใจความรู้ และการสื่อสารมากขึ้นกลายเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ที่เปลี่ยนจากสังคมแห่งการทำมาหากิน มาเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และข้อมูลข่าวสาร

    การพัฒนาที่ผ่านมาขาดมิติทางสังคมและจิตวิญญาณ เพราะเราเน้นด้านอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจมากเกินไป ทั้งนี้เมื่อมาเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เราก็ต้องระมัดระวังการใช้ข้อมูลข่าวสารว่าทำให้ลดทอนสภาพจิตใจ จิตวิญญาณ วัฒนธรรมไปหรือไม่ การทำให้สรรพสิ่งถูกแทนค่าด้วยเลข 0 กับ 1 จะทำให้มิติอื่นๆ ถูกลดทอนไป กลายเป็นเพียงสินค้าที่ตัดทิ้งความสำคัญของมิติอื่นๆ เช่น ความสัมพันธ์ของคนในสังคม ครอบครัว เพื่อนหรือไม่

    ยุคสมัยของความรู้แบ่งออกเป็น 6 ยุค คือ ยุคแรกการค้นพบอักษร เมื่อ 4,500 ปีก่อนคริสตกาล คนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในความรู้ คือผู้ควบคุมตัวอักษร ส่วนใหญ่จะเป็นพระ นักบวช หรือเจ้านายชั้นสูง ยุคที่ 2 เป็นยุคที่ค้นพบการพิมพ์ เมื่อราว 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล เมื่อมีการพิมพ์ความรู้จะถูกกระจายออกไปสู่ชนชั้นสูง และชนชั้นกลางมากขึ้น ต่อมาเป็นยุคสื่อสารมวลชน เมื่อกลางยุค 1980 ที่ประชาชนทั่วไปเริ่มมีหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ เพื่อสื่อที่แพร่กระจายไปถึงประชาชนมากขึ้น และเป็นสังคมแห่งประชาธิปไตยของความรู้ และนำไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย

    ยุคต่อมาคือยุคสื่อสันทนาการ เกิดปรากฏการณ์ที่ความรู้ลงไปสู่ประชาชนมากขึ้น โดยความรู้ที่ลงไปไม่ใช่แค่การเมืองอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความบันเทิงด้วย และมาสู่ยุคปัจจุบันที่ในบ้านนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์สื่อสาร ทำให้เกิดมนุษย์แบบแปลกๆ คือมนุษย์ที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่เป็นคนที่อยู่กับตัวเอง อยู่กับการสื่อสาร แต่กลับเชื่อมโยงไปสู่คนทั่วโลก นักวิชาการจากทั่วโลกกำลังศึกษาว่าจะเรียกมนุษย์แบบนี้ว่าอะไร และมุนษย์เหล่านี้เป็นอย่างไร

    การปฏิวัติความรู้ครั้งแรกเกิดจากการเอาความรู้เรื่องช่างมาประสานกับความรู้เชิงเทคนิค โดยคนที่ได้ประโยชน์คือนายทุน และเมื่อมีการปฏิวัติความรู้ในครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการนำการจัดการมาใช้ประสานกับความรู้ ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์คือกรรมกร ส่วนการปฏิวัติความรู้ในครั้งที่ 3 คือการประยุกต์ใช้ความรู้กับความรู้ ทำให้เกิดการจัดการความรู้ขึ้นมา ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับคนทั้งหมดเพราะความรู้จะหลุดออกจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ อาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ในยุคอุตสาหกรรมและผูกขาดอยู่ในกลุ่มของตนเอง แต่เมื่อมีการนำความรู้มาจัดการองค์ความรู้ทุกคนจะได้ประโยชน์ และนักวิชาการต่อไปจะเป็นเพียง Operator คอยสับสวิตช์ความรู้ให้กับนักศึกษาเท่านั้น

    สำหรับการปฏิวัติแบบนี้ผมขอเรียกว่าเป็นการปฏิวัติแบบถดถอย เราพบว่าในศตวรรษที่ 21 ทั่วโลกมีการปฏิวัติแบบถดถอยออกจากที่เดิม เช่น ศิลปะ ในช่วงยุคโมเดิร์น ศิลปินได้ระบุไว้ว่าจะไม่เป็นสื่อ หรือตัวแทนของความงาม ความจริง ตามที่ศิลปะยุคก่อนเคยเป็นมา คือศิลปะประกาศถดถอยตัวเองจากความเป็นจริง วัฒนธรรมก็ถดถอยออกจากการเป็นของดี ของชั้นสูง มาเป็นไลฟ์สไตล์ของคนทั่วไป ในด้านสังคม จากเดิมที่ถูกกำหนดความเป็นไปด้วยคนชั้นสูง (Elite) เป็นสังคมที่ถูกกำหนดด้วยคนทั่วไป

    การถดถอยทางเศรษฐกิจทำให้มูลค่าของสิ่งต่างๆ ไม่ได้ถูกกำหนดโดยองค์ประกอบจากภายในของสิ่งต่างๆ เช่น วัตถุดิบ ค่าเครื่องจักร ค่าเช่า ดอกเบี้ย จากเดิมที่ราคาสินค้ากำหนดด้วยราคาวัตถุดิบบวกกำไร มาเป็นมูลค่าของสิ่งต่างๆ ถูกกำหนดโดยตลาด เป็นผู้ตัดสินให้เกิดมูลค่า ซึ่งมูลค่าเพิ่มเกิดจากการออกแบบ เทคโนโลยี การสร้างแบรนด์

    อย่างไรก็ตามสังคมแห่งการเรียนรู้ ข้อมูลข่าวสาร มีข้อเสียคือ การผูกติดอยู่กับอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่และระบบตลาดค่อนข้างมาก ดังนั้นการเป็นความรู้เพื่ออะไร เพื่อใคร จึงถูกมองน้อยลงไป เพราะตลาดจะเป็นผู้กำหนดทุกสิ่ง นั่นก็คือความรู้ได้ถดถอยออกมาจากความเป็นจริง ผู้เชี่ยวชาญถูกทำให้กลายเป็นเหมือนสินค้าที่หมุนเวียนโดยเสรี และถูกกำหนดโดยตลาด

    ความรู้ในยุคสุดท้ายมีข้อดีคือ กระจายออกไปสู่มนุษย์มากขึ้น เป็นประชาธิปไตยของความรู้ และนำมาสู่ประชาธิปไตยของชาวบ้านที่ความรู้เข้าถึงได้ง่าย เราสามารถเข้าถึงหรือหยิบฉวยมาใช้ได้ง่าย คนมีโอกาสเอาความรู้ไปสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างประโยชน์ให้กับตนเองมากขึ้น และมีโอกาสสร้างสรรค์มากขึ้น การมีส่วนร่วมของคนจะละลายความต่างของสังคมออกไป มีการนำภูมิปัญญาชาวบ้าน ปราชญ์ชาวบ้านมาใช้มากขึ้น เพราะความรู้ได้ละลายเส้นแบ่งเดิมออกไปและเป็นประโยชน์กับสังคมโดยรวม และทำให้เกิดสังคมประชาธิปไตยมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา แต่ต้องระวังไม่ให้เกิดความเอียงของความรู้

    ส่วนข้อเสียคือ มันทำให้เราตั้งคำถามกับสิ่งที่ชักใยอยู่เบื้องหลังความรู้ หรือ "ปัญญาเหตุผล" ซึ่งหากมีอยู่จริง ทำไมมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สงครามอิรัก หรือแม้แต่ความรุนแรงที่ภาคใต้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า "ปัญญาเหตุผล" เดิมใช้ได้หรือไม่ การเอาผลที่จะเกิดขึ้นมาเป็นหลักในการแก้ไขปัญหา หรือการไปถึงเป้าหมายโดยไม่ได้คิดถึงวิธีการนั้นจึงมีปัญหาตามมามากมาย เราจึงต้องมีโครงสร้าง มีเนื้อในของความรู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก อย่าเอาเป้าหมายมาเป็นหลัก

    การเติบโตของความรู้ผ่านมาจากยุคโบราณที่ความรู้อยู่กับพระ หรือชนชั้นผู้นำ มาสู่ยุคอุตสาหกรรมที่เชื่อว่าความรู้ต้องผ่านการค้นคว้า ศึกษาทดลอง โดยเป็นการเติบโตแบบค่อยๆ เพิ่มพูนมาตลอด เพิ่งมีองค์ความรู้เข้ามาลบล้างความเชื่อเดิมเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีนักคิดชื่อ "โทมัส คูนห์" เป็นหลัก ต่อมาก็เป็น "จอร์จ โซรอส" ที่เชื่อว่าความรู้ไม่มีหลักฐานที่แน่นอน การเติบโตของความรู้ไม่ได้เกิดจากการพอกพูนของความรู้ แต่เกิดจากการวิพากษ์ วิจารณ์ และล้มล้างความเชื่อเดิม

    การเติบโตของศาสตร์ คือการเติบโตจากแม่บทความคิดเดิม แต่เมื่อไปถึงจุดหนึ่งจะเกิดการก้าวกระโดดทางความคิด เพราะฉะนั้นการเข้าใจถึงแม่บท (Paradigm) จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังความรู้ และควรจะเดินต่อไปหรือไม่

    จากคุณ : Can - [ 12 พ.ย. 47 21:38:47 A:203.172.74.96 X: TicketID:014491 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป