ความคิดเห็นที่ 1 และนี่ คือข่าวหน้า 5 จาก บางกอกโพสต์ 11 พ.ย. 2547 แพร่หลายไปทั่วโลก... Country has become a "degenerate society" Privy councillor slams wealth-driven morals. A privy councillor has said Thailand has become a degenerate society where citizens lack morals and look only for ways to become wealthy and escape blame and punishment. Kasem Wattanachai made his comments yesterday in a speech entitled; "Direction of Social Development -- Knowledge and Morality" at the opening of a National Health Foundation seminar. He said Thailand is changing rapidly from a society that believes in Buddhist precepts, honesty, thrift and morality to one of selfishness, admiring wealth and lacking any conscience. People, he said, constantly try to look for legal loopholes to gain the upper hand over others and evade blame and punishment. Mr Kasem, a former education minister in the first Thaksin cabinet, said Thai society has clearly been polarised. The super-rich comprise only 20% of the population but control up to 57% of the country's assets, while the poorest 20% have only a 3.4% share. Another obvious difference is that two-thirds of money deposited with banks belongs to Bangkokians and only one-third to people in the 75 other provinces. "A prime minister has said poverty would be eradicated from the country in the next four years. We have yet to see if this will come true. The disparity [between the rich and poor] has existed for over 50 years, yet there are now even more factors widening the gap. So when he said poverty would disappear in four years, we will have to wait and see how he goes about doing it," Mr Kasem said. He did not name the prime minister he was referring to. But Prime Minister Thaksin Shinawatra had earlier declared he would eradicate poverty in six years, and later that he would achieve the feat during his next term if re-elected. Mr Kasem said economic factors have led to social differences. "There are those who are highly educated and those with little or no education who are mostly farmers. Those with little [education] are easily deceived and made to believe in a certain person despite not knowing what his real intentions are." He said the polarised society has led to social conflict. There have been actions taken outside of the judicial process and the country has been condemned internationally for human rights violations. "Ua-arthorn [care] is a very good word, but it is being used as a type of merchandise, " he said. The privy councillor said Thai society is plagued with vices including addiction to liquor and cigarettes, sex and gambling. "A research study stated hilltribe people have two major expenses--mobile phones and lottery tickets in the hope of winning and paying off debts," he said. สังคมไทย ได้กลายเป็น "สังคมที่เสื่อมทราม" ไปเสียแล้ว... องคมนตรีท่านหนึ่ง กล่าวโจมตี ศีลธรรมในสังคม ที่ใช้เงินเป็นตัวนำ องคมนตรีท่านหนึ่ง กล่าว ว่าประเทศไทย ได้กลายเป็นสังคมที่เสื่อมทรามไปแล้ว เมื่อประชากรขาดซึ่งคุณธรรม และต่างมองหาช่องทางสู่ความร่ำรวย หลบหลีกการถูกตำหนิ และหลีกหนีการลงโทษ ศ. น.พ. เกษม วัฒนชัย กล่าวเมื่อวานนี้ ในสุนทรพจน์ หัวข้อ "ทิศทางในการพัฒนาสังคม - ความรู้ และ คุณธรรม" ในงานเปิดสัมนาของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ท่านกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากสังคมที่เชื่อในศีลและข้อห้ามของศาสนาพุทธ ความซื่อสัตย์ การประหยัด และการยึดถือคุณธรรม เป็นสังคมที่มีแต่ความเห็นแก่ตัว ชื่นชมความร่ำรวย และขาดจิตสำนึกใดๆ ท่านกล่าวว่า ผู้คน พยามยามตลอดเวลาที่จะมองหาช่องว่างของกฏหมาย เพื่อแสวงหาความได้เปรียบผู้อื่น และหลบหลีกการถูกตำหนิ และการถูกลงโทษ น พ เกษม ซึ่งในอดีตเคยเป็น รมว ศึกษาธิการในรัฐบาลทักษิณชุดแรก กล่าวว่า สังคมไทย ถูกแบ่งแยกเป็นสองฝักสองฝ่าย อย่างชัดเจน กลุ่มมหาเศรษฐี มีเพียง 20% ของประชากรทั้งหมด แต่ควบคุมถึง 57% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของประเทศ ในขณะที่กลุ่มที่ยากจนที่สุด 20% ของประชากรทั้งหมด มีส่วนครอบครองสินทรัพย์ของชาติเพียง 3.4% เท่านั้น ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดอีกข้อหนึ่ง ก็คือ สองในสามส่วนของเงินฝากในธนาคารทั้งระบบ อยู่ในมือของคนกรุงเทพฯ ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งในสามส่วน ถือโดยประชาชนที่เหลืออีกทั้ง 75 จังหวัด "นายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ได้กล่าวไว้ว่า จะขจัดความยากจนให้หมดไปจากประเทศเรา ภายในสี่ปี ซึ่งเรายังต้องคอยดูกันต่อไป ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน มีมานานกว่า 50 ปี กระนั้น ก็ยังมีปัจจัยเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย ที่ทำให้ช่องว่างนั้น ห่างออกไปอีก ฉะนั้น เมื่อท่านกล่าวว่าความยากจนจะหมดไปในสี่ปีนั้น เราก็ต้องมาคอยดูกันต่อไป ว่าท่านจะทำวิธีใด" น.พ. เกษม กล่าว น.พ. เกษม ไม่ได้เอ่ยชื่อนายกรัฐมนตรีผู้นั้น ว่าเป็นใคร แต่นายกทักษิณ ชินวัตร ได้เคยประกาศ ว่าเขาจะขจัดความยากจนให้หมดไปภายใน 6 ปี และต่อมาภายหลัง เขาได้กล่าวว่าจะทำสำเร็จภายใน 4 ปี หากได้รับเลือกกลับมาอีกสมัยหนึ่ง น.พ. เกษม กล่าวว่า ปัจจัยด้านเศรษฐกิจได้นำไปสู่ความแตกต่างด้านสังคม "มีผู้คนที่ได้รับการศึกษาสูง และอีกฝ่ายที่มีการศึกษาน้อยหรือไร้การศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร กลุ่มที่มีการศึกษาน้อยสามารถถูกหลอกได้ง่าย และยังถูกทำให้เชื่อถือในบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยไม่รู้ ว่าเจตนารมณ์ของบุคคลนั้น เป็นเช่นใด" เขากล่าวว่า สังคมที่แยกออกเป็น 2 ฝ่ายนี้ ได้นำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม มีการปฏิบัติการนอกเหนือไปจากกระบวนการของกฏหมาย จนประเทศชาติ ถูกประณามจากประชาคมโลก ถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน "เอื้ออาทร" เป็นคำพูดที่ดีมาก แต่ถูกนำไปใช้เป็นสินค้าประเภทหนึ่งไป องคมนตรี กล่าวว่าสังคมไทย แปดเปื้อนไปด้วยสิ่งชั่วร้าย เช่น การติดสุรา บุหรี่ การมั่วสุมทางเพศ และการพนัน "จากการศึกษาและสำรวจ พบว่า ชาวเขาในประเทศเรา มีค่าใช้จ่ายสำคัญอยู่ 2 ด้าน คือ ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ และค่าใช้จ่ายจากการซื้อลอตเตอรี่ เพื่อหวังจะเอารางวัลมาใช้หนี้สิน" จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 14 พ.ย. 47 00:29:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โอเวอร์ ครับ จริงครับที่ช่องว่างทางรายได้ ในสังคมไทยแตกต่างกัน แต่มันเกิดขึ้นมานานแล้วครับ......ใช่รัฐบาลนี้รัฐบาลเดียว ปัญหาสังคมก็เช่นเดียวกัน ที่มีมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งมาเกิดในปัจจุบัน ปล เสียใจด้วยจริงๆ ครับ ที่ถูกคนใจดำ ปิดกั้นแนวความคิดแจ้ง ลบกระทู้ เมื่อคืนไปหมด ทั้งที่กระทู้ไม่น่าผิดกฏแต่อย่างใด จากคุณ : Athit - [ 14 พ.ย. 47 01:34:30 A:203.113.35.10 X:203.150.217.111 TicketID:001723 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไอ้นี่ อีกแล้วหรอ จากคุณ : guyver - [ 14 พ.ย. 47 07:30:55 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สังคมเสื่อมทรามพราะมีคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก พอสูญสิ้นอำนาจก็จะยังดันทุรังหาช่องกฏหมายมาล้มฝ่ายตรงข้ามอาศัยว่าเป็นพรรคนักกฏหมายมีสายสัมพันธ์กับมือกฏหมายในองค์กรต่างๆ พอทำไม่สำเร็จก็เล่นใต้ดินไป เอาคนที่เคยโกงเงินแชร์ประชาชนมาร่วมโค่นด้วย ยอมแม้กระทั่งสร้างภาพตบตาประชาชนว่าแยกพรรคออกจากกันแล้ว ทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อต้องการกลับมามีอำนาจดังเดิม เพื่อจะได้โกงกินแผ่นดินชาติต่อไป เพื่อจะได้เอาเปรียบขูดรีดคนยากคนจนต่อไป จากคุณ : เข้ามาดู - [ 14 พ.ย. 47 08:04:51 A:221.128.98.70 X: TicketID:075991 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ธรรมชาติของการเมืองเมื่อยิ่งใกล้เลือกตั้ง โคลนก็เริ่มเปรอะเปื้อนไปทั่ว น่าสงสารนักการเมืองและกองเชียร์หัวปักหัวปำทั้งหลาย ที่ต้องตกอยู่ในวังวนเช่นนี้เหมือนหนูติดกับ สุดท้ายพอเลือกตั้งผ่านไป ไอ้ที่เคยพูดกันไว้ก็ไม่เห็นจะทำตามสักเท่าไหร่ คนที่สัญญาอะไรไว้มากมายก็ทำมั่งไม่ทำมั่ง คนที่คิดจะโค่นล้มเค้าแทบตายเดี๋ยวก็มาจูบปากทำธุรกิจด้วยกัน ในฐานะคนดูที่ไม่เข้าข้างใคร เพราะต่างฝ่ายต่างมีดีมีชั่ว ก็คงไม่ขอมีอารมณ์ร่วมด้วย ไว้วันเลือกตั้งเจอกันก็พอ ตอนนี้ก็คิด ๆ อยู่ว่าจะใช้คะแนนเสียงอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวเอง ถ้าคนไทยส่วนใหญ่สามารถคิดออกว่าประโยชน์สูงสุดของตัวเองอยู่ที่ไหน ระบบประชาธิปไตยก็คงพัฒนาเดินหน้าต่อไปได้เรื่อย ๆ แต่นี่.... ยังอีกไกลที่จะถึงขั้นนั้น จากคุณ : ขุนอิน - [ 14 พ.ย. 47 08:26:54 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีครับ ทุกๆ ท่าน ผมเองก็ข้องใจอยู่นิดเดียว อยากให้หลายๆ ท่านในที่นี้ กรุณาตอบให้สัก 2-3 ข้อ เพราะในเกือบ 4 ปี ที่ผ่านมานี้ ตัวเลขข้อมูลบางอย่าง มันฟ้องออกมาว่า 1. ทำไม สินทรัพย์ส่วนตัวของกลุ่มนักการเมืองของรัฐบาล โดยเฉพาะของผู้นำ จึงเพิ่มมากมาย เป็นการตอกย้ำว่า คนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน??? เมื่อไม่นานมานี้ นสพ ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง ตีข่าวไปทั่วโลก ว่านายกไทย และครอบครัว มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น จาก 1.5 แสนล้าน เป็น 4.5 แสนล้าน หรือเท่ากับรวยขึ้นถึง 200% ช่วยอธิบายหน่อยครับ 2. ทำไม หากคนยากจนของประเทศกำลังจะหมดไป แล้วรัฐบาลจึงประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้แก่ผู้ใช้แรงงาน จากวันละ 169 บาท ขึ้นเป็น 170 บาท ขึ้นเพียง 1 บาท เท่านั้น เทียบได้ไหม กับความร่ำรวยของไอ้พวกคนรวยๆ ? 3.จากตัวเลขของรัฐบาลเอง คนจน กลับมีหนี้สินเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว แน่นอน บางคนก็ต้องเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ส่วนใหญ่ ก็รู้อยู่แล้ว เป็นคนไม่มีการศึกษาสูง ยังไม่รู้เรื่อง ยังไม่เข้าใจ เรื่องของการค้า และการเงิน ขาดทั้งความรู้ ในการบริหารกิจการ และการเงิน และแน่นอน ก็ย่อมขาดซึ่งวินัย แล้วคนจน ที่ว่าจะหมดไปนั้น หมายถึงว่า เขาฆ่าตัวตาย จนหมดแผ่นดินไป กระนั้นหรือ??? จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 14 พ.ย. 47 08:35:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เล้วเลว ขายชาติ ทั้งนสพ.ฝรั่งและท่านองคมนตรี เดี๋ยวก็มีคนมาว่ายังงี้ จากคุณ : amonkawee - [ 14 พ.ย. 47 08:46:23 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ Athit คคห 2 ครับ ขอบคุณครับ ที่อุตส่าห์แสดงน้ำใจ และเสียใจ ที่กระทู้ของผมถูกลบทิ้ง 3 กระทู้รวด ผมไม่โทษพันทิพหรอกครับ เพราะเขาก็มีหน้าที่ของเขา แต่ไอ้พวกที่อยู่ข้างหลังเขานี่สิครับ น่าขยะแขยงจัง ไม่ว่าจะเป็นการอ้างถึงระบบการแจ้งลบ หรือกฏระเบียบอะไรก็แล้วแต่ แต่ที่แท้จริง คือพวกสังคังทางการเมือง ที่ใช้อิทธิพล ปิดหู ปิดตา พี่น้องชาวไทย ทั่วประเทศ ไม่ให้ได้พบเห็นความเลว ความชั่ว ของนักการเมืองบางคน บางพวก จนเดี๋ยวนี้ เชื่อไหมครับ ว่าข่าวบางข่าว และภาพบางภาพ ที่เกี่ยวกับประเทศไทย แต่คนไทย 62 ล้านคน ไม่มีโอกาสได้เห็น ได้อ่าน ทั้งๆ ที่ทั่วโลก เขาได้อ่าน ได้เห็น ได้รู้ หมดสิ้น ปล่อยให้คนไทย เจ้าของประเทศ เจ้าของข่าว โง่อยู่ฝ่ายเดียว... ผมจึงไม่ศรัทธาไอ้พวกนี้ไง ครับ... จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 14 พ.ย. 47 09:17:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สนับสนุนแนวคิด จขกท ความจริงที่หลายคนไม่อยากรู้ จากคุณ : no.7 (นทร์) - [ 14 พ.ย. 47 09:59:45 ]

ความคิดเห็นที่ 10 องคมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบเป็นการเฉพาะ เป็นบุคคลที่พึงต้องระมัดระวังสำรวมกริยาวาจา แทบมิต่างจากบรรพชิต เพราะสถานะและaccountability ที่ท่านเหล่านั้นมีอยู่...การแสดงความคิดเห็นใดๆ ที่นอกเหนือจากหน้าที่รับผิดชอบ และคาบเกี่ยวล่อแหลมต่อสถานะและ accountability ที่มีอยู่จึงต้องพึงระมัดระวังอย่างยิ่งยวด เราแทบไม่เคยได้พบเห็นหรือได้ยินได้ฟัง ท่านเหล่านี้แสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เป็นสาธารณะ.... เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่องคมนตรีท่านนี้ออกมากล่าวเช่นนั้น...เพราะมันสาสามารถส่งผลกระทบในหลายแง่มุม ทั้งหน้าที่รับผิดชอบของท่าน สังคม ความคิดของประชาชนทั่วไป...และต่อภาพพจน์ของตัวท่านเอง...ด้วยความเคารพ ครับ จากคุณ : Swagman (Swagman) - [ 14 พ.ย. 47 10:01:58 ]

ความคิดเห็นที่ 11 โครงสร้างทางสังคมเราเป็นแบบนี้มานานพอสมควรแล้วครับ และก็เป็นความจริงที่ระบบทุนนิยม (โดยเฉพาะแบบที่ไม่ควบคุม) เป็นส่วนเร่งให้ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนห่างขึ้น หากดูจากสัดส่วนรายได้คนจนที่สุด และคนรวยที่สุด 20% แรก ตามที่ท่านองคมนตรียากมา เราจะพบว่า ปี 2531 (คุณชาติชายปีแรก) คนจน 20% มีสัดส่วนรายได้ 5.2% คนรวย 20% มีสัดส่วนรายได้ 51.2% ปี 2537 (คุณชวน 1) คนจน 20% มีสัดส่วนรายได้ 4.0% คนรวย 20% มีสัดส่วนรายได้ 57.7% ปี 2542 (คุณชวน 2 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ) คนจน 20% มีสัดส่วนรายได้ 3.8% คนรวย 20% มีสัดส่วนรายได้ 58.5% ปี 2545 (คุณทักษิณ-ข้อมูลล่าสุดที่พอหาได้) คนจน 20% มีสัดส่วนรายได้ 4.2% คนรวย 20% มีสัดส่วนรายได้ 55.2% (อ้างอิงจาก http://poverty.nesdb.go.th/poverty_new/doc/news/wanchat_20040525024130.pdf ) ซึ่งถ้ามองจากภาพนี้ก็จะเห็นว่าตั้งแต่ยุคคุณชาติชายเป็นต้นมา ช่องว่างนี้ห่างขึ้นมาตลอด โดยเฉพาะยุคหลังวิกฤติเศรษฐกิจจะยิ่งห่างมากเป็นพิเศษ ส่วนยุคคุณทักษิณดีขึ้นมาหน่อยนึง แต่ภาพไม่เปลี่ยนมากนัก ส่วนข้อข้องใจของคุณคนเมืองคิ่น ขอร่วมเสวนาด้วยดังนี้ครับ 1. ทรัพย์สินของท่านนายกฯ ที่เพิ่มขึ้น เข้าใจว่าเกือบทุกบทความจะวัด ณ ปี 2543 เทียบกับ เดือน ก.พ. ปี 2547 ซึ่งทรัพย์สินส่วนมากนับจากมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยถ้าดูจากภาพรวม ดัชนี ณ เมื่อปี 2543 อยู่น้อยกว่า 300 จุด เล็กน้อย ส่วนเมื่อ ก.พ. ดัชนีไปอยู่ที่จุดสูงสุดประมาณ 770 หรือถ้าวัดจาก SET50 จะขึ้นจากประมาณ 20 ไปอยู่ที่ 55 ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้นในเครือคุณทักษิณ ก็เพิ่มอย่างปกติตามมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ในขณะนั้น ส่วนเรื่องช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยนั้น นอกจากโครงสร้างคนจนและคนรวย 20% ตามที่ยกมาข้างต้นแล้ว มักดูที่ค่าสัมประสิทธิ์ Gini และสัดส่วนคนยากจนในประเทศด้วย โดยค่า Gini coefficient ปี 2543 เท่ากับ 0.525 ในขณะที่ปี 2545 เหลือ 0.501 ซึ่งค่าที่ลดลงแสดงถึงการกระจายรายได้ที่ดีขึ้น เช่นเดียวกัน เมื่อมองที่เส้นความยากจน ในปี 2531 เส้นความยากจนอยู่ที่ 473 บาท มีสัดส่วนคนยากจนคิดเป็นร้อยละ 32.6 ในปี 2537 เส้นความยากจนอยู่ที่ 636 บาท มีสัดส่วนคนยากจนคิดเป็นร้อยละ 16.3 ในปี 2543 เส้นความยากจนอยู่ที่ 882 บาท มีสัดส่วนคนยากจนคิดเป็นร้อยละ 14.2 และในปี 2545 เส้นความยากจนอยู่ที่ 922 บาท มีสัดส่วนคนยากจนคิดเป็นร้อยละ 9.8 (อ้างอิงจาก http://poverty.nesdb.go.th/poverty_new/doc/NESDB/uan_25471029032626.pdf - ใช้การคำนวณเดิม ซึ่งการคำนวณใหม่ให้ภาพที่ไม่แตกต่างกันมากนัก) ก็เห็นได้ว่าจากข้อมูลต่างๆ แล้ว ช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยในยุคคุณทักษิณไม่ได้แย่ลง ในทางกลับกันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น (ตามตัวเลข) 2. สำหรับเรื่องค่าแรงขั้นต่ำนั้น เป็นกลไกการต่อรองระหว่าง 3 ฝ่าย (นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ) มาตลอด ไม่เคยสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ในเรื่องการกระจายรายได้ และค่าครองชีพเบื้องต้นได้เลย ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย ที่ผู้ว่าจ้างจะกดค่าแรงขั้นต่ำให้เพิ่มขึ้นน้อยกว่าการขึ้นค่าแรงที่เป็นธรรม โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของการเติบโตของประเทศ (ยกเว้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่การลดของค่าจ้างน้อยกว่าการลดลงของ GDP) ซึ่งก็แน่นอนว่าเจ้าของทรัพย์สินมักเป็นผู้ได้ค่าเช่าเศรษฐกิจ (Rent) ในส่วนนั้น นี่จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลปัจจุบันเน้นการสร้างเถ้าแก่เองมากกว่าการสนับสนุนให้เป็นลูกจ้างครับ (สนใจเรื่องบทบาทของค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทย ดูได้ที่ http://www.bot.or.th/BOTHomepage/databank/ArticlesAndPublications/Articles/BulletinArticles/A-Apr-43-E.pdf ) 3. ไม่มีใครรู้เรื่องการค้า การบัญชี มาตั้งแต่เกิด ถ้าดูจากพัฒนาการเศรษฐกิจในประเทศไทย นอกจากปูนซีเมนต์ไทย (ซึ่งถือครองโดยสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) แล้ว ทุนใหญ่ๆ เกือบทั้งหมดถือครองโดยชาวไทยเชื้อสายจีน ซึ่งมักเริ่มต้นจากเสื่อผืนหมอนใบ ดังนั้นไม่แปลกอะไรที่จะส่งเสริมการพัฒนาควบคู่ไปกับการศึกษา เพราะการศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่สร้างงานนั้น ย่อมก่อให้เกิดภาวะ underemployment และ overqualification ส่วนคนจนจะตายหมดหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะเห็นได้ในอีกไม่นานนี่ครับ ...ด้วยความปรารถนาดี จากคุณ : Be HappY MaN - [ 14 พ.ย. 47 10:15:29 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จากคำถามกะทู้..คำตอบคือเป็นเพราะ...จขกท. ************************************* ถึงคุณ no.7 (นทร์)..ผมตามอ่านคคห.และกะทู้เกี่ยวกับเรื่อง3จังหวัด..คุณมาหลายวันแล้ว..ผมชักสงสัยในเจตนาของคุณ..เหมือนสมาชิกท่านนึง..ที่กล่าวมาเหมือนกัน.. จากคุณ : บัวใต้น้ำ - [ 14 พ.ย. 47 10:15:56 A:202.5.88.151 X: TicketID:075995 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ : Me (คนเมืองคิ่น) ผมขอเป็นแนวร่วมความคิดของคุณ ผมมีข้อมูลบางอย่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ kunhin@hotmail.com จากคุณ : แนวร่วม - [ 14 พ.ย. 47 10:17:34 A:61.90.85.62 X: TicketID:008065 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ข้อมูลที่ #11 คุณ Be HappY MaN ให้มานั้นชัดเจนมากนะครับว่าข้อมูลคุณเมืองคิ่นไม่ถูกต้อง เป็นการเอาข้อที่มั่วซั่วมาลงจากการพูดลอยๆของคนที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ คนเป็นแค่หมอมันจะไปรู้เรื่องอะไรของคนจนคนรวยตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์อย่างลึกซึ้งละครับ จากคุณ : เข้ามาดู - [ 14 พ.ย. 47 10:40:47 A:221.128.98.70 X: TicketID:075991 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คห.11 แสดงความเห็นพร้อมข้อมูลได้ชัดเจนเห็นจริงดีมากครับ สังคมจะเสื่อมทรามเพราะมีคนอย่างคิ่นและพวกพรรคต้นสังกัดที่มีแต่ความแค้น ขี้อิจฉาริษยา ใจแคบ วิสัยทัศน์สั้น บริหารงานไม่เป็น ผลงานไม่มี เก่งแต่เรื่องโกงกิน ชอบบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีทำลายผู้อื่น จากคุณ : วัฏฏ - [ 14 พ.ย. 47 11:14:16 A:61.90.33.30 X: TicketID:001768 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ข้อมูล 11# ชัดเจน ส่วนเรื่องสังคมเสื่อมทราม มันเกิดขึ้นมานานแล้วโดยบางอย่างดีขึ้นเช่นเรื่องยาเสพติดบางอย่างแย่ลงโดยเฉพาะเรื่องของการแข่งขันกันอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด และเข้าใจว่าพูดง่ายกว่าทำ หมั่นไปนั่งฟังเรื่องอุดมคติที่เกิดจากจินตนาการก็จ้อได้ทั้งวัน ถ้าขั้นปฏิบัติยากหรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย อยากเห็นนักพูดทั้งหลายขึ้นเวทีเสียทีจะรออะไรอยู่อีก จากคุณ : เดชา - [ 14 พ.ย. 47 11:22:34 A:203.113.51.6 X:203.150.217.111 TicketID:006580 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่เห็นมีอะไรในเนื้อหา กระทู้นอกจาก ประเด็นเก่าคร่ำคร่า, ซ้ำๆซากๆในการเอามาใช้โจมตีคู่ต่อสู้ ที่ร่ำรวยกว่า, มองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากยุทธวิธี ขยายต่อมขี้อิจฉาในหมู่คนปัญญานิ้ม.....บอกตรงๆถ้ามีกึ้นอยู่เพียงเท่านี้คงอีกหลายปีที่จะตระเกียกตระกายให้พ้นความเป็นฝ่ายค้าน.... จากคุณ : องค์เดื่อง - [ 14 พ.ย. 47 11:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 พอพูดถึงช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน มีบทความสดๆจากมติชนสุดสัปดาห์....อ่านแล้วพิจารณาเอง จากมติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 05 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1264 ศัลยา ประชาชาติ ไทยรักไทย ขาลง ชินคอร์ป ขาขึ้น 3 ปี "ทักษิณ" SHIN FUN 5.5 หมื่นล้าน ผลพวงจากกรณีตายหมู่ที่ "ตากใบ" ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเดินสายเสริมดวงสะเดาะเคราะห์เป็นการใหญ่ หลายคนมีความเห็นว่าสถานการณ์ขณะนี้ของพรรคไทยรักไทยอยู่ในช่วงขาลง บ้างก็ว่าเป็นการ "ลงลิฟต์" มิใช่ "ลงบันได" ทีละขั้นธรรมดา แต่นั่นเสมือนเพียงอาการทางการเมือง หากจับอาการทางธุรกิจต้องบอกว่าเป็นคนละเรื่อง ณ วันนี้ "ชินคอร์ป" แข็งแกร่งดุจหินผา แม้หุ้นบางตัวลดความร้อนแรงลงไปบ้างในช่วงหลั่งเลือดที่ "ตากใบ" แต่ตราบใดที่พื้นฐานดี รับรองไม่มีเจ๊ง ต้องยอมรับว่าในรอบเฉียดๆ 4 ปี อาณาจักรธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ แตกหน่อ ต่อยอดมากมาย ไม่มีใครปฏิเสธว่า สายการบินต้นทุนต่ำ "แอร์เอเชีย" "แคปปิตอลโอเค" และ "ชินณิชาวิลล์" ก็เป็นหนึ่งในนั้น "ชินคอร์ป" มีธุรกิจในเครือ 23 บริษัท ทรัพย์สินโดยรวมประมาณ 2 แสนล้านบาท ไม่รวมไลน์อสังหาริมทรัพย์อันเป็นธุรกิจส่วนตัวของ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ธุรกิจ "ฮาวคัม" ของ นายพานทองแท้ และ "เอ็มลิงค์" ของ "เจ๊แดง" เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แบ่งเป็นสายธุรกิจ 5 สาย ได้แก่ สายสื่อสารโทรคมนาคมไร้สาย สายธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศ สายธุรกิจสื่อและโฆษณา สายธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และสายธุรกิจขนส่ง ข้อมูลบัญชีงบดุลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า มีกำไรมหาศาลในเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ปี 2544 มีรายได้ 41,037,636,681 บาท กำไรสุทธิ 3,851,317,095 บาท ปี 2545 มีรายได้ 56,626,111,065 บาท กำไรสุทธิ 11,430,301,397 บาท ปี 2546 มีรายได้ 71,861,409,423 บาท กำไรสุทธิ 18,529,018,503 บาท รวม 3 ปี มีกำไรสุทธิ 33,810,636,995 บาท ในปี 2547 คาดว่าจะกำไร 2 หมื่นล้านบาท บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ปี 2544 มีรายได้ 4,031,348,764 บาท กำไรสุทธิ 2,820,187,826 บาท ปี 2545, ปี 2545 5,776,278,441 บาท กำไรสุทธิ 5,281,432,649 บาท ปี 2546 มีรายได้ 10,247,408,671 บาท กำไรุสทธิ 9,722,849,006 บาท รวม 3 ปี มีกำไรสุทธิ 17,824,469,481 บาท บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ปี 2544 มีรายได้ 4,276,004,365 บาท กำไรสุทธิ 1,563,148,076 บาท ปี 2545 มีรายได้ 4,281,335,744 บาท กำไรสุทธิ 1,410,520,100 บาท ปี 2546 มีรายได้ 4,052,068,253 บาท กำไรสุทธิ 1,080,287,935 บาท รวม 3 ปี มีกำไรสุทธิ 4,053,956,111 บาท บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ปี 2544 มีรายได้ 931,902,190 บาท ขาดทุนสุทธิ 979,184,891 บาท ปี 2545 มีรายได้ 1,467,142,900 บาท ขาดทุนสุทธิ 770,145,803 บาท ปี 2546 มีรายได้ 1,701,695,229 บาท ขาดทุนสุทธิ 660,440,715 บาท รวม 3 ปีขาดทุนสุทธิ 2,409,771,409 บาท บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ชื่อเดิม โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2546 ขาดทุน 2 ปีประมาณ 166 ล้านบาท เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรากฏว่ามีกำไรสุทธิ เกือบ 300 ล้านบาท ขณะที่ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) แปรสภาพมาจาก บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2546 ขณะนี้ยังไม่มีผลประกอบการ ถ้านำกำไรสุทธิเฉพาะ ชินคอร์ปอเรชั่นส์ ชินแซทเทลไลท์ และ แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) มารวมกันมีกำไรสุทธิ 3 ปี 55,689,062,587 บาท และถ้านำตัวเลขนี้ไปหักลบกับยอดขาดทุนสุทธิในสถานีโทรทัศน์ "ไอทีวี" 3 ปี จำนวน 2,409,771,409 บาท ถึงกระนั้นก็ยังมีกำไรสุทธิ 53,279,291,178 บาทอยู่ดี ไม่เฉพาะในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทนอกตลาดก็ใช่ว่าธรรมดา บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำกำไรมากเป็นอันดับหนึ่ง เฉพาะ ปี 2546 มีรายได้ 63,778,448,799 บาท กำไรสุทธิ 5,195,788,764 บาท บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือ "ชินวัตร เทเลวิช" เดิม ปัจจุบันชื่อ "โมบายฟรอมแอดวานซ์" ปี 2544 มีรายได้ 24,428,305,337 บาท กำไรสุทธิ 2,646,266,709 บาท ปี 2545 มีรายได้ 33,086,637,320 บาท กำไรสุทธิ 3,717,138,782 บาท ปี 2546 มีรายได้ 39,898,642 บาท กำไรสุทธิ 21,007,793 บาท บริษัท เอสซี แมทช์บอกซ์ จำกัด ขาใหญ่ในวงการโฆษณา ปี 2544 มีรายได้ 1,753,123,427 บาท กำไรสุทธิ 146,926,766 บาท ปี 2545 มีรายได้ 2,161,264,019 บาท กำไรสุทธิ 174,248,743 บาท ปี 2546 มีรายได้ 2,353,220,188 บาท กำไรสุทธิ 129,357,413 บาท รวม 3 ปีกำไรสุทธิ 450,532,922 บาทขาดตัว บริษัท แอดวานซ์ คอนแทค เซ็นเตอร์ จำกัด ให้บริการข้อมูลทางโทรศัพท์, บริษัท แอดวานซ์ ดาต้าเน็ทเวอร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด จำหน่าย ติดตั้งคอมพิวเตอร์ และให้บริการสื่อสารข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ และ บริษัท ดาต้าเน็ทเวอร์ค โซลูชั่นส์ จำกัด ขายปลีกอุปกรณ์โทรคมนาคม ทั้ง 3 แห่งโดยรวมยังมีกำไร บริษัทที่ขาดทุนส่วนใหญ่อยู่ในสายธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ บริษัท เทเลอินโฟ มีเดีย จำกัด, บริษัท ชินวัตร อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด, บริษัท เอดี เวนเจอร์ จำกัด, บริษัท ชินนี่ ดอทคอม จำกัด, บริษัท ชินบอร์ดแบรนด์ อินเตอร์เน็ท (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ล็อกซเลย์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส จำกัด, บริษัท ซี เอส แซทเทลไลท์ โฟน จำกัด ยกเว้น บริษัท ไอ.ที. แอพพลิเคชั่นส์ แอนด์เซอร์วิส จำกัด ทั้งนี้ ไม่รวม กัมพูชาชินวัตร ลาวโทรคมนาคม และ ไอพี สตาร์ ถ้าใครจำได้ "บุญคลี ปลั่งศิริ" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บอกในงานครบรอบ 20 ปี "SHIN FUN FAIR" ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี กลางปีที่แล้วว่า ปัจจุบัน (มิถุนายน 2546) "เอไอเอส" ทำกำไรมากที่สุดของกลุ่ม คือประมาณ 10,000 ล้านบาท ตามมาด้วย "ชินแซทเทลไลท์" กำไรประมาณ 2,000 ล้านบาท รวมกำไรทั้งหมดกว่า 20,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2546 ปรากฏว่า ชินคอร์ปอเรชั่นส์ ชินแซทเทลไลท์ เอไอเอส และ ดิจิตอลโฟน มีรายได้รวมถึง 149,939 ล้านบาท กำไรสุทธิ 34,527 ล้านบาท ไม่รวมผลกำไรใน เอสซี แมทช์บอกซ์ และ ล็อกซเลย์ อินฟอร์เมชั่นฯ คงเห็นแล้วว่าคำพูดของ "บุญคลี" เป็นจริงหรือไม่ ? และถ้าใครยังจำได้ ในงานคิกออฟแคมเปญ เมื่อวันที่อาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2547 พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะใช้เงิน 1 ล้านล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยคนให้หายจน และยังบอกอีกว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปีที่แล้วโต 100 กว่าเปอร์เซ็นต์ อีก 4 ปีข้างหน้าโต 100 เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องธรรมดา หลายคนมองว่าเม็ดเงินที่รัฐใส่ลงไปสู่รากหญ้าในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่หมดไปกับของใช้ไม่จำเป็น เช่น โทรศัพท์มือถือ เพราะฉะนั้น อีก 4 ปีข้างหน้าหากนายกฯ ยังชื่อ "ทักษิณ" อย่าได้แปลกใจ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์อย่าง "ชินคอร์ป" จะโตกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ และอย่าได้แปลกใจที่ ส.ส.ไทยรักไทยจะเดินยิ้มแก้มปริหิ้วซองซีดี "โคแก้จน" ออกมาจากตึกชิน พร้อมๆ กับคำประกาศแบบมั่นจั๊ยมั่นใจของหัวหน้าพรรคว่าจะได้รับเลือกตั้ง 400 เสียง ค่อนข้างอคติ แต่ตัวเลขถูกต้องมั๊ยครับ จากคุณ : Can - [ 14 พ.ย. 47 12:04:03 A:202.5.88.158 X: TicketID:014491 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นความเห็นที่แหลมคมและมีประโยชน์อย่างมากกับสังคมที่คนจน ยังต้องพี่งเศษอาหารจากคนรวยที่เอาเปรียบครับ โกงสารพัดรูปแบบ อย่างไม่ต้องอายฟ้าดินกันแล้ว แต่ผมไม่บอกหรอกนะว่ามันคือใคร บอกใบ้ให้นิดนึงก็ได้ คน ๆนี้หน้าตาไม่เหมือนมนุษย์มนา จะเป็นเหลี่ยม เป็นสัน เหมือนจะบอกว่าข้าไม่ใช่คนดีแน่ ๆ เหอะ เหอะ จากคุณ : ผู้นำกำมะลอ - [ 14 พ.ย. 47 12:05:25 A:24.217.129.80 X: TicketID:076850 ]

ความคิดเห็นที่ 20 2. สำหรับเรื่องค่าแรงขั้นต่ำนั้น เป็นกลไกการต่อรองระหว่าง 3 ฝ่าย (นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ) มาตลอด ไม่เคยสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ในเรื่องการกระจายรายได้ และค่าครองชีพเบื้องต้นได้เลย ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย ที่ผู้ว่าจ้างจะกดค่าแรงขั้นต่ำให้เพิ่มขึ้นน้อยกว่าการขึ้นค่าแรงที่เป็นธรรม โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของการเติบโตของประเทศ (ยกเว้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่การลดของค่าจ้างน้อยกว่าการลดลงของ GDP) ซึ่งก็แน่นอนว่าเจ้าของทรัพย์สินมักเป็นผู้ได้ค่าเช่าเศรษฐกิจ (Rent) ในส่วนนั้น นี่จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลปัจจุบันเน้นการสร้างเถ้าแก่เองมากกว่าการสนับสนุนให้เป็นลูกจ้างครับ จากคุณ : Be HappY MaN - [ 14 พ.ย. 47 10:15:29 ] ข้อความที่กล่าวมานี้ ชี้ให้เห็นว่า คุณ Be HappY MaN ลึกซี้งในเรื่องเศรษฐศาสตร์อย่างยิ่ง รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่ผมเคยติดตามอ่านมาตลอดด้วยครับ การแก้ไขช่วงว่างของเศรษฐกิจระหว่าง คนจน คนรวย โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า "เศรษฐกิจแบ่งปัน" ตามที่ใช้ได้ผลในประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการจัดระบบการเก็บภาษีที่ถูกต้อง ปิดช่องโหว่การเลี่ยงภาษี การว่าจ้างด้วยค่าแรงที่เป็นธรรม+ค่าเติบโตของเศรษฐกิจ โดยให้รัฐบาลเป็นตัวอย่างเริ่มต้น และกำหนดให้เอกชนผู้รับเหมางานของรัฐบาล จ่ายค่าตอบแทนแรงงานให้ถูกต้องสมควร โดยไม่ปล่อยให้นายจ้าง(ผู้รับเหมา)ได้รับผลประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว และระบบนี้จะค่อยๆดูดซึม-กระจายเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ไปโดยปริยาย ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง โดยเฉพาะส่วนที่เป็นสวัสดิการ ความมั่นคงและความสามารถที่จะผลิต "รายได้อนาคต" สำหรับผู้ใช้แรงงานที่เกษียณแล้ว จะเป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนและประเทศชาติ โดยสร้างความมั่นคงกันทีละคน ไทยทำได้ครับ หากจะทำกันจริงๆ ปัจจัยเรามี จากคุณ : OLD THAI - [ 14 พ.ย. 47 12:11:49 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ก็ใครเสียหละ ถ้าไม่ใช่น้าแม้ว การเป็นรัททะบานนั้นไม่จำเป็นต้องได้ 400 เสียงหรอกครับ แค่ไม่เกิน 300 เสียงก็สามารถตั้งรัททะบานได้อย่างมั่นคงแล้วแต่ที่ต้องการ 400 เสียง ขึ้นไปเพื่อที่ฝ่ายค้านจะได้ไม่สามารถทำการตรวจสอบการทำงานของรัททะบานตั้งแต่รัททะมนตี ยันนาย ก ก็จะทำให้การบริหารประเทศโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือทุจริตเชิงนโยบายเป็นไปอย่างสะดวกคล่องปากคล่องคอ ถ้าต้องการเป็นรัททะบานอย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีผลประโยชน์อย่างอื่นแอบแฝงอยู่แล้ว ก็คงไม่ดิ้นรนที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ 400 เสียงหรอก จากคุณ : ฉลาดแกมโกง โง่แกมหยิ่ง - [ 14 พ.ย. 47 12:29:43 A:202.133.166.174 X: TicketID:075290 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ Can ครับ ตัวเลขในบทความมันถูกต้องครับ แต่มันบอกอะไรไม่ได้มากกว่าเศรษฐกิจโดยรวมใน 3-4 ปีให้หลังนี้มันดีขึ้นน่ะครับ ผมขอยกตัวอย่างรายได้และกำไรของธุรกิจอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์ให้ดูบ้างแล้วกันนะครับ เริ่มจากธุรกิจกลุ่มโทรคมนาคมเหมือนกันอย่าง UCOM ปี 2544 รายได้ 17,621.57 ล้านบาท กำไร 1,650.32  ล้านบาท ปี 2545 รายได้ 18,446.26 ล้านบาท กำไร 350.17 ล้านบาท ปี 2546 รายได้ 23,345.47 ล้านบาท กำไร 1,186.07  ล้านบาท รวม 3 ปี รายได้ประมาณ 59,413 ล้านบาท กำไร 3,186 ล้านบาท หรือธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจก่อสร้าง ยกตัวอย่าง ปูนซีเมนต์ไทย ปี 2544 รายได้ 125,440.38 ล้านบาท กำไร 7,634.17 ล้านบาท ปี 2545 รายได้ 135,749.08 ล้านบาท กำไร 14,603.72 ล้านบาท ปี 2546 รายได้ 157,608.26 ล้านบาท กำไร 19,954.12 ล้านบาท รวม 3 ปี รายได้ประมาณ 276,958 ล้านบาท กำไร 19,052ล้านบาท (แต่เฉพาะปี 47 เพียง 9 เดือนแรกกำไร 27,085.75  ล้านบาท) หรือธุรกิจธนาคารอย่างกสิกรไทย ซึ่งหลายกระแสว่าไม่ถูกกับรัฐบาลชุดนี้ ปี 2544 รายได้ 47,180.75 ล้านบาท กำไร 1,008.45 ล้านบาท ปี 2545 รายได้ 43,903.91 ล้านบาท กำไร 6,684.38 ล้านบาท ปี 2546 รายได้ 46,478.37 ล้านบาท กำไร 14,813.94 ล้านบาท รวม 3 ปี รายได้ประมาณ 95,162 ล้านบาท กำไร 22,506ล้านบาท แค่ 3 บริษัทนี่ กำไร 3 ปีรวมกันก็ 4 หมื่นกว่าล้านบาทแล้วเหมือนกันครับ ดังนั้นผมว่ามันแล้วแต่จะยกข้อมูลแบบไหนมาพูดนะ ...ด้วยความปรารถนาดี แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 47 13:04:44 จากคุณ : Be HappY MaN - [ 14 พ.ย. 47 12:55:06 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ของคุณครับ ตังเลขช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน ที่ว่าดีขึ้น ( 25 % ตามโฆษณา งานรากหญ้า) ผมยังไม่ค่อยมั่นใจ เค้าคิดจากฐานใหน แต่ฟังแล้วปลื้มมาก แต่ล้วงในกระเป๋า เราก็ยังเป็นหนี้อยู่ จริงๆแล้ว รากหญ้ารวยเท่าเดิม แต่ ส่วนบน รวยน้อยลงหรือไม่ ถ้าพูดว่า "จน" มันห่อเหี่ยว ลองมองในแล่มุม "รวย" ดีมั๊ย อิ อิ จากคุณ : Can - [ 14 พ.ย. 47 13:14:31 A:202.5.88.146 X: TicketID:014491 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ Can เถียงด้วยข้อมูลอย่าเอาตัวเองมาวัด เถียงแบบเอาสีข้างเข้าถู ต้องไปพิจารณาตัวเองว่าทำมาหากินอะไร อย่าใช้คำว่าเรา ไม่อยากอวดแต่มันเป็นจริง เงินในกระเป๋าผมคล่องกว่าเดิมเยอะเลย ไม่มีรายได้เลยภายใน10เดือนมีเงินสดใช้อย่างสบาย ทรัพย์สินที่งอกเงยไม่คิดนะ ไปทำมาหากินซะมีช่องทางเปิดกว้างมากมาย จากคุณ : เดชา - [ 14 พ.ย. 47 13:36:10 A:203.113.51.4 X:203.150.217.116 TicketID:006580 ]

ความคิดเห็นที่ 25 หึ หึ คุณเดชารวยขึ้นก็ดีใจด้วย แต่"เรา" ในที่นี้ หมายถึงผม และอาจอีกหลายคน ไม่รวมคุณเดชาครับ เพราะไม่ทราบว่า คุณเดชามาจากใหน คงไม่บังอาจเรียกคุณเดชาว่าเป็น "เรา" นี่ไม่ใช่การเถียง แต่เป็นการสนทนาอย่างคนดีๆเขาคุยกัน ถ้าเถียงต้องไปที่ตลาดสดครับ คุณเดชา ถ้าจะคุยเรื่องทำมาหากิน คุณเดชาแน่ใจนะว่ารวยกว่าผม...อิ อิ ช่วยโชว์บัญชีทรัพย์สินมาหน่อยครับ จะได้เทียบเคียง จากคุณ : Can - [ 14 พ.ย. 47 13:57:56 A:202.5.88.147 X: TicketID:014491 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เอารายการเดียวพอนะ ที่ดินติดศูนย์ราชการ 40 กว่าไร่ จากคุณ : เดชา - [ 14 พ.ย. 47 14:31:09 A:203.113.51.4 X:203.150.217.116 TicketID:006580 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอดูมั่งสักหนึ่งรายการนะครับ คุณcan ดูสิจะสู้คุณเดชาได้ไหม จากคุณ : paiskater - [ 14 พ.ย. 47 14:45:04 A:202.183.157.6 X: TicketID:079114 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ คิ่น ควรมาตอบ ข้อโต้แย้งของคุณ Be HappY MaN ครับ จากข้อมูลของคุณ Be HappY MaN แสดงให้เห็นว่า การกระจายรายได้ในรัฐบาลทักษิณ ดีกว่ารัฐบาลนายชวน ครับ จากคุณ : Athit - [ 14 พ.ย. 47 14:59:57 A:203.113.34.12 X:203.150.217.113 TicketID:001723 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ คิ่น คคห ที่ 8 เช่นกัน เราก็อยากให้ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ รัฐบาล เปิดใจรับฟัง ความคิดเห็นของ อีกฝ่ายบ้างครับ ไม่ใช่ปิดหูปิดตารับข้อมูลเพียงด้านเดียว จากคุณ : Athit - [ 14 พ.ย. 47 15:04:01 A:203.113.34.12 X:203.150.217.114 TicketID:001723 ]

ความคิดเห็นที่ 30 สมัยนายชวนที่รักของคุณเมืองคิ่นสูญซวย เด็กตัวเล็กๆเดินยากันทั่วทุกหัวระแหง ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ยาเสพย์ สังคมไม่เสื่อมเลยใช่ไหม? อนาคตเด็กไทนคืออะไร? หิหิหิหิ อย่าไปเกิดใหม่เลยนะเอ็ง 5555 จากคุณ : ไทยๆไม่ใช่พระ (chatmar) - [ 14 พ.ย. 47 16:42:26 ]

ความคิดเห็นที่ 31 รายการเดียว ผมมีนา 120 ไร่ พอกินแล้ว อิ อิ พอดีตอนออกโฉนดต้องแบ่งเป็นสองใบ ไม่น่าเกลียด อย่าลืมตอบผมด้วยนะครับ ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยดีขึ้น 25 % ตามโฆษณาช่อง 9 เอามาจากใหน จากคุณ : Can - [ 14 พ.ย. 47 17:14:53 A:202.5.88.128 X: TicketID:014491 ]

ความคิดเห็นที่ 32 สวัสดีครับ ทุกๆ ท่าน (โดยเฉพาะคุณ Be HappY MaN คคห 11) ถ้าถามผมว่า รู้สึกอย่างไรกับตัวเลขที่เห็นใน คคห 11 ผมก็คงต้องตอบว่า สวยดี น่าคัดสรรเอาไปแทง 3 ตัว งวดหน้านี้ จังเลย 55555 เรื่องตัวเลขนี่ เถียงกัน 3 วัน 7 คืน ก็คงไม่จบ ถ้าต่างคนต่างขุดออกมาแย้งกัน พูดง่ายๆ ตัวเลขที่บอกว่า ทรัพย์สินของนายก คล้องจองกับดัชนีตลาดหุ้น อะไรนั่น ถ้างั้น ค่าแรงขั้นต่ำของผู้ใช้แรงงาน ไม่ต้องเอาดัชนี หรือผลประกอบการ บ.มหาชน มาอ้าง เอาแค่การเติบโตของ GDP ของประเทศ ก็แล้วกัน มันสมน้ำสมเนื้อกันหรือเปล่า? ก็เปล่า อยู่ดี... และถ้าจะเอาเรื่องไตรภาคีอะไรมาอ้าง รัฐบาลจะทำอย่างไรก็ได้อยู่แล้ว นี่ครับ ถ้าเห็นว่าผู้ใช้แรงงานควรได้ค่าแรงเพิ่ม และเห็นว่าผู้ประกอบการได้เยอะแยะ กว่าคนงาน ก็ออกเสียงให้ผู้ใช้แรงงานได้ไป มันก็หมดเรื่อง แต่นี่ ทำหรือเปล่า?? คำตอบมันฟ้องอยู่แล้วครับ ว่าได้มาบาทเดียว กี่ปีมาแล้ว.....??? ปัญหามันไม่ใช่อยู่ที่ตัวเลขครับ มันเป็นที่สังคม โปรดอ่านกระทู้อีกทีสิครับ... 55555 จากคุณ : Me (คนเมืองคิ่น) - [ 14 พ.ย. 47 17:22:28 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เอางี้คุณคิ่นครับ นายก..รวยขึ้นมากเพราะใช้สมองและเป็นไปตาม การเติบโตของตลาด ( คิดว่าจะเป็นตัวกำหนด จีดีพี อย่างมีนัยยะสำคัญ) ผู้ใช้แรงงานขึ้น บาทดียว เพราะเป็นไปตามหลัก ไตรภาคี แต่จริงๆ ไตรภาคี ถ้ารัฐบาลจับมือผู้ใช้แรงงาน ผู้ผลิตหรือนายจ้าง ก็ต้องยอมอยู่ดี .....แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น จากคุณ : Can - [ 14 พ.ย. 47 18:50:18 A:202.5.88.135 X: TicketID:014491 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ความจริง ค่าแรงขั้นต่ำ เป็นแค่ หลักการอ้างอิง เพื่อกำหนดกรอบให้ผู้ประกอบการ เท่านั้น แต่ความเป็นจริง ของค่าแรง จริง ก็อีกอย่างหนึ่งครับ เช่น แรงงานก่อสร้าง ปัจจุบัน ถ้าเป็นแรงงานมีฝือมือหน่อย ค่าแรง 300 ขึ้นไป แต่ถ้าไร้ฝีมือหน่อย ก็ 200 ขึ้น ถ้าเป็นลูกจ้างนอกระบบ เช่นลูกจ้าง ตามอู่รถ ร้านอาหาร โดยเฉลี่ย ไม่ต่ำกว่า 200 อยู่แล้วครับ โดยสรุปคือค่างแรงจริงส่วนใหญ่เกินกว่า ค่าจ้างขั้นต่ำครับ จากคุณ : Athit - [ 14 พ.ย. 47 19:06:33 A:203.113.35.13 X:203.150.217.116 TicketID:001723 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อย่างที่ให้ความเห็นไปแล้วใน คคห. ที่ 11 น่ะครับ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด แต่รัฐบาลนี้ส่งสัญญาณชัดมากเรื่องส่งเสริมให้แรงงานออกมาเป็นผู้ประกอบการเอง หรือกลับไปลงทุนกับกองทุนหมู่บ้าน แทนที่จะเป็นเพียงแรงงานขั้นต่ำหรือกรรมกร ดังนั้นการไม่ปรับค่าจ้างขั้นต่ำมากนักในระยะที่ผ่านมา นอกจากเรื่องการใช้กำลังการผลิตที่ยังไม่เต็มที่มากนัก (จากการลงทุนเกินขนาดเมื่อก่อนการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ) ก็น่าจะเป็นไปตามสัญญาณที่รัฐบาลต้องการส่งนี่ด้วย และเนื่องจากกระทู้นี้เป็นกระทู้สังคม ก็คงต้องเสริมที่ว่า การส่งเสริมให้เป็นแรงงานรับจ้างขั้นต่ำ ตัวอย่างเช่น กรรมกรก่อสร้าง ซึ่งต้องอพยพครอบครัวไปเรื่อยๆ (และในบางครั้งก็เกิดอาการกลัดมัน ก่อคดีลวนลาม ข่มขืน ก่อนย้ายถิ่นหนี) กับการกระตุ้นให้กลับไปพัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์ตำบล หรือลงทุนผ่านกองทุนหมู่บ้าน มีชุมชนที่เข้มแข็งชัดเจน อันไหนน่าจะลดความเสื่อมทรามของสังคมมากกว่าครับ ...ด้วยความปรารถนาดี จากคุณ : Be HappY MaN - [ 14 พ.ย. 47 19:11:10 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เออ ตอบสรุปง่ายดีเนาะ จากคุณ : tauhoo - [ 14 พ.ย. 47 19:47:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 รัฐบาลนอกจากจะไม่เห็นหัวคนจนแล้ว ยังเปิดกว้างเพื่อรับแรงงานต่างด้าวอย่างไม่มีวันจบสิ้น ทุกวันนี้ยังรับจดทะเบียนคนต่างด้าวอยู่เลยครับ การรับแรงงานต่างด้าวราคาถูกเข้ามานี้มีนัยสำคัญอะไรบ้าง ครับสาวกทุยรักทุยทั้งหลาย ถ้าไม่ใช่เพื่อเถ้าแก่ แรงงาน ราคาถูกมีให้ใช้เหลือเฟือ แต่โฆษณาหลอกรากหญ้าอยู่ทุกวัน พร้อมกับโปรย ข้าวเปลือก ข้าวสุกทีละกำมือให้รากหญ้าวิ่งเข้ามารุมทึ้ง ก็แค่นั้นเองครับ ไม่ใช่สังคมเสื่อมทรามลงเฉย ๆ หรอกครับ ร้อนเป็นไฟ ไปทุกที บางที่ติดไฟลุกพรึบขึ้นมาเลย นี่ยังอวดเท่ห์ต่อ อีก (ยกเว้นเรื่องสี่ร้อยเสียง เห็นเงียบไป - แต่ยังแอบทำ บุญ เอาเคล็ดอีกนะ อยากถามว่าคนอย่างนายหน้าเหลี่ยม จะไปทำบุญตักบาตรเพื่ออะไรครับ) จากคุณ : ยุคโจรครองเมือง - [ 14 พ.ย. 47 20:08:36 A:24.217.129.80 X: TicketID:076850 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สังคมที่เสื่อมทรามเป็นเพราะฝีมือใคร..?.? ตอบ...พรรคการเมืองชาติชั่วที่บริหารประเทศนี้ล้มเหลว ผิดพลาดมาโดยตลอด ทำลายล้างคุณภาพชีวิตคนไทย ระดับล่างให้จมปลักอยู่กับความไม่มี ความขาดแคลน... ต้องหาเช้ากินค่ำ ปากกัดตีนถีบ มาโดยตลอด... (ยกยอปอปั้นแต่พวกเจ้าขุนมูลนาย ไฮโซ นายแบงค์...) ทอดทิ้งคนจนคนยากระดับล่าง ของสังคมไทย...ไม่แยแส นับประสาอะไรจะมีเวลาไปคิดเรื่อง การอบรมสั่งสอนบุตร หลาน พวกนักการเมืองชาติชั่วพวกนั้น บ่อนทำลายสังคมไทย มาต่อเนื่องยาวนาน จากรุ่นหนึ่ง ต่อเนื่องไปอีกรุ่นหนึ่ง วงจรอุบาทว์ชาติชั่วแบบนี้ ไม่มีวันจบสิ้น...ตราบใดที่ พวกมันยังมีโอกาสเข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง... มีทางเดียวต้องตัดวงจรอุบาทว์นี้เสียโดยการไม่ให้มันมี โอกาสเข้ามาบริหารประเทศได้อีก อย่างน้อย 1 ชั่วอายุคน เมื่อถึงตอนนั้น คุณภาพชีวิตคนระดับล่างก็จะดีขึ้นอีกมาก และก็จะผลิตประชากรที่มีคุณภาพรุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทน... จากคุณ : Killer - [ 14 พ.ย. 47 20:13:13 A:203.118.84.214 X: TicketID:066056 ]

ความคิดเห็นที่ 39 โทษตัวเองรึยังก่อนที่ จากคุณ : narok master - [ 14 พ.ย. 47 21:49:58 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เชียร์คุณkiller กะคุณ Be HappY MaN และคุณ Athit ครับ มีเหตุมีผลมากกว่าฝ่ายคุณเมืองคิ่นและคุณcan จากคุณ : เฮ้อ... - [ 14 พ.ย. 47 21:58:13 A:221.128.98.30 X: TicketID:075991 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คุณเมืองคิ่นและคุณแคน อย่ามองคนอื่นด้วยอคติมากนักเลย หัดมองโลกในแง่ดีบ้าง การเอาจุดเสียเล็กๆมาขยายโดยละเลยจุดใหญ่ที่เขาทำดี อย่างนี้เข้าเรียกอิจฉาและใจแคบ พฤติกรรมอย่างนี้เหมือนพรรคการเมืองโบราณที่พูดเก่งแต่ทำงานไม่เป็น ที่เป็นตัวฉุดให้ประเทศเราไม่เจริญมายาวนาน อย่าเรียนแบบสิ่งไม่สร้างสรรต่อชาติ จากคุณ : พรรคกลวงใน (สมาธิ) - [ 15 พ.ย. 47 11:08:59 ]