CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    แฟนสมัคร-ดุสิตคิดตามวันมาอ่านกันเร้ว

    "ตากใบ"ถึงรายการทีวี "คิดตามวัน-ช่อง 9"ผวาไฟใต้ลามไม่เลิก

     เริ่มมีเสียงพูดจาสะพัดไปในวงการหนังสือพิมพ์ว่า บ้านเมืองเริ่มเกิดสภาพ "ย้อนยุค" ไปสู่บรรยากาศคุ้นๆ เครียดๆ ในอดีต

      เปิดหนังสือพิมพ์จะมีการกล่าวถึง นายสมัคร สุนทรเวช กับ นายดุสิต ศิริวรรณ แม้ "ไม่ใช่ข่าวใหญ่โต" แต่ผลที่ตามมาคือความห่วงใยของคนหลายฝ่าย

      ทั้งสองคนจับคู่กันทำรายการสนทนาทางทีวี 2 ช่อง คือ ช่อง 5 และช่อง 9 ช่วงเช้าตรู่และก่อนเที่ยงตามลำดับ

       ทั้งนายสมัครและนายดุสิตโด่งดังมาจากช่วงก่อน 6 ตุลาฯ 2519 และได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลหลังการรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม

      ช่วงหลัง นายสมัครยุติบทบาทในพรรคประชากรไทย ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. และได้รับเลือก และเพิ่งหมดวาระไป

      ส่วนนายดุสิต จัดรายการทางยูบีซี ก่อนจะเข้ามาทำรายการที่ช่อง 5 และช่อง 9

      เมื่อเกิดกรณีไฟใต้ โดยเฉพาะเหตุการณ์สลายม็อบตากใบที่มีผู้เสียชีวิต 85 ศพ และมีผู้วิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขของรัฐบาล และเรียกร้องมิให้ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา

      รายการของนายสมัครและนายดุสิตทำหน้าที่แก้ต่างให้รัฐบาลอย่างดุเดือด

     การกลับมาของนายสมัครและนายดุสิต มีผู้ใช้นาม "ธีร์ ทิวดอย" เขียนทักทายไว้ในคอลัมน์บันเทิงไทย ไทยโพสต์ ตั้งแต่ฉบับ 27 ตุลาคม ว่า

      "...รายการถัดมายิ่งเหนื่อยหนักคือรายการเกี่ยวกับสนทนาการเมือง สมัคร ดุสิต คิดตามวัน คุณดุสิตนี่จัดรายการประเภทนี้ทางยูบีซีไม่รู้ว่าเรตติ้งดีจัด ถึงขยับมาช่อง 9 หรือเปล่า วันก่อนผมดูแล้วสันนิษฐานว่าคนจัดรายการคงจะรู้ตัวเหมือนกัน เพราะออกตัวว่า รายการพูดถึงรัฐบาลด้านดีไม่ได้หรือไง"

      "...ยิ่งวันที่มีข่าวการปฏิวัติในพม่า แล้ว "คุณดุสิต" พูดในรายการว่าทำไมสื่อถึงโจมตีแต่ธุรกิจของนายกฯ ที่เข้าไปทำมาหากินในพม่า มีบริษัทเอกชนอีกมากมายที่เข้าไปทำในพม่าทำไมไม่ขุดคุ้ย ผมฟังแล้วนั่งปลงอนิจจัง เอกชนคนอื่นจะไปคุ้ยทำไมครับ เขาไม่ได้มีอะไรทับซ้อนกับอำนาจรัฐนี้ครับ"

       "   รายการนี้ ช่อง 9 อย่าปลดออกจากผังนะครับ ปล่อยไปเรื่อยๆ จนถึงเลือกตั้ง คนกรุงเทพฯ เสิร์ฟออเดิร์ฟตอนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ให้รัฐบาลได้ชิมไปแล้ว รายการนี้ช่วยเรียกน้ำย่อยคนกรุงเทพฯ ถึงเวลาเลือกตั้งรับรอง "มื้อเย็น" กินกันพุงกางแน่ครับ..."

      ในสื่ออื่นๆ ก็มีเสียงกล่าวขวัญถึงทำนองเดียวกัน

      รายการคิดตามวัน ช่อง 9 วันที่ 17 พฤศจิกายน นายสมัครและนายดุสิตนำเอาคอลัมน์ ใส่สีตีเข่า จาก ข่าวสด ที่เขียนล้อเลียนบุคคลทั้งสองมาอ่านและตอบโต้ในรายการ

       และนำเอาข่าวการสัมภาษณ์ นายอานันท์ ปันยารชุน นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ และข้อเขียนในหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์การแก้ไขปัญหาภาคใต้ขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน

         มีการเรียกร้องให้ผู้ที่ถูกพาดพิงโทรศัพท์เข้ามาในรายการด้วย

       เหตุการณ์ในรายการวันนั้น กลายเป็นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น ไทยโพสต์

       "   ..."สมัคร-จืด" เสี้ยมขวาพิฆาตซ้าย..."



       รายการในวันต่อๆ ยังคงดำเนินไปในลักษณะเดิม

         อย่างเช่น วันที่ 18 พฤศจิกายน เป็นคิวของ นายวิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต

       ก่อนหน้านี้นายวิทยากรให้สัมภาษณ์ว่า เกรงว่ารายการนี้จะสร้างความแตกแยกในสังคม และอาจบานปลายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเหตุการณ์เดือนตุลา

       นายสมัครและนายดุสิตกล่าวว่า ก่อนหน้านี้มันเป็นอย่างไร ที่มันถล่มกันมาตลอด มันตะแบงอยู่เพียงด้านเดียว ตนได้บอกตั้งแต่วันแรกแล้วว่าตนต้องการขอมาถ่วงน้ำหนัก

       ส่วนนายดุสิตก็ดุเดือดไม่แพ้กัน

       "ไอ้คนที่เป็นคณบดีแสดงความเห็นอย่างนี้ ในขณะที่เราทำหน้าที่ตรงนี้ต่อหน้าท่านผู้ชม หากผู้ชมคิดอย่างไรก็แสดงความคิดเห็นมาได้"

       นายดุสิตกล่าวว่าพอเอ่ยถึงทางรัฐบาล ก็กลายเป็นคนของรัฐบาล กลายเป็นเลียรัฐบาล

       "ผมออกรับแทนคน 300-400 คนตาย กับอีก 700 กว่าคนบาดเจ็บ กลายเป็นผมอยู่ขวาอย่างนั้นหรือ แล้วอยู่ดีๆ ไปกำหนดเขาว่าเป็นขวา เป็นซ้าย ผมไม่เคยพูดซักคำ แล้วมันมีหรือซ้าย ขวา มีไหม ก็ถามสิว่าไอ้คนนี้ แต่ก่อนนี้ที่ถือว่าตัวเองเป็นซ้าย แล้วตกลงซ้ายชนะไหม"

       ส่วนนายสมัครกล่าวว่าเดี๋ยวนี้อุตส่าห์ไม่เคยพูดถึงเลย แล้วก็แล้วกันไป อยู่ใน ครม. เป็นฝูง ไม่เคยเอ่ยถึงเลย เจอกันก็แสดงความเคารพ มันอะไรกันหนักหนา

       ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากทำเนียบหรือจากคนที่นายสมัครระบุว่าอยู่กันเป็นฝูง

      นอกจากสื่อต่างๆ ก็มีแต่อาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีท่าทีกังวลในเรื่องนี้



       หนังสือพิมพ์หลายฉบับนำเสนอข่าวความเห็นจากนักวิชาการ โดยรวมคือเกรงว่า จะกลายเป็นการแก้ปัญหาในลักษณะของการดับไฟด้วย "ไฟ"

       นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าปัญหาหนักในตอนนี้คือคนไทยกำลังเกิดกระแสคลั่งชาติ ซึ่งไม่ใช่การรักชาติ และจะนำพาประเทศไปสู่สงครามกลางเมือง ที่นักวิชาการออกมาเรียกร้องเกี่ยวกับปัญหาภาคใต้นั้น เพียงต้องการซักค้านการใช้นโยบายความรุนแรงในการแก้ปัญหาภาคใต้ของรัฐบาล เพราะการไล่ฆ่าคนนั้นไม่เคยแก้ปัญหาได้

      "การที่คุณสมัครออกมาประณามนักวิชาการหรือกรรมการสิทธิมนุษยชนว่าไม่รักชาตินั้นไม่จริง ไม่ใช่เราไม่เห็นใจคนใน 3 จังหวัดภาคใต้ ไม่ใช่เราไปเห็นใจผู้ก่อการร้าย ความจริงแล้วเราเห็นใจมวลชนผู้บริสุทธิ์ แต่เราต้องทำให้ผู้ก่อการร้ายเชื่อใจว่าเราให้โอกาสพวกเขาในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และยังยืนยันว่าการแก้ปัญหาภาคใต้มีเพียงทางเดียวคือใช้สันติวิธี" นายสุธาชัยกล่าว

       นายสุธาชัยยังเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี และ ผอ.องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พิจารณารายการนี้ และรัฐจะต้องเลิกปลุกระดม

       ขณะที่ นายเสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวว่า รู้สึกเศร้าใจที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ถูกด่าว่าขายชาติ ทั้งที่เหตุการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ กระทบต่อฐานะของรัฐบาลและประชาชน เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่หากผิดพลาด ต้องแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา

      ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ กล่าวว่า การตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ทำเพื่อค้นหานโยบายที่ผิดที่ทำให้การปฏิบัติผิดพลาด การพยายามบอกว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ พูดเพื่อประจานบ้านเมือง ไปสนับสนุนฝ่ายก่อการร้าย คือการเบี่ยงประเด็นของกลุ่มที่ต้องการจะมาครอบอำนาจรัฐบาล เป็นการเบี่ยงเบนเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ซึ่งมีการใช้สื่อ ใช้การสนทนาทางรายการวิทยุ โทรทัศน์ นับว่าเป็นอันตรายต่อประเทศโดยส่วนรวม ไม่ใช่แค่กลุ่มที่โดนสาดโคลน

      "การปล่อยให้มีการออกมาสำแดงอะไรหลายๆ อย่าง ผมเดาไม่ถูกว่ามาจากอะไร แต่บรรยากาศนี้คล้ายๆ กับตอน 6 ตุลาฯ คนเหล่านี้คือคนหน้าเก่าๆ เสียงเก่าๆ สำนวนเก่าๆ เสียงประณามที่ว่าขายชาติ อยากถามว่าใครกันแน่ เพราะการขายชาติกับการทำลายชาติจากภายในมันต่างกัน" นายเสน่ห์ระบุ

      ส่วน น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสกล่าวว่า ปัญหาภาคใต้เป็นวิกฤตที่ยากต่อการแก้ไข คนไทยกำลังตื่นตัวว่าควรต้องดำเนินการอย่างไร ดังนั้นทุกฝ่าย ทั้งตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่รัฐบาล และประชาชน ควรหันมาคุยกันเพื่อลดความรุนแรง และสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อหยุดยั้งการเข่นฆ่า โดยให้พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่โนคิลลิ่ง หรือไม่มีการเข่นฆ่า

       "   ผู้ก่อการร้ายถือเป็นผู้โหดเหี้ยม ผู้บริสุทธิ์ เหมือนเชื้อโรคเซลล์มะเร็ง ที่เกิดขึ้นในร่างกายและลุกลามขึ้นทุกวัน แก้ได้ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างความเข้าใจ เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งนั้น เราควรถือวิกฤตนี้นำมาเป็นโอกาสที่ปรับเปลี่ยนให้ทัศนคติ มุมมองไปในทางที่ดีขึ้น"

       นั่นคือความเห็นจากนักวิชาการที่ห่วงใยสังคมและพยายามเตือนสติ

       แต่จะได้ผลหรือไม่ ยังเป็นที่สงสัย

    http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0423261147&srcday=2004/11/26&search=no

    จากคุณ : ป๋าค๊ะป๋าขา - [ 1 ธ.ค. 47 20:37:47 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป