CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ยกฟ้อง"น.ต.ประสงค์"คดีหมิ่นศาลรธน.

    ข่าวจาก คม ชัด ลึก

    ศาลอาญา พิพากษายกฟ้อง"น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ" อดีตคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า คดีหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ

    เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ศาลอาญามีคำพิพากษาคดีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นโจทก์ฟ้อง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตคอลัมนิสต์แนวหน้า เป็นจำเลยที่ 1,นายจิระพงศ์ เติมเปี่ยม บรรณาธิการผู้พิพม์ผู้โฆษณาหนัง สือพิมพแนวหน้า จำเลยที่ 2,บริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด โดยนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท จำเลยที่ 3,นางผานิต พูนศิริวงศ์ จำเลยที่ 4,และนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ กรรม การบริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้า จำเลยที่ 5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ,ร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา

    โดยการพิจารณาพิพากษาคดี และ ร่วมกันดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า ด้วยการโฆษณา กรณีจำเลยที่1 ได้เขียน และส่งบทความ วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่วินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในคดี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นเป็นรองนายกฯ ว่า จงใจปกปิดการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน

    ศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริง คำเบิกความของพยานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 4 และ 5 เป็นเพียงกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัทจำเลยที่ 3 ซึ่งมิได้เขียนคอลัมน์หรือบทความด้วยตนเอง และไม่ได้มีหน้าที่ประชุมวางแผนหรือนโยบาย ให้จำเลยที่ 1 เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่วินิจฉัยคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำเลยที่ 3,4และ 5 จึงไม่มีความผิดตามฟ้องโจทก์ พิพากษาให้ยกฟ้อง

    สำหรับจำเลยที่ 1และ 2 ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 ส่งบทความให้จำเลยที่ 2 พิจารณาเพื่อตีพิมพ์ ซึ่ง จำเลยที่2 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ของบริษัทจำเลยที่ 3 ซึ่งมีหน้าที่ต้องคอยตรวจสอบ ควบคุมบทความ บทวิเคราะห์ต่างๆ ให้เป็นไปตาม พรบ. การพิมพ์ พศ. 2484 ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฎว่า ข้อความในบทความของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพเท่านั้น ไม่ใช่ข้อความตามลักษณะความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,238 พยานหลักฐานโจทก์ไม่สามารถรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ว่า จำเลยที่ 1,2 กระทำการหมิ่นประมาท โจทก์ พิพากษายกฟ้อง

    แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งในคดีแล้ว เห็นว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เขียนในบทความของจำเลยที่ 1 ได้อ้างถึงการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ซึ่งข้อเท็จจริงผู้เขียนสามารถปรับ หรือใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกันในทางที่สุภาพได้ ศาลจึงเห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นตัวการ ดูหมิ่นคำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พิพากษาให้ลงโทษ จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 198 ให้จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 7,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1เคยเป็นข้าราชการ และนักการเมือง และยังเคยเป็นรมว.ต่างประเทศ ซึ่งเคยทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และจำเลยที่ 2 ก็จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีอาชีพเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา เป็นอาชีพที่สุจริตและมั่นคง จึงสมควรพิจารณาให้ลดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้ รอลงอาญาเป็นเวลาคนละ 1 ปี ส่วนโทษปรับคนละ 7,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระตามคำพิพากษา

    ทนายความของนายปรีชา เฉลิมวณิชย์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมฟ้องในคดีนี้กล่าวว่า แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา หรือเอกสาร แต่ในคำพิพากษา ศาลยังได้วินิจฉัยให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในความผิดฐานดูหมิ่นคำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ก็ถือว่าโจทก์ชนะคดี หลังจากนี้โจทก์จะยื่นอุทธรณ์ โดยขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งหมด ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และจะอุทธรณ์ในประเด็นที่จะขอให้เพิ่มโทษ จำเลย ที่ 1 -2 ในความผิดฐานดูหมิ่น คำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฟังคำพิพากษาครั้งนี้ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานเครือโอเรียลเต็ลมาร์ท กรุ๊ป จำกัด และบุคคลอื่นมาร่วมให้กำลังใจ น.ต.ประสงค์ด้วย

    ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว น.ต.ประสงค์และจำเลยอื่นๆ มีสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาทันที เมื่อศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้อง

    จากคุณ : Haa - [ 2 ธ.ค. 47 12:57:22 A:24.214.198.50 X: TicketID:066742 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป