CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ลองมาอ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันครับ

    คัดลอกมาจากข่าว ไทยโพส


    ศาลยกฟ้อง 7 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากในคดี 'ซุกหุ้น' ฟ้องหมิ่นประมาท

    'ประสงค์-แนวหน้า' แต่ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 7 พันบาท

    ให้รอลงอาญา 1 ปี ฐานความผิดดูหมิ่นคำวินิจฉัยส่วนตัว และส่วนกลางของ 7 ตุลาการ เปิดคำพิพากษาศาลเชื่อ "วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์" เบิกความตามความสัตย์จริง สร้างบรรทัดฐานป้องกันคำวินิจฉัยดับเบิลสแตนดาร์ด เห็นด้วยกับคำเบิกความ "คณิน บุญสุวรรณ" ระบุคำวินิจฉัยศาล รธน.ผูกพันศาล รธน.ด้วย ไม่เช่นนั้นศาล รธน.จะวินิจฉัยข้อกฎหมายตามอำเภอใจ

    เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2547 ศาลออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 โจทก์, นายกระมล ทองธรรมชาติ โจทก์ร่วมที่ 1, นายผัน จันทรปาน ที่ 2, นายศักดิ์ เตชาชาญ ที่ 3, นายปรีชา เฉลิมวณิชย์ ที่ 4, นายอนันต์ เกตุวงศ์ ที่ 5, นายสุจินดา ยงสุนทร ที่ 6 และนายจุมพล ณ สงขลา ที่ 7 ยื่นฟ้อง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำเลยที่ 1, นายจีระพงศ์ เต็มเปี่ยม บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.แนวหน้า ที่ 2, บริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด ที่ 3, นางผานิต พูนศิริวงศ์ ที่ 4 และนายวาริน พูนศิริวงศ์ ที่ 5 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัท ในความผิดร่วมกันฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น โดยการโฆษณาด้วยเอกสาร, ร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา ในการพิจารณาพิพากษาคดี

    ตามฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 45 ระบุความผิดพวกจำเลย สรุปว่า เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 44 เวลากลางวันกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งห้า ร่วมกันดูหมิ่นและหมิ่นประมาท ใส่ความผู้เสียหาย ซึ่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 8 ต่อ 7 เสียง ที่วินิจฉัยชี้ขาดคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบว่า ไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ ม.295 โดยการลงโฆษณาพิมพ์บทความ "คำวินิจฉัยไร้จิตสำนึก" ใน นสพ.แนวหน้า ฉบับลงวันที่ 28 ส.ค. 44 หน้า 3 คอลัมน์ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ซึ่งบทความดังกล่าวจำเลยที่ 1 อ้างว่า เป็นความเห็นของอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเรียกชื่อคดีดังกล่าวว่า คดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

    โดยข้อความระบุว่า "พวกเราในฐานะอาจารย์ มธ.กลุ่มหนึ่ง รู้สึกเศร้าใจ ผิดหวังสะเทือนใจอย่างมากที่พวกคุณพิจารณาวินิจฉัยคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไว้อย่างวิปริต ไร้จิตสำนึก ไร้จริยธรรม มีอคติ..." และข้อความ "พวกเรางง และสมเพชพวกคุณทั้ง 8 คนจริงๆ ว่า คุณโง่หรือแกล้งทำเป็นโง่" และถ้อยคำว่า "ทำไมพวกคุณพร้อมใจกันโง่ในการพิจารณาคดีนี้ มีอะไรมายัดปากพวกคุณใช่ไหม..."

    และข้อความ "บางคนเคยรับราชการเป็นผู้พิพากษา ก่อนตัดสินคดีนี้ ได้เคยไปพูดคุยกับผู้พิพากษาศาลฎีกาท่านหนึ่ง ที่ศาลฎีกา โดยยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินอย่างเห็นได้ชัด แต่อยากจะหาทางออกเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ..." และ "พวกคุณรู้สึกหรือเปล่าว่า นักวิชาการและนักกฎหมายที่มีคุณธรรม ตลอดจนสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เขารังเกียจพวกคุณ ขยะแขยงพวกคุณอย่างมาก โดยเฉพาะศาลฎีกา ที่ประกาศไว้ว่า เขาจะไม่ยอมคบค้าพูดจากับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มาจากศาลฎีกาอีกต่อไป..."

    ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าว ทำให้โจทก์ร่วมทั้งเจ็ด ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงยื่นฟ้องคดีขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย

    ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์-จำเลยเห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นบริษัทของ นสพ.แนวหน้า ที่มีจำเลยที่ 4 และ 5 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัท ซึ่งที่โจทก์ร่วมที่ 4 เบิกความว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิดหมิ่นประมาท โดยได้ร่วมประชุมวางแผนและนโยบายการนำเสนอข่าว บทความของ นสพ.แนวหน้า และนายนพดล เฮงเจริญ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ร่วมที่ 1-3, ที่ 5-6 ได้เบิกความว่าก่อนหน้าลงบทความคดีนี้ นสพ.แนวหน้ายังเคยลงบทความวิพากษ์วิจารณ์การวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญมาก่อนด้วย แสดงว่า จำเลยที่ 4 และ 5 มีส่วนรู้เห็นในการเขียนบทความของจำเลยที่ 1 ด้วย

    ศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 4-5 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัท แต่ไม่ได้เป็นผู้เขียนคอลัมน์ หรือยุ่งเกี่ยวกับการนำเสนอ และไม่น่าจะได้มีส่วนร่วมในการตีพิมพ์บทความ เพราะการพิจารณาตีพิมพ์ข่าว บทความ เป็นอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ที่ต้องรับผิดชอบตรวจสอบ ควบคุม และแก้ไขเนื้อหาข่าว บทความตามคำนิยาม มาตรา 4 ของ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484

    การที่จำเลยที่ 1 เขียนบทความ ก็เป็นความเห็นส่วนตัว ในการวิจารณ์พฤติกรรมการวินิจฉัยคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก วินิจฉัยไว้ทุกแง่มุม จึงไม่มีเหตุผลใด ที่จำเลยที่ 4-5 ต้องร่วมประชุมลงความเห็นสนับสนุนจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ดังนั้นจำเลยที่ 3-5 จึงไม่มีความผิดที่ร่วมกับจำเลยที่ 1

    คดีต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ ศาลเห็นสมควรแยกวินิจฉัยคดีเป็นสองส่วน ส่วนแรก โจทก์ร่วมที่ 1-3 และที่ 5-6 กับพลโทจุล อติเรก ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งในทางคดีพบว่า โจทก์ร่วมและผู้เสียหายไม่ได้มาเบิกความต่อศาลตามที่มีหมายเรียกโดยชอบให้มาเป็นพยาน โดยอ้างเหตุผลติดธุระสำคัญต่างๆ และผู้เสียหายได้อ้างปัญหาเกี่ยวกับสายตาที่กำลังรักษา ไม่สะดวกที่จะมาศาล

    ซึ่งในวันที่ 12 พ.ค. 47 อัยการและทนายโจทก์ร่วมแถลงต่อศาลว่า โจทก์ร่วมไม่ประสงค์มาเบิกความเป็นพยานต่อศาล และขอให้นำคำเบิกความของนายนพดล เฮงเจริญ ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ร่วมทั้งเจ็ด และโจทก์ร่วมที่ 4 กับ ที่ 7 ที่เบิกความไปแล้ว มาวินิจฉัย โดยอ้างว่า คดีนี้เป็นคดีหมิ่นประมาท ศาลสามารถวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้จากข้อความใน นสพ.แนวหน้าได้ว่า เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมหรือไม่

    ศาลเห็นว่า เมื่อโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไม่ยอมมาเบิกความ แต่อ้างที่จะให้ศาลอาศัยคำเบิกความของนายนพดลและโจทก์ร่วมที่ 4-7 จะเป็นการกระทำลับหลังจำเลยที่ 1-2 และทนายจำเลย ที่ไม่มีโอกาสถามค้าน เพื่อกระจายข้อเท็จจริงและทำลายน้ำหนักคำเบิกความของโจทก์ร่วม ซึ่งคดีหมิ่นประมาทถือเป็นความผิดส่วนตัว ซึ่งสภาพความผิดของโจทก์ร่วมแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน หากโจทก์ร่วมแต่ละคนมาเบิกความและตอบข้อซักถามของทนาย ก็อาจจะทำให้คำตอบแตกต่างกันไป ตามความเห็นของโจทก์ร่วมแต่ละคนด้วย

    ซึ่งข้อความตามฟ้องโจทก์ เห็นได้ว่า บางถ้อยคำมีความหมายสองแง่ สามารถแปรความในเจตนารมณ์ของผู้เขียนบทความได้หลายอย่าง ที่ศาลจะรู้ได้เอง ดังนั้น โจทก์ร่วมและผู้เสียหาย ต้องมาเบิกความต่อศาล เพื่ออธิบายถ้อยคำบางคำว่า หมิ่นประมาทอย่างไร

    เมื่อโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไม่ยอมมาเบิกความ ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่า บทความที่ลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้าเป็นข้อความหมิ่นประมาท และดูหมิ่นโดยการโฆษณา โจทก์ร่วมที่ 1-3 และที่ 5-6 กับผู้เสียหายตามที่อ้าง

    ส่วนที่โจทก์อ้างส่งคำให้การคดีนี้ ในชั้นสอบสวนนั้น ศาลเห็นว่า คำให้การเป็นเพียงพยานบอกเล่า ที่ศาลต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เพราะจำเลยที่ 1-2 ได้นำสืบปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่ได้กระทำผิด ดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ร่วมจึงยังรับฟังไม่ได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1-2 กระทำผิดฐานหมิ่นประมาท มาตรา 326, 328 และ 393

    สำหรับการวินิจฉัย กรณีของโจทก์ร่วมที่ 4 และที่ 7 ทางนำสืบโจทก์ร่วมที่ 4 มาเบิกความว่า เมื่ออ่านคอลัมน์แนวหน้าวิเคราะห์ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด ที่อ้างว่าเป็นจดหมายของอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์แล้ว เห็นว่าถ้อยคำและภาษาที่ใช้ตีพิมพ์ข้อความว่า "พวกเราในฐานะอาจารย์ มธ.กลุ่มหนึ่ง รู้สึกเศร้าใจ ผิดหวัง สะเทือนใจอย่างมาก ที่พวกคุณพิจารณาวินิจฉัยคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไว้อย่างวิปริต ไร้จิตสำนึก ไร้จริยธรรม มีอคติ..."

    และข้อความ "พวกเรางง และสมเพชพวกคุณทั้ง 8 คนจริงๆ ว่าคุณโง่หรือแกล้งทำเป็นโง่ เพราะที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีนี้ไม่น้อยกว่า 7 ครั้ง" และถ้อยคำว่า "ทำไมพวกคุณพร้อมใจกันโง่ในการพิจารณาคดีนี้ มีอะไรมายัดปากพวกคุณใช่ไหม..." เป็นบทความที่มุ่งวิจารณ์คำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก โดยใช้ถ้อยคำรุนแรงและหยาบคาย เช่น คำว่า ไร้จิตสำนึก ไร้จริยธรรม สมเพช

    โดยศาลเห็นว่า ถ้อยคำที่ใช้ในบทความตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นข้อความ แสดงความรู้สึกถึงความไม่พอใจ และรุนแรงเท่านั้น เช่นการใช้คำว่า "อะไรมายัดปากคุณใช่ไหม" ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวก็ไม่ใช่เป็นการยืนยันว่าโจทก์ร่วมที่ 4 ได้รับสินบนหรืออามิสสินจ้าง จากผู้ถูกร้องในคดีซุกหุ้น ซึ่งศาลเห็นว่าคำวินิจฉัยส่วนตัวในคดีของโจทก์ร่วมที่ 4 อาจจะมีความเชื่อในความสุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ จำต้องฝืนข้อเท็จจริงบางประการ ลักษณะเช่นนี้ หากพูดว่า มีอะไรมายัดปาก ก็จะมีความหมายทำนองเดียวกันว่า มีอะไรติดคอพูดไม่ออก ดังนั้น คำว่า "โง่หรือมีอะไรมายัดปากพวกคุณหรือ" จึงเป็นเพียงคำไม่สุภาพ ค่อนข้างหยาบคาย แต่ไม่เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ร่วมที่ 4 และดูหมิ่นโดยการโฆษณา ตามมาตรา 326, 328 และ 393

    จากคุณ : Haa - [ 3 ธ.ค. 47 08:17:45 A:24.214.198.50 X: TicketID:066742 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป