ความคิดเห็นที่ 2
แม้โครงสร้างของสังคมไทย จะเป็นสังคมเปิด มีความประณีประณอม และยืดหยุ่นสูงต่อความต่าง ที่มีพื้นฐานจิตวิญญานมาจากโครงสร้างศาสนา แต่โครงสร้างระดับศาสนาส่วนใหญ่(พุทธ) นั้นใช้จัดระเบียบสังคมในระดับจิตสำนึก,จริยธรรมหรือมโนธรรม
ดังนั้นการที่เราจะใช้โครงสร้างพื้นฐานทางศาสนามาจัดระเบียบลงไปในระดับมโนวิญญาน (จิตสำนึกดี) นั้นมันยังเป็นหน่วยระดับปัจเจก,อัตตาระดับปัจเจกแต่กับสภาพทางสังคมปัจจุบันที่รวบรวมความต่าง เอาไว้มากขึ้นซับซ้อนขึ้น ถูกวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์แบบอื่นๆที่มาตามโลกาภิวัฒน์นั้น มาสลายอัตลักษณ์ที่ชัดเจนดั้งเดิมของเราไปความหยาบความซับซ้อนมากขึ้นจน้องอาศัยมาตรการหรือกลไกเครื่องมืออื่นๆมาช่วยย่อยความหยาบลงมาสู่ศาสนา เช่นนิติฯกฎหมายกฎระเบียบมาตรการที่เหมาะสมต่างๆ แต่กรโจมตีทางวัฒนธรรมโดยอาศัยโลกภิวัฒน์ กระแสลมโลกเข้ามาเป็นช่วงๆแบบฤดูมรสุม เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบนิเวสน์หรือรูปแบบปฎิสัมพันธ์กับสังคมโลกที่เปลี่ยนไป
แต่นั้นก็คือส่วนหนึ่งของสัจธรรม"อนัตตา" ความไม่เที่ยง เป็นไปตามกฎธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง ระบบนิเวสน์โลกก็เหมือนกัน ดังนั้นการปรับตัวให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์หรือตัวตนระดับจิตวิญญานดังเดิมของเรานั้นยังเป็นไปตาม"มัชฌิมาทาง" (คนละอย่างกับการกลืนสลายวัฒนธรรม) เพราะเราไม่ได้ไปเปลี่ยนในระดับตัวตนหรือจิตวิญญานวัฒนธรรมดั่งเดิม? แต่เราปรับตัวในระดับปฎิสัมพันธ์ภายนอกให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่
นี่คือผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า เราจะต้องแยกแยะระหว่างตัวตน จิตวิญญานดั้งเดิมของวัฒนธรรมไทยกับการปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมใหม่ให้ชัดเจนให้ได้ก่อน สิ่งไหน?กำลังก้าวล่วง เข้าไปทำลายอัตลักษณ์ดั้งเดิมแบบนั้น เราต้องกำหนดนโยบายในทางป้องกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องปิดตัวเองจนขาดความยืดหยุ่นหรือสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป สุดโต่งแบบนั้นเราก็จะถูกกฎธรรมชาติจำกัดออกไป อย่างไดโนเสาร์ที่ภูมิใจในความใหญ่ ไม่ลดขนาดให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม หรืออะไร?ก็แล้วแต่ที่เป็นเหตุผลหลักของการสูญพันธุ์ แต่เหตุผลใหญ่คือการปรับตัวไม่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
อันนี้ต่างหาก ที่เราจะต้องมาแยกประเด็นหรือหาตัวเองให้ชัดเจนก่อน ? เพื่อกำหนดทิศทางหรือแม่บทที่ถูกต้องเหมาะสม ก่อนที่เราจะลงไปในรายละเอียดของมาตรการต่างๆทางสังคม ที่ผมเน้นตรงนี้เพราะที่แล้วมา เราสเปะสปะตามบุญตามกรรม กระแสอะไร?แรงมาเราก็รับเต็มๆไปยังลูกยังหลาน เพราะเราขาดภูมิคุ้มกันภัยทางจิตวิญญานด้านวัฒฯธรรมจากแม่แบบแม่บทที่เหมาะสม คือตามมีตามกรรม นานๆเข้า โดนฝนโดนพายุ เข้าบ่อย(และเดี๋ยวนี้มันถี่บ่อยและรุนแรงบวกความมีโลกาภิวัฒน์ของมัน) นั้นมันยิ่งกัดกร่อน อัตลักษณ์ จิตวิญญานทางวัฒฯธรรมดั่งเดิม ที่เป็นตัวตนดั่งเดิมของเรา จนเราเป็นสังคมที่หนีตัวเอง
และพอเราหนีตัวเองไปได้ไกลเท่าไหร่ ?ปัญหาสังคมก็ยิ่งมากยิ่งซับซ้อนตามเท่านั้น เพราะเราขาดภูมิคุ้มกันภัยที่เหมาะสมพลังทางสังคม,วัฒนธรรม จิตวิญญาน,ตัวตนที่แท้จริงดั้งเดิมของเราป้องกันหรือดึงดูด,ฉุดเอาไว้ พอเราขาดแม่แบบหรือแม่บททางวัฒน์ธรรมอัตลักษณ์ที่ดีงามดั่งเดิมแบบนั้นด้วยการส่งเสริมหรือสร้างขึ้นให้อัตลักษณ์วัฒนธรรมดั้งเดิมที่ดีงามนั้นชัดเจนขึ้นมีพลังขึ้น
ด้วยมาตรการในอันที่จะสร้างแรงดึงดูดระหว่างอัตตาลักษณ์เดียวกันความมีจิตวิญญานเดียวกัน เป็นแรงดึงดูดระหว่างมวลมหาศาลทางบวก(แรงเดียวกับการสร้างแกแลกซี่ หรือสุริยะจักรวาล) เพื่อต่อต้าน กับการดูดกลืนวัฒนธรรม แบบปรากฏการณ์หลุมดำ ( ภัยมืด )ที่จะเป็นเหตุผลนำไปสู่การสิ้นวัฒนธรรม สิ้นชาติ แม้แต่โลกนี้(กรณีพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงเป็นสงครามโลกครั้งที่สามหรือสี่)และอันเดียวกับสิ่งที่จะทำให้สุริยะจักรวาลหายไป กาแลกซี่หายไป จนจักรวาลหายเข้าไปสู่สภาวะ "บิ๊กแบ๊ง "รอบต่อไปที่เร็วขึ้น???
จากคุณ :
ตอม
- [
8 ธ.ค. 47 10:14:20
A:61.90.55.100 X: TicketID:001922
]
|
|
|