ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องจิตใจเสื่อมลงจนเป็นปัญหาสังคมเห็นชัดอยู่แล้วครับ เพราะการขาดการพัฒนาทางด้านจิตใจ ศีลธรรม ศาสนา.. ส่วนเรื่องความเจริญทางสังคม ถ้าคุณวัดความเจริญที่วัตถุหรือเงินที่คุณมี มันจะไม่ได้หมายถึงสังคมทั้งหมดครับ คนรวยยิ่งรวยขึ้น(เช่น ยิ่งคนจนซื้อมือถือคนรวยยิ่งรวยขึ้น..) คนจนยิ่งจนลง(เช่น ปัญหาหนี้สิน..) ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนมีมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าสังคมทั้งหมดเจริญขึ้น เวลาคุณใช้คำว่า"สังคม" เจริญหรือไม่ คุณต้องอย่ามองเฉพาะส่วน หรือเฉพาะส่วนทีคุณจังหวัดที่คุณอยู่หรือเฉพาะพวกคุณเองเท่านั้น คุณต้องดูไปที่คนทุกระดับของสังคม แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 47 14:21:49 จากคุณ : no.7 (นทร์) - [ 12 ธ.ค. 47 14:20:51 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ครับ ผมก็พยายามดูทุกภาคส่วนของสังคมครับ ผมก็เห็นว่า ทุกภาคส่วนของสังคมดีขึ้น ในเมื่อการเจริญ ขึ้นของสังคม สังคมในทุกๆส่วนก็น่าจะได้รับความเจริญ แน่นอน มันย่อมไม่ได้รับความเจริญที่เท่ากันได้หรอก เพราะความสามารถมันไม่เท่ากันนั่นเอง ส่วนเรื่องคนรวยยิ่งรวยขึ้น (ยิ่งคนจนซื้อมือถือ คนรวยยิ่งรวยขึ้น) ครับ ผมไม่ทราบว่า คนจนนี้ เขามีมาตรฐานการวัดยังไง คนที่สามารถชื้อมือถือ นั่นเขาต้องมีความสามารถที่จะใช้ หนี้ที่เขากำลังก่อ มันขึ้นอยู่กับเขามิใช่หรือ หากเขาเป็น คน(จน) ที่มีคุณภาพสิ่งเหล่านี้คงไม่มีปํญหา ผมว่ามันอยู่ที่คุณภาพของคนนะครับ หรือคุณจะว่าอย่างไง จากคุณ : yut - [ 12 ธ.ค. 47 14:53:18 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าจะมองสังคม ผมคิดว่าต้องมองการอยู่ร่วมกันในสังคม มองถึงความสัมพันธ์กันในสังคม เพราะไม่ใช่ว่าคนอยู่ด้วยกันมากๆ ก็เรียกว่าสังคมได้ มันต้องมีความสัมพันธ์กันในแง่ต่างๆ ความเป็นไปของคนคนหนึ่งในสังคม มีผลกับคนอื่นๆ ในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาด้านสังคมมีร้อยแปดพันเก้า... สังคม โดยตัวมันเองผมเชื่อว่านับวันก็คงเสื่อมลงตามกาลเวลา เพราะสังคมทุกวันนี้ เรายกย่องทุนนิยมเป็นดังพระเจ้า แต่กลับเป็นพระเจ้าที่คอยดึงคนในสังคมให้ต่ำลงทุกวัน สิ่งที่เราทำได้ คงเป็นการอุ้มชูค่านิยมทางด้านจิตใจ ให้ขึ้นมาเทียบเคียงกับคุณค่าในด้านเงินตรา สนับสนุนเรื่องความดี คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และต้องปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัย และอย่าใช้จารีตมากำหนดกรอบของความดี จากคุณ : ridkun - [ 12 ธ.ค. 47 14:53:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 "โลก" ที่คุณเห็น คือสภาพจิตของคุณที่เปิดรับ..ของคุณเท่านั้น "โลก" ที่ผมเห็น ก็เป็นเฉพาะสภาพจิตของผมที่เปิดรับ...ไม่ใช่ของคุณ สภาพจิตดี..เห็นโลกตามความเป็นจริง...ทำสิ่งดี....ได้สิ่งดีตอบสนองเกื้อกูล สภาพจิตเสื่อม...เห็นโลกแบบภาพลวงตา...ทำสิ่งดี/ชั่วคละเคล้า...ได้สิ่งดี/ชั่วคละเคล้า สังคม=โลกในสายตาของเราที่มอง โลกของผู้อื่น สังคมไทยในสายตาของผม มีความอ่อนแอทางจิตใจมากขึ้น เพราะผู้คนตอบสนองความต้องการของตนเองอย่างไม่รั้งยั้งมากขึ้น ผู้คนโกรธเกลียดเคืองขุ่นกันได้ทั้งวันโดยมิรู้ตัวและมิรู้โทษของความโกรธเกลียดเคืองขุ่นนั้น ผู้คนพากันตกอยู่ในอารมณ์ที่เมามันในรูปแบบต่างๆและการกระทำที่สับสนกันมากขึ้น "คนในสังคมเข้าใจสถานะของเงินที่ในอดีตเคยเป็นมาตรวัดของงานและผลของงานกลับไปอย่างตรงกันข้าม" โลกในสังคมปัจจุบัน งาน ไม่ได้นำหน้า เงิน อีกแล้ว เงิน กลายเป็นตัวนำหน้า งาน เมื่อสังคมบูชาเงิน = สังคมกำลังอยู่ในเส้นทางที่ผิดไปจากความเป็นจริงของธรรมชาติ คนรวย - ได้รับการยกย่องโดยไม่พักต้องใคร่ครวญถึงที่มาของความรวยนั้น ความรวย-จึงกลายเป็นความปรารถนาแรกของผู้คน...ไม่ใช่การทำการงานที่ดี มีประโยชน์สุขเอื้อต่อตนเองและผู้อื่น การคอรัปชั่นในทุกรูปแบบจึงเกิดตามกันมาให้เราท่านได้พร่ำบ่น ประเด็นหาเสียงเรื่องการปราบคอรัปชั่นจึงยังคงขายได้ และจะยังคงขายได้ต่อไปเรื่อยๆ การคอรัปชั่นจะไม่หายไปจากสังคม จนกว่าสังคมจะให้งานกลับมานำหน้าเงิน..และจนกว่าสังคมจะประณามและรังเกียจการคอรัปชั่น มากไปกว่าที่จะพูดเพียงคำที่สวยหรู วันนี้ในสายตาผม สังคมเราเสื่อมลง จนผมอดอิจฉาสังคมของประเทศลาวไม่ได้ แล้วสายตาท่านมองสังคมอย่างไร จากคุณ : Fm2651 - [ 12 ธ.ค. 47 15:13:15 A:202.57.177.179 X: TicketID:077768 ]

ความคิดเห็นที่ 5 "ทุกภาคส่วนของสังคม" จขกท หมายถึงส่วนไหนบ้างครับ ? จากคุณ : no.7 (นทร์) - [ 12 ธ.ค. 47 15:24:07 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณ redkun ครับ สังคมเรา เงินต้องไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต ( ไปๆมาผมก็ ชอบโฆษณาชิ้นหนึ่งที่ผ่านมา ) เพราะมันดึงคนให้ต่ำลง อย่างที่ว่าจริงๆ แต่กรอบนี้เราไปกำหนดคนอื่นหรือเปล่า เขาอาจจะมีกรอบของเขาอีกแบบก็ได้ใครจะไปรู้ได้ จากคุณ : yut - [ 12 ธ.ค. 47 15:34:04 ]

ความคิดเห็นที่ 7 1. อาชญากรรมมากขึ้น ง่ายขึ้น หลากหลายขึ้น เข้าใกล้เรายิ่งขึ้น เช่น ขายยาบ้า ฆ่าเพราะขัดผลประโยชน์ 2. คุณค่าทางจิตใจเปลี่ยนจาก "ดี" เป็น "เก่ง" หรือ "รวย" 3. คนขอทาน คนขโมยจากขอทาน มากขึ้น 4. เรารู้สึกว่าไว้ใจใครไม่ได้มากขึ้น อันนี้น่าจะเป็นเครื่องชี้วัดว่าสังคมเสื่อมลง จากคุณ : หัวใจเสรี - [ 12 ธ.ค. 47 15:37:00 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ทุกส่วนของภาคสังคม คงไม่ได้เจาะลึกรายละเอียดมากหรอกครับ ผมจะตีกรอบสังคมเมืองอย่างนี้แล้วกันครับ 1. คนมีรถส่วนตัว (ถือว่ามีรายได้) 2. คนใช้รถประจำทาง (ืถือว่ามีรายได้เช่นกัน) 3. คนที่ไม่ได้ใช้รถประจำทาง (ถือว่าไม่มีรายได้หรือมีรายได้น้อย) ส่วนกรอบในต่างจังหวัดก็คงจะใช้อีกกรอบหนึ่งก็แล้วกัน 1. คนเป็นเจ้าของกิจการ (มีรายได้) 2. คนมีที่ทำกิน (มีรายได้เช่นเดียวกัน) 3. คนไม่มีที่ทำกิน (อาจมีรายได้หรือมีรายได้น้อย) ผมมองจากสายตาและสมองของผมเท่านั้น นะครับ ว่าแต่คุณ มีมาตรฐานการวัดคนจนอย่างไงครับ จากคุณ : yut - [ 12 ธ.ค. 47 15:51:55 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ Fm2651 ครับ สายตาคุณในปัจจุับันอาจมองเห็นเป็นเช่นนั้น แล้วในอดีต เรื่องเหล่านี้ ก็อาจมีหรือเกิดเหมือนเช่นทุกวันนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้ หรือคุณทราบว่าเรื่องในปัจจุบันมิได้มีในอดีต หากสายตา คุณทราบอดี่ต มันต่างกับปัจจุบันอย่างไรครับ จากคุณ : yut - [ 12 ธ.ค. 47 16:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คำว่าสังคมเสื่อม กับสังคมพัฒนาไปแล้ว มันต่างกันตรงไหน เส้นขีดแบ่งนั้นบางเป็นเส้นด้ายทีเดียวล่ะครับ จากคุณ : Cool Popstick - [ 12 ธ.ค. 47 16:13:25 ]

ความคิดเห็นที่ 11 rep 8 หนี้ภาคครัวเรือน การที่ภาครัฐเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านโครงการก่อสร้างและกองทุนขนาดใหญ่ อาทิ โครงการบำเหน็จตกทอด 3.4 หมื่นล้านบาท, กองทุนหมู่บ้านเพิ่มเติม 2.5 หมื่นล้านบาท, ระบบรางขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ 4 แสนล้านบาท และโครงการเมืองใหม่ จ.นครนายก 2.5 แสนล้านบาท ฯลฯ หรือการส่งเสริมให้ประชาชนใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล โดยหนี้สินต่อรายได้ภาคครัวเรือนจากอดีตถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ครัวเรือนจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่มีอัตราการเพิ่มที่ช้ากว่าหนี้สิน ดูจากสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ปี 2546 เพิ่มขึ้นกว่า 60% ของจีดีพี สูงกว่าปี 2545 ที่อยู่ระดับ 55% และ 45% เมื่อปี 2543 จึงเป็นห่วงว่าหากรัฐบาลไม่ลงมาควบคุมดูแลเรื่องนี้จริงจังหนี้สินต่อรายได้ภาคครัวเรือนในปี 2547 อาจเพิ่มขึ้นถึงระดับ 70% ใกล้เคียงกับเกาหลีใต้ที่มีสัดส่วน 97% ธนาคารแห่งประเทศไทย เองก็ยอมรับก่อนหน้านี้ว่า หนี้สินของครัวเรือนนั้น ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงได้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อบุคคลอย่างใกล้ชิด และได้ออกกฎให้สินเชื่อบัตรเครดิตนั้นไม่สามารถคิดดอกเบี้ยได้สูงกว่า 18% รวมทั้งความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มเกณฑ์เงินเดือนขั้นต่ำของผู้ที่มีสิทธิใช้บัตรเครดิตจาก 15,000 บาทต่อเดือนในอนาคต จากปัจจุบันมีรายได้ 10,000 บาทต่อเดือน ก็มีบัตรเครดิตได้ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 47 16:37:06 จากคุณ : no.7 (นทร์) - [ 12 ธ.ค. 47 16:35:15 ]

ความคิดเห็นที่ 12 หนี้สาธารณะ ต.ค.เพิ่มจากเดือนก่อน 4 หมื่นลบ. นางพรรณี สถาวโรดม ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2547 มี 2,984,466 ล้านบาท หรือ 46.23% ของ GDP แบ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,767,479 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 875,474 ล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 341,513 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 42,165.14 ล้านบาท จากคุณ : no.7 (นทร์) - [ 12 ธ.ค. 47 16:37:32 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จขกท ดูตาม rep 11 กับ rep 12 นะครับ เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ที่คุณอ้างถึงตาม rep 8 หรือที่สิ่งคุณเห็นมัน แลกมาด้วยอะไร หากเราไม่ป้องกันเรื่องเหล่านี้ให้ดี มันจะเป็นปัญหาใหญ่มาก คราวนี้ลงไปถึงรากหญ้า ลองคิดถึงความรุนแรงของปัญหาที่จะเกิดขึ้นดูแล้วกันครับ จากคุณ : no.7 (นทร์) - [ 12 ธ.ค. 47 16:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สังคมเจริญไม่เจริญอยู่ที่คนคิดคนตั้งคำถามละครับ ถ้าคุณคิดว่าเจริญแล้ว มันก็เจริญแล้วครับ เพียงแต่มันเป็นความคิดของคุณ ไม่ใช่ของอีกหลายคน ทางที่ดี คุณไปศึกษาวิชาปรัชญาสักนิดดีกว่าครับ ดีกว่ามาตั้งคำถามในที่นี้ จากคุณ : Hypoentropic - [ 12 ธ.ค. 47 16:44:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ no. 7 มาตรฐานการวัดความจนไม่ชัดเจนครับ มองได้แค่ภาพกว้างๆครับ จากคุณ : yut - [ 12 ธ.ค. 47 16:57:20 ]

ความคิดเห็นที่ 16 We are focusing on "richy" not on "duty" นั่น คือ สิ่งที่บิดเบือนไปจากพื้นฐานเดิมในอดีตของสังคม อดีต คนสร้างผลผลิตชนิดหนึ่งมาก มีเหลือ นำไปแลกผลผลิตอีกชนิดหนึ่ง หรือ อยากได้ผลผลิตสักส่วนหนึ่ง ก็ต้องอาสาเอาแรงกายเข้าแลก การแลกกันอย่างที่ว่ามีมากขึ้น จึงมีคนฉลาด บอกว่า ถ้าจะให้สะดวกขึ้น ต้องสร้างสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งขึ้นมาแทนผลผลิตหรือผลงาน ขึ้นมา ก็มีการสร้างเบี้ยหอย และค่อยๆ พัฒนา เป็นเหรียญกษาปณ์ เป็นธนบัตร จนปัจจุบัน มีการพัฒนาเป็นตราสารหนี้ที่ซับซ้อนมากขึ้นๆ เมื่อมีการใช้สัญญลักษณ์นี้แทนผลผลิตและแรงงานคนในสังคมก็ได้รับความสะดวกมากขึ้น เพราะเงินตราสามาถแทนผลผลิตได้ทุกชนิด สามารถแทนแรงงานและขอรับบริการได้ทุกอย่าง ก็เริ่มมีการสะสมเงินตรา ต่อแต่นั้นมาเงินตราก็เริ่มถูกมองเป็นสิ่งที่สำคัญนำหน้าผลผลิตและแรงงาน จวบจนถึงปัจจุบัน มันได้เกิดสภาวะที่เรียกว่า "ผลผลิตไม่มี ผลงานไม่ปรากฎ ...แต่...รวยได้" คนพวกที่ทำได้อย่างนี้ ยกตัวอย่าง เช่น พวกซื้อขายที่ดิน ปั่นหุ้น เก็งกำไร เอาเปรียบแรงงาน รับมรดก มาเฟีย เจ้ามือหวยบ่อน ตลอดจน พวก คอรัปชั่น คนรวยพวกนี้ใช้ชีวิตที่ทำให้คนทำงานจริงสร้างผลผลิตจริงมองแล้วอิจฉา อยากจะร่ำรวยอย่างนั้นบ้าง แต่ในชีวิตจริงไม่มีใครสามารถร่ำรวยได้อย่างทันใจนึก ทันตาเห็น จากการทำงาน จากการสร้างผลผลิตที่ถูกต้อง ด้วยความอยากจะรวย จึงต้องทำในสิ่งที่ในที่สุด สังคมถูกเรียกว่าเสื่อมลง เช่น เอาเปรียบแรงงาน ซื้อหวย เล่นหุ้น ปั่นที่ ขายตัว ปล้นเขากิน โกงเขากิน ใช้กำลังอำนาจข่มขู่คุกคามเขากิน ยิ่งได้เงินตรามามาก ก็ยิ่งทำเรื่องเลวร้ายได้หนักข้อขึ้น และ อาจจะดูดีขึ้น ฯลฯ นี่แหละครับ ที่ผมพยายามทำความเข้าใจว่า ถ้าเราให้เงิน นำหน้า งาน และ ผลผลิต สังคมมันจะเสื่อมทรามลง ในความหมายของผม มันไม่ได้หมายถึงเฉพาะในสังคมยุค ปชป. หรือ ทักษิณ แต่มันก็ควรจะถูก Remark เอาไว้ด้วยมิใช่หรือครับ ว่าในรัฐบาลนี้มันก็ได้มีส่วนกระตุ้นปลุกเร้าให้เกิดกระแสผิดๆ ที่เป็นรากเหง้าที่จะทำให้เกิดความเสื่อมทรามขึ้นมาในสังคม ยกตัวอย่างเช่น นโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งความจริงเป็นเจตนาที่ดี โดยเร่งปล่อยเงินเข้าสู่ภาคประชาชนในรูปแบบต่างๆ แต่ความเร่งรีบ หรือ มีวิสัยทัศน์ในภาคการปกครองมหภาคสั้น จึงทำให้ภาคประชาชนเกิดการใช้เงินอย่างไร้คุณค่า เกิดหนี้สินที่ไม่จำเป็นขึ้นมา เกิดลูกโซ่ของความพยายามแสวงหาเงินตราในทางผิดๆ อื่นตามมา ในทางกลับกัน เรื่องเดียวกันนี้ ผมกลับให้เครดิตพรรค ปชป เพราะผมยังจำวันเวลาหลังจากเราตกอยู่ในยุค IMF ได้ดีว่า พรรค ปชป พยายามชี้นำให้สังคมมหภาคเข้าถึงการปรับพื้นฐาน สำรวจข้อบกพร่องของตัวเอง มีการยิง Spot ทาง TV ให้ผมได้เห็นจนจำได้ แต่การที่รัฐบาลจะตัดสินใจทำงานเรื่องใดแล้วจะให้มันถูกไปเสียทั้งหมด มันย่อมเป็นไปไม่ได้ ปัจเจกบุคคลเราๆท่านๆ ทีเป็นคนไทย ทั้งหลายต้องช่วยตัวเองด้วย ช่วยท่านด้วย ใช่ไหมครับ จากคุณ : Fm2561 - [ 12 ธ.ค. 47 17:48:08 A:203.113.71.169 X:203.150.217.120 TicketID:077768 ]

ความคิดเห็นที่ 17 rep 15 กรรม ก็นโยบายประชานิยม ของรัฐบาลนี่ไงครับ เอาเงินลงไปที่ประชาชนรากหญ้า โดยที่ยังไม่มีการจัดระบบ หรือภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ ทำให้รากหญ้าเหล่านั้นเอาเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่นเอาไปซื้อมือถือ เอาไปซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ หนี้ก็บานออกไป ยืดหนี้กันไปเรื่อยๆครับ จากคุณ : no.7 (นทร์) - [ 12 ธ.ค. 47 18:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมอยากเห็นสังคมของเราโดยปัจเจกบุคคล พยายามเข้าให้ถึง "ระบบเศรษฐกิจพอเพียง" ที่ ล้นกล้าทรงประทานมาให้ "Sufficiency Economy" แม้แต่ชาวต่างชาติยังต้องสนใจ ทำไมเราคนไทย จึงจะไม่พยายามทำความเข้าใจ ถ้าประเทศไทยเราทำ Dual Tract Economy โดยให้ระบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นฐาน สังคมเราจะดีขึ้นอีกมาก ระบบเศรษฐกิจพอเพียง จะไป Solve ปัญหาความเสื่อมของสังคมอันเนื่องมาจากระบบเศรษฐกิจได้แทบทั้งสิ้น จากคุณ : Fm2651 - [ 12 ธ.ค. 47 18:08:57 A:203.113.71.169 X:203.150.217.120 TicketID:077768 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คนรุ่นใหม่เริ่มสับสนระหว่างความรวยกับความดีว่าสิ่งไหนควรจะมาก่อนกัน......ความดีในปัจจุบันถูกตีความว่ากินไม่ได้......แต่ความรวยสามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่สลับร่างของคนไม่ดีให้กลับมาเป็นคนดีศรีสังคมได้ ในปริบตา สังคมไทยวันนี้จึงเริ่มขาดแคลนคนทำความดี คนรุ่นใหม่กำลังละทิ้งวัฒนธรรมการบริโภคแบบเก่า ..วันนี้จึงกินเพราะอยาก ไม่ใช่กินเพราะหิว .วันนี้ความสมดุลระหว่างวัตถุและจิตใจจึงค่อยๆขาดหายไป...... ความรวยในความหมายของวันนี้คือความถูก คือความเก่ง คือหนทางที่จะสลับร่างเป็นคนดี เป็นเทวดายุคใหม่ในสังคมไทย ดังนั้นผมยังขอยืนยันแบบพวกหัวโบราณว่าความเจริญที่มองแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว คือ “เจริญเทียม” ครับ .”เจริญแท้” ควรต้องมองดุลภาพระหว่างการพัฒนาวัตถุและจิตใจไปพร้อมกัน อาจเอียงไปทางด้านวัตถุบ้างแต่อย่างให้ขาดสมดุลมากจนเกินไป และยุทธศาสตร์ที่ผมศรัทธาคือเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริครับ แสดงให้เห็นถึงเครนแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่โหนดึงสายสลิงในส่วนปีกของการพัฒนาวัตถุ จนตึงเอียงไปเพียงด้านเดียวมากจนเกินไป ในขณะที่สายสลิงอีกข้างกลับหย่อนยานคล้ายถูกทิ้งขว้าง สมการของสองปีกนี้เริ่มร่องแร่งไม่สมดุลอย่าเห็นได้ชัด สังคมนักล่าจะเข้ามาคุกคามคุณสภาพชีวิตที่ดีของพวกเราไป พวกเราจะถูกแบ่งซอยออกเป็นช่วงชั้นตามการถือครองเงิน เป็นเสมือนสูตร SML ที่นิยมเรียกกันมากขึ้นในปัจจุบัน .จุดเหล่านี้คือด้านมืดที่น่ากลัวของระบอบใหม่ ควรที่จะต้องสร้างพลังความตระหนักให้เกิดขึ้นในสังคมกันบ้าง จากคุณ : ไทยพันธุ์แท้ - [ 12 ธ.ค. 47 18:45:03 ]

ความคิดเห็นที่ 20 : Hypoentropic คุณบอกให้ไปศึกษาวิชาปรัชญา ......ครับ ผมจบปรัชญาป.ตรีมาครับ คงไม่ต้องบอกให้ผมไปศึกษาวิชาปรัชญานะครับ แล้วคุณจบอะไรมาบ้างครับ คุณสามารถนำมาใช้กับ สังคมประเทศชาติ และตัวคุณเองอย่างไรบ้างครับ ปรัชญาไม่ใช่คำตอบของคำถามของผมหรอกครับ หากมีคำตอบ ก็คงไม่เป็นคำตอบที่แท้จริง หรือคุณจะว่าอย่างไง จากคุณ : yut - [ 12 ธ.ค. 47 19:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ที่ จขกท ว่ามาว่าเจริญ วัดจากตัวไหน วัถตุ ปริมาณ หรือคุณภาพ ที่ผู้เขาพูดน่าจะเรื่องเกี่ยวกับเรื่องทางคุณภาพของสังคม ความเป็นอยู่ในสังคม จิตใจ จากคุณ : 3665 - [ 12 ธ.ค. 47 19:48:37 A:203.113.32.7 X:203.150.217.120 TicketID:013266 ]

ความคิดเห็นที่ 22 หลังยุค IMF ผมแอบชื่นชมกับการที่ชาวบ้านเริ่มทำ เศรษฐกิจพอเพียงระดับชาวบ้าน มีการปลูกพืชหลากหลายในที่จำกัด เลี้ยงสัตว์และจัดสรรที่เก็บกักน้ำเกื้อกูลกัน ผมทึ่งในหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง ที่แต่ละครอบครัวต้องช่วยตัวเองให้ได้ก่อน เหลือแล้วจึงขาย ขายแล้วค่อยเก็บ การที่ต้องช่วยตัวเองให้ได้ มันหมายความรวมไปถึงการที่ต้องประหยัด ขยัน อดออม ใช้ในสิ่งที่ควรใช้ บริโภคตามสมควรและเต็มประสิทธิภาพ เปรียบไปก็เหมือนกินข้าวก็ควรกินให้หมดจานไม่เหลือทิ้งให้สูญเปล่า ดังนั้นก่อนตักจึงต้องพิจารณาตัวเองว่าจะกินแค่ไหน ย้อนไปก็จะทำให้หุงข้าวได้พอดีกับที่จะกิน ไม่เสียข้าวสารเปล่า เพราะข้าวสารแต่ละเม็ดกว่าจะได้มาต้องผ่านกระบวนการและเวลาตั้งมาก กระบวนการเศรษฐกิจพอเพียงของชาวบ้าน ทำให้ผมต้องกลับมาสำรวจตัวเอง ปรับปรุงทรัพยากรและความคิดในการทำงานของตัวเอง และผมได้พบว่า การใช้แนวความคิดในการทำเศรษฐกิจพอเพียงกับตัวเองนั้นถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นชาวนาชาวไร่ ก็สามารถใช้ได้ การทำงานในหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นผมพบว่าเราต้องหักห้ามใจไม่ให้มีความโลภก่องานเร็วเกินสถานะจริงแท้ของงาน ดังนั้นเราจึงต้องเฝ้าใคร่ครวญหาวิธีทำงานให้ได้ในสภาพแวดล้อมของเราเอง ทรัพยากรเท่าที่มีอยู่ต้องหาทางนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สังคมที่แวดล้อมใกล้ชิดอยู่กับการงานที่เดินด้วยระบบเศรษฐกิจพอเพียงจะถูกสกัดกั้นความอยากมีอยากได้ในวัตถุ ลงไปมากมาย เพราะรู้ดีว่าเม็ดเงินที่จะไปแลกซื้อวัตถุแต่ละชิ้นนั้น มันมีค่ามาก ดังนั้นถ้าเหตุผลไม่เพียงพอแล้วก็ไม่สมควรจะซื้อหามา แต่น่าเสียดายที่กระแสนี้ถูกกลบลง ด้วยกระแสของสารพัดบัตรเครดิต , ความสามารถในการก่อหนี้ได้ง่ายๆ ที่รุกคืบเข้าไปถึงชาวบ้านตามชนบท สิ่งที่เห็นคือ บ้านหลังใหม่พร้อมหนี้สินอีก 30 ปี ตามชนบท แทนที่บ้านหลังเก่าที่ไม่มีหนี้สิน รถยนต์ใหม่ป้ายแดงดาวน์น้อยผ่อนนานที่มาคอยเด็ดดึงผลงานจากหยาดเหงื่อรายเดือน แต่ละกิโลเมตรที่รถแล่นไปเกิดค่าใช้จ่ายแฝงฝังที่คนขับไม่เคยจะได้ใส่ใจคำนวณ รถมอร์เตอร์ไซค์ที่วัยรุ่นรบเร้าให้พ่อแม่ดาวน์ให้ 1500 บาท แล้วพอตกค่ำก็ขี่กวนเมือง ผลาญน้ำมันเล่นอย่างไร้สาระ รวมกลุ่มกันก่ออบายมุขจากเล็กน้อยจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ ที่พ่อแม่ต้องมาตามจ่ายค่าโทรฯให้ทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว เดี๋ยวนี้คนเมืองต่างจังหวัด นั่งคุยถามกันว่า เม็ดเงินมันหายไปหมดจากตลาดเพราะอะไร ในเมื่อระดับประเทศเขาบอกว่าเศรษฐกิจดี คำตอบที่ได้ยกตัวอย่างเช่น เม็ดเงินมันหายไปกับคลื่นโทรศัพท์มือถือทุกวินาที หายไปกับน้ำมันที่เกิดจากการใช้รถโดยขาดจุดมุ่งหมายที่ดีพอ มันหายไปกับค่าผ่อนรถ ซึ่งก็คงอำนวยความรวยให้กับทั้งบริษัทบัตรเครดิต และบริษัทรถยนต์ ซึ่งไม่รู้คนไทยเป็นเจ้าของอยูกี่มากน้อย มันหายไปกับค่าผ่อนบ้านที่ต้องจ่ายให้กับ ธนาคาร ซึ่ง ธนาคารก็คงจะต้องไปจ่ายต่อๆ จนถึงต่างชาติ มันหายไปกับที่ต้องไปจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคใน ดิสเคานท์สโตร์ ซึ่งอันที่จริงสินค้าก็ของไทย แต่กำไรต้องบินไปเมืองนอก จากคุณ : Fm2651 - [ 12 ธ.ค. 47 20:01:53 A:203.113.71.168 X:203.150.217.120 TicketID:077768 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คุณ Fm2561 คห.16 คุณกล่าวได้ดีครับ  มีเหตุผล  และเห็นสายพัฒนาการของของคำ "เงิน"  ได้ดีครับ คห.18   "ระบบเศรษฐกิจพอเพียง"   อาจช่วยแก้ปัญหา ความเสื่อม หรือยับยั้งความเสื่อมของสังคมได้ครับ แต่ตัวแปรของสังคมไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจอย่างเดียวนะครับ ความเป็นอยู่ของพลเมืองในประเทศ  และพลเมืองใน สังคมโลก และอื่นๆ ก็เป็นตัวแปรนะครับ และหากคนในสังคมไทยไม่มีชีวิตที่พอเพียง     การใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียงอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้นะครับ ระบบเศรษฐกิจพอเพียง  จะใช้กับคนที่มีพร้อมจะมีชีวิตอย่าง พอเพียง  แต่สังคมไทยดูมันจะกล้ำกึ่ง  ผมเห็นเช่นนี้ครับ   แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 47 20:16:44 จากคุณ : yut - [ 12 ธ.ค. 47 20:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 24 งงว่าคุณ จขกท กำลังใช้อะไรวัดความเจริญของสังคม เงิน การมีหนี้สิน ความพอใจ ฯลฯ อ้อ ป.ตรีผมก็จบ แต่ก็เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาแค่ตัวเดียวเอง มันไม่พอหรอก ผมยังหาอ่านเพิ่มเองเลย ถ้าไม่ได้เรียนสายศิลป์คงได้เรียนไม่กี่ตัวอยู่ดี ปัญหา ก็คือ คนในสังคมปัจจุบันกำลังลืม ความสุขที่ตัวเองเคยมี แต่กำลังหลงเชื่อ ความสุขที่ถูกสร้างภาพขึ้นมาจาก กลุ่มคน ที่เล่นแต่เงินแต่ไม่มีผลผลิตนั่นแหละครับ ผมว่ามันเหมือนกับยาเสพติดเลยล่ะ คำว่าเงิน น่ะ พอคนเราเชื่อ ในสิ่งที่เขาสร้าง เราก็ขวนขวายที่จะมี แม้ว่ามันจะเกินตัวเกินฐานะไปเยอะ ก็ตาม มันก็เลยมีปัญหาหนี้สินต่างๆตามมา ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ได้จำเป็นต้องมี แต่มันมีเพราะความอยากที่ถูกกลุ่มคนบางกลุ่มสร้างขึ้นมาหลอกลวงนั่นเองครับ ผมเคยเห็นชาวบ้านที่ นายก ว่าสุดแสนจะจน รายได้ทั้งปีไม่ถึงหมื่นบาท ไม่มีรถยนต์ ไม่มีทีวี บ้านก็มีไฟฟ้าเข้าแค่หลอดไฟไม่กี่ดวง แต่เขาก็มีกิน มีที่ทำกิน ผมเห็นเขายิ้มได้ทุกวัน แม้จะมีปัญหาจากธรรมชาติบ้าง แต่เขาก็ยิ้มรับ แต่วันนี้มันกลับกัน ผมเห็นชาวบ้านกลุ่มเดิมๆ  พยายามขวนขวายที่จะมี มือถือ ทีวี รถยนต์ กู้เงินกองทุนหมู่บ้านมาเพื่อซื้อ รายได้เดิมๆก็ไม่พอใช้ ต้องขายที่ดินทำกินไป บ้านก็สร้างใหม่ หรูหราขึ้น เงินที่ขายที่ได้ก็เยอะอยู่ แต่ก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ ทุกวันนี้ผมเห็นเขาทำหน้าเครียดว่าจะไม่มีเงินจ่ายหนี้ ที่ดินทำกินก็เหลือไม่มาก เพาะปลูกยังแทบไม่พอกินเองเลย ทุกวันนี้เขาไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าเขาจะสามารถเข้าถึง สิ่งของทันสมัยได้มากขึ้น แต่ทำไมความสุขกลับน้อยลงไม่เห็นเหมือนภาพที่ถูกสร้างมาเลย ว่า ถ้ามี อันนั้น อันนี้แล้วจะมีความสุข สุดท้ายก็ต้องไปลงทะเบียนคนจนกับท่านนายก ........ ความพอเพียงของคนเรา คนไทย มันเคยมี เคยเป็นอยู่ มาตั้งแต่ปู่ย่าตายายนานมาแล้ว แต่มันเริ่มหายไปก็ตั้งแต่ ไอ้ความเจริญแบบวัตถุนิยมเริ่มมาหลอกลวงครอบงำ จนจากรู้สึกว่าพอ กลายเป็นไม่พอ จนต้องจนจริงๆ ผมไม่อยากโทษชาวบ้านที่ร่ำเรียนมาน้อย เลยโดนหลอกลวงได้หลงได้ง่าย ทั้งๆที่เขาก็ผลิตอาหาร ผลิตสินค้าป้อนให้เรามานมนาน แต่ผมจะด่า และเกลียดชัง พวกที่อยู่บนสุดของฐานวัตถุนิยม คือพวกที่คอยสร้างธุรกิจ จากสิ่งที่ไม่มีจริง สิ่งที่จับต้องไม่ได้ มาหลอกลวงให้คนที่รู้น้อยกว่า ได้หลงเชื่องมงายกันมากมาย แต่คนที่ผิดยิ่งกว่าคือรัฐ ที่ไม่ยอมควบคุมดูแล แนะนำชาวบ้านให้ได้รับมือกับความเจริญ(ในแบบคนบางคน) ได้ทันท่วงที จนทุกวันนี้ชาวบ้านจึงกลายเป็นเหยื่อของคนเมืองไปโดยปริยาย คุณลองคิดง่ายๆ คนเท่าเดิม ทรัพยากรเท่าเดิม แต่เงินที่เพิ่มมา มันมาจากไหน??? ถ้าไม่ใช่ไปสูบจากเลือดของคนที่ฉลาดน้อยกว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ความเจริญในความหมายของตะวันตกก็คือสังคมทุน-วัตถุนิยม นั่นเอง ไม่ใช่ผมต่อต้านทุนนิยมสุดขั้วนะ แต่สำหรับคนที่ขาดโอกาส คนที่ได้เรียนมาน้อย มันไม่เป็นธรรมนักหรอกที่เขาจะต้องเข้าสู่กระแส โดยที่ไม่พร้อม เพราะการเข้าสู่ทุนนิยม มันก็มีข้อดีทำให้เรามีโอกาสเข้าถึงสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น เข้าถึงระบบดแลรักษาสุขภาพได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับ การแก่งแย่ง แข่งขัน ปลาใหญ่กินปลาเล็กอย่างไม่มีความปราณี หากพลาดก็ต้องโดนเหยียบ ไม่มีหรอกการช่วยเหลือกัน หรือ win-win solution แบบสมัยก่อน มีแต่ผู้ชนะ-ผู้แพ้  คุณพร้อมที่จะเข้าไปไหม แต่ไม่ว่าพร้อมไม่พร้อม ตอนนี้ไทยเราก็ถูกดึงเข้าไปเต็มตัวแล้ว ขนาดชาวบ้าน รากหญ้า ยังโดนนายก ผลักไสให้เข้าไปสู่สังคมทุนนิยมเลย.... "เงินทองของมายา ข้าวปลาสิของจริง" คำพูดนี้ยังใช้ได้จริงเสมอ รวมถึง คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง ที่ทำให้คนเราพออยู่พอกินได้ ถ้าเราเข้าใจมันจริงๆ แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 47 00:07:02 จากคุณ : ....4จุด - [ 13 ธ.ค. 47 00:02:42 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ....4จุด คุณพูดถึงสิ่งที่อยากให้เป็น อยากหวนกลับไปสู่อดีต ในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถหันกลับไปสู่อดีตได้ อย่างมากเราก็ได้นั่งนึกอย่างมีความสุข และพยายาม ดำรงตนเป็นแบบนั้น แต่ความเป็นจริงโลกเราหมุนตลอด ทุกสิ่งไม่มีคงที่ โลกของกระแสวัตถุก็ชนิดกันครับ ผมว่า เราต้องเรียนรู้สิ่งที่เกิดๆอยู่เสมอครับ เพราะโลก จะมีสิ่งที่เราจะต้องเจอ ต้องแก้เสมอครับ ปัจจุบัน เราไม่สามารถกลับไปเหมือนสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ ได้หรอกครับ เราเพียงทำปัจจุบันของเราให้ดีเท่านั้น จากคุณ : yut - [ 13 ธ.ค. 47 01:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้ แต่เราสามารถเรียนรู้เพื่อเท่าทันได้ ผมว่าการอ้างว่าไหนๆก็เป็นไปแล้วก็ช่างมัน มันขาดความรับผิดชอบไปหน่อยเป็นหน้าที่ของรัฐ และบุคคลชั้นปัญญาชน ที่จะต้องเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมแก้ไข ทำความเข้าใจให้กับคนที่ขาดมากกว่า แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเด็กยุคใหม่ ยังหลงไปกับโฆษณาชวนเชื่อกันเต็มไปหมด อดีตไม่ย้อนคืน แต่มันเหมือนเป็น reference ว่าเราเคยดีได้อย่างนั้นแต่ทำไมเราทำอย่างนั้นบ้างไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม เราปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ แต่ยังทำให้ชาวบ้านมีความสุขจะเป็นไปได้ไหม ถ้าคุณตอบว่าไม่ได้ แสดงว่าคุณหลงในวังวนอุบาทย์ของทุนนิยมเต็มตัวไปแล้วล่ะครับ จากคุณ : ....4จุด - [ 13 ธ.ค. 47 19:25:49 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ที่คุณถามว่า เราปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสังคม สมัยใหม่ แต่ยังทำให้ชาวบ้านมีความสุขจะเป็นไปได้ไหม จริงๆแล้วผมก็ตอบไม่ได้ครับ เพราะอะไรครับ ผมเห็น หลายๆคนที่เขามีความคิดเช่นนี้ ก็เห็นเขาทำไม่ได้ ทั้งๆที่พวกเขามีความสามารถกมาก เก่งมาก ก็ยังทำไม่ได้ ฉะนั้นคำตอบนี้ ถ้าจะตอบก็มีเพียงตัวอักษรเท่านั้น แต่ชีวิตจริงกับความต้องการที่จะให้เป็น ไม่ได้เป็น แนวเีดียวกันเสมอครับ หลายอย่างสวนทางกันเองก็มี หากคุณจะใช้กรอบใดกรอบหนึ่งมาวัดพฤติกรรมของผม แล้วบอกว่าอยู่ในวังวนอุบาทย์ของทุนนิยม ก็อาจจะใช้ แต่คุณไม่สามารถใช้กรอบเดียวไปตัดสินทุกๆสิ่งได้ เพราะแค่คำว่าความสุข คุณก็ใช้กรอบของคุณไปวัดคนอื่นแล้ว ความสุขคนเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่างหรอกครับ เราแตกต่างกันได้ และสัมพันธ์กันด้วยดี นั่นคือความสุขนะผมว่า จากคุณ : yut - [ 13 ธ.ค. 47 23:05:31 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมแก้ข้อความ เพราะนึกได้ว่าเล่นสำบัดสำนวน เพื่อระรานผู้อื่นนะครับ กลับใจแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 47 01:05:52 จากคุณ : Hypoentropic - [ 14 ธ.ค. 47 00:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ  สำหรับความหวังดี ว่าแต่จะให้ผมไปศึกษาปรัชญาของใคร  สำนักไหนละ อย่าบอกให้ไปศึกษาทั้งหมดนะครับ.....ผมไม่มีเวลาขนาดนั้น แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 47 00:38:34 จากคุณ : yut - [ 14 ธ.ค. 47 00:35:18 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ครับ ถ้าเจตนาของคุณเจ้าของกระทู้ คือเพื่อกระตุ้นความคิด ผมก็ขออนุโมทนาครับ เพียงแต่ผมคงจะแก่เกินไปที่จะมาขบปัญหาแบบนี้แล้วครับ ขออภัยด้วยครับ จากคุณ : Hypoentropic - [ 14 ธ.ค. 47 00:58:43 ]