| พอใจมาก (80 คน) |
| ไม่พอใจ (7 คน) |
| เฉยๆ (4 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 91 คน |
นายกฯแถลงผลงานรัฐบาลครบ 4 ปี
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 มกราคม 2548 20:42 น.
ทักษิณใช้สื่อรัฐปราศรัยผลงานรัฐบาลรอบ 4 ปี-ส่งสัญญาณประชาชนเลือก ทรท.พรรคเดียว อ้างเสถียรภาพทางการเมือง
วันนี้ (5 ม.ค.) เมื่อเวลา 17.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้บันทึกเทปโทรทัศน์แถลงผลงาน 4 ปีรัฐบาล ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรัฐมนตรีร่วมฟังด้วยอาทิ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รมว.สาธารณสุข พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์ รมว.กลาโหม และมีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมว.วัฒนธรรม และนายนิกร จำนง รมช.คมนาคม ไม่ได้เข้าร่วมฟังด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า "วันนี้ได้ใช้เวลาของพี่น้องเพื่อจะมากราบขอบคุณพี่น้องประชาชน เนื่องในวันที่ผมถือว่าน่าจะเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของประเทศ วันนี้เป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งเป็นชุดแรก ที่อยู่ครบ 4 ปี และรัฐบาลซึ่งลงคะแนนให้จัดตั้งรัฐบาลจากรัฐสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลชุดที่ 54 ที่สามารถบริหารประเทศให้ครบตามวาระโดยไม่มีการยุบสภา ทั้งนี้ เนื่องจากพี่น้องประชาชนให้โอกาสทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปี การที่ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยได้พัฒนาถึงขนาดนี้ก็ย่อมมีประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในระหว่าง 4 ปีนี้หลายเรื่อง
ท่านคงจำได้ว่า เคยกราบเรียนประชาชนในวันที่รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า ขอเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงและเป็นรัฐบาลที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และ 4 ปีที่ผ่านมาพี่น้องคงจะประจักษ์
ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ประวัติศาสตร์ที่สำคัญเรื่องที่หนึ่งคือ ด้านการเมือง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้ใช้ในการเลือกตั้ง และรัฐบาลนี้ก้เป็นชุดแรกที่ประชาชนเลือกเพียงพรรคเดียว ทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้นายกรัฐมนตรีสามารถใช้ภาวะผู้นำในการทำงานได้อย่างเต็มที่ เปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ หลายอย่างเป็นปัญหาที่คนไทยทั้งประเทศมีความรู้สึกว่าต้องเปลี่ยน ต้องทำ ต้องแก้ แต่ในอดีตทำไม่ได้ แก้ไม่ได้ เพราะความไม่เข้มแข็งไม่มั่นคงทางการเมือง และความไม่ศรัทธาของประชาชน วันนี้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นแปลี่ยนไปมากจึงทำให้เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองเกิดขึ้น
ประวัติศาสตร์ที่สอง คือ ด้านการปกครองเราเคยคิดที่จะปฏิรูประบบราชการนับตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ที่เคยปฏิรูป แต่หลังจากนั้นทำได้น้อยมากเพราะความไม่เข้มแข็งทางการเมือง แต่เมื่อมาถึงรัฐบาลนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราได้มีการปฏิรูปโดยการปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรมครั้งใหญ่ โดยหลักการคือนำหน่วยงานที่มีความคล้ายคลึงกัน เกี่ยวพันกันมารวมกลุ่มด้วยกัน เพื่อการทำงานจะได้ทำในลักษณะองค์รวมมากกว่าการแยกส่วน และเป็นครั้งแรกที่การทำงานของรัฐบาลใช้คำว่ารัฐศาสตร์ การวัดผล ประเมินผลของงาน และเจ้าภาพรับผิดชอบ นอกจากนั้นการวางยุทธศาสตร์ได้เลือกยุทธศาสตร์ที่อาศัยภาคอุปสงค์เป็นหลัก สมัยก่อนมองภาพอุปทานเป็นหลัก คือมีงบประมาณเท่าไรก็ทำเท่านั้น แต่สมัยนี้เราต้องคิดว่าประชาชนมีทุกข์อะไรบ้าง ประเทศต้องแก้ไขอะไรบ้าง มีอะไรบ้าง แล้วเราต้องหาเงินมาให้ได้ เพื่อทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จ ซึ่งจะสามารถทำให้การตอบสนองการแก้ปัญหาของประเทศทำได้ดีกว่า เร็วกว่า ตรงเป้ากว่า และพี่น้องประชาชนได้เห็นผลงานของรัฐบาลมากกว่าวิธีการทำงานแบบเดิมๆ
ประวัติศาสตร์ที่สาม คือ ประวัติศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจ ได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดจากเดิมที่มองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจอาศัยแนวทางเดียว โดยเน้นเรื่องการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศ แต่มาถึงรัฐบาลนี้ก็มองเห็นว่าแนวทางนั้นยังสำคัญอยู่แต่ไม่เพียงพอ จึงเพิ่มแนวทางการมองเศรษฐกิจในประเทศ เพราะเศรษฐกิจในประเทศสามารถขับเคลื่อนการเติบโตของเอกชนได้ และยังมีเศรษฐกิจที่เราให้ความสำคัญน้อยมาก แต่เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก นั่นคือ เศรษฐกิจรากหญ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับพี่น้องคนจน คนชนบท คนที่มีอาชีพเกษตรกร อาชีพหาเช้ากินค่ำ ซึ่งเป็นจำนวนประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่เราใช้พลังของเขาน้อย รัฐบาลจึงให้โอกาสเขาฟื้นขึ้นมา นับตั้งแต่นโยบายการพักหนี้เกษตรกรรายย่อย โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โครงการธนาคารประชาชนเพื่อคนจน หรือการผลิตสินค้า 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถทำรายได้ในช่วง 3 ปีกว่าที่ที่ผ่านมาถึง 1 แสนล้านบาท
สิ่งเหล่านี้เมื่อประกอบกันแล้ว ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเปลี่ยนจากสภาพในวันที่วิกฤต คือวันที่เราเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟ ซึ่งการจากการโครงการดังกล่าวเข้ามาใช้สามารถทำให้ประเทศไทยสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด 2 ปี และมีเงินทุนสำรองมากกว่าที่เรากู้เขามา คือประเทศไทยมีเงินเอาไปฝากมากกว่าที่เราไปกู้มา เป็นประเทศที่ให้เขากู้แล้ว
ส่วนประวัติศาสตร์ที่สี่ คือ ด้านสังคม ในเรื่องการดูแลสุขภาพคนไทย เมื่อก่อนที่เราเคยมองคนจนเป็นเพียงผู้ป่วยอนาถา บัดนี้ ปัญหาสุขภาพถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่คนไทยจะได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกัน คือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่เปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนเข้าถึงสาธารณสุขการแพทย์อย่างเต็มที่ และเรื่องยาเสพติด ก่อนที่รัฐบาลนี้เข้ามาแทบจะทุกครอบครัวในเมืองมีความเจ็บช้ำในเรื่องของยาเสพติด ห่วงใยลูกหลานเพราะยาเสพติดในขณะนั้นหาซื้อง่ายพอๆ กับหมากฝรั่ง แต่วันนี้ยาเสพติดหายไปแล้ว โดยการปรับนโยบายคือเปลี่ยนจากเดิมที่มองว่าผู้เสพเป็นอาชญากรต้องได้รับการลงโทษ แต่วันนี้เราถือว่าผู้เสพเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดดูแลรักษา เราสามารถบำบัดรักษาผู้เสพยา และส่งกลับคืนอ้อมอกพ่อแม่ได้หลายแสนคน และวันนี้เราได้เน้นนโยบายจัดการกับผู้ค้า โดยใช้ความเข้มข้นในการปราบปรามรวมถึงการยึดทรัพย์ด้วย ทำให้ผู้ค้าหดหาย เสียชีวิต หรือถูกจับกุมไปซึ่งวันนี้สถานการณ์ยาเสพติดของเราเหลือน้อยมากอยู่ในระดับที่ดูแล จัดการได้ และจะดูแลต่อไป
ประวัติศาสตร์อีกด้าน คือ เรื่องการดูแลผู้มีอิทธิพล โดยเฉพาะผู้ค้าหวยใต้ดิน ในอดีตหวยใต้ดินทำกำไรให้กับผู้ค้าหวยเป็นจำนวนมาก และคนเหล่านี้ก็เป็นผู้มีอิทธิพล ไม่ว่าจะมีอิทธิพลต่อระดับราชการ การเมืองท้องถิ่น หรือการเมืองระดับชาติ เมื่อคนไทยยังไม่ยอมเลิกเล่นหวย โดยเฉพาะคนจน ก็ต้องหาทางว่าทำอย่างไรถึงจะให้อิทธิพลเหล่านี้หายไป จึงเอาหวยใต้ดินมาอยู่บนดิน โดยมีความมุ่งมั่นว่ากำไรแม้แต่บาทเดียวรัฐบาลก็จะไม่เอา เพียงแต่ไม่ต้องการให้กำไรเหล่านี้ไปทำลายระบบราชการ ระบบการเมือง หรือไปรังแกพี่น้องประชาชน ซึ่งมีกำไรปีหนึ่งถึง 1 หมื่นล้านบาท โดยกำไรเหล่านี้รัฐบาลได้ให้คนจนหมด ทางการให้ทุนการศึกษาให้กับเด็กยากจนในชนบทถึง 4 แสนทุน บางคนไม่เคยเข้ามาแม้กระทั่งกรุงเทพฯ แต่ได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อในต่างประเทศ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นใน 4 ปีที่เข้มแข็งของรัฐบาล ที่ประชาชนเป็นคนกำหนด
ประวัติศาสตร์ด้านสังคมอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องที่อยู่อาศัยที่คนจนไม่เคยฝันว่าในชีวิตจะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพราะไกลเกินเอื้อม เพราะไม่สามารถสะสมเงินดาวน์บ้านได้ รัฐบาลจึงใช้ระบบอุดหนุนสร้างบ้านเอื้ออาทรเพื่อให้คนจนชำระเดือนละ 1,500 บาท ก็จะได้บ้านและโฉนดที่ดินเป็นของตนเอง ส่วนสลัมทั้งหลายได้ถูกพัฒนามาเป็นบ้านมั่นคง ซึ่งขณะนี้พัฒนาไปแล้วหลายหมื่นหลัง และเป็นบ้านที่พ่อแม่ลูกได้อยู่กันอย่างมีความสุข
ประวัติศาสตร์ด้านของการต่างประเทศนั้น ก็เป็นอีกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่เราได้ผันตัวเองจากประเทศที่ขอรับความช่วยเหลือจากคนอื่น เป็นประเทศที่ไม่รับการช่วยเหลือกทางการเงินจากใคร แต่สามารถช่วยเหลือประเทศที่มีระดับการพัฒนาน้อยกว่าซึ่งยังลำบากอยู่ นอกจากนั้น ยังทำงานด้านการต่างประเทศในเชิงรุก จากการเป็นเพียงผู้นั่งร่วมประชุม กลับเป็นผู้ที่เสนอความคิดริเริ่มหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อภูมิภาค อาทิ เอเชีย คอร์เปอร์เรชั่น ไดอะล็อก คือความร่วมมือทางเอเชียซึ่งทำให้ประเทศในเอเชียได้มาร่วมกันทำงานอย่างใกล้แท้จริง และในที่สุดมีประเทศสมาชิกถึง 25 ประเทศ ซึ่งมีมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศเกินครึ่งของเงินสำรองระหว่างประเทศของโลก มีจำนวนประชากรเกินครึ่งหนึ่งของประชากรโลก ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีความเข้มแข็งมากๆ
นอกจากนั้น ยังมีความริเริ่มเกี่ยวกับเรื่องการออกพันธบัตรเอเชีย หรือเอเชียบอนด์ และจะมีการพัฒนาตลาดพันธบัตรนี้ขึ้น และยังมีเรื่องของเขตการค้าเสรีระหว่างทวิภาคี และพหุภาคี โดยจะนำมาซึ่งตลาดเพื่อสินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรมของไทยที่จะบุกเข้าไปอีกหลายที่
ส่วนประวัติศาสตร์ที่เป็นอุปสรรคในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคที่มีเข้ามามากและใหญ่โตป็นเวลาอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งเหล่านั้นก็ผ่านพ้นมาได้เพราะพี่น้องคนไทยให้ความร่วมมือร่วมใจ และยึดเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถล่มเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจ และการก่อการร้าย นอกจากนั้นยังมีเรื่องของโรคระบาดซาร์ส ไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นถึงสองครั้งในประเทศไทย แม้กระทั่งเรื่องของราคาน้ำมันที่ขึ้นมาสูงเป็นประวัติการณ์ เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดจากผู้ที่เป็นทั้งมิจฉาชีพ และประสงค์จะแยกดินแดนทั้งหลายรวมหัวกันสร้างปัญหาขึ้นในภาคใต้ แต่เราเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้จะดูแลได้
และเรื่องสุดท้ายคือ เรื่องของคลื่นยักษ์สึนามิถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ แต่ด้วยพลังของพี่น้องประชาชน ภาคเอกชน มูลนิธิ และทุกฝ่ายร่วมมือกัน สมดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรัสว่าคนไทยไม่เคยทิ้งกัน จึงทำให้การแก้ปัญหาที่ถือว่ายิ่งใหญ่มากได้ผ่านพ้นไป และถือว่าประเทศไทยได้ดูแลเรื่องนี้ค่อนข้างจะดีมากถ้าเปรียบเทียบกับหลายประเทศ ตนไปทำงานเหนื่อยไปแต่ก็ภูมิใจไปด้วยว่าพี่น้องคนไทยเราไม่ทิ้งกันจริงๆ แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงลืมได้เพราะการเมืองเข้มแข็ง พี่น้องประชาชนให้โอกาส และคนไทยรักกัน ทำให้ผ่านไปได้เรียบร้อย
4 ปีแห่งการร่วมสร้างประวัติศาสตร์ ยังผลให้เกิดความมั่นคงในชีวิตของคนไทย โดยทำให้คนไทยได้รับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตครบ นั่นคือปัจจัย 4 เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าประวัติศาสตร์ที่พี่น้องประชาชนได้ให้การเข้มแข็งทางการเมือง ให้โอกาสรัฐบาลในการทำงาน ทำให้ผมในฐานะที่ทำหน้าที่แทนประชาชนได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ควรจะเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย และความสำเร็จนี้ผมขอยกให้เป็นเครดิตทั้งหมดของประชาชน และให้พี่น้องประชาชนตัดสินใจ และในวันที่ 6 ก.พ.นี้จะเป็นวันที่รัฐบาลจะคืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่าประชาชนจะเลือกรัฐบาลชุดไหนในการกำหนดทิศทางของประเทศด้วยตัวท่านเอง
ผมขอขอบคุณคณะรัฐมนตรีทุกคนที่ได้ทุ่มเทการทำงาน ขอขอบคุณข้าราชการทุกท่านที่ได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ตลอด 4 ปี ทั้งนี้ การทำงานทุกอย่างก็เพื่อจะให้พี่น้องประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และให้ประเทศชาติของเราเข้มแข็ง ขอให้ถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทั้งหมดที่เป็นผู้กำหนดให้วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น ขอขอบคุณอีกครั้งครับ"
http:
ager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?
จากคุณ :
Dragon Stone
- [
5 ม.ค. 48 21:39:05
]