ความคิดเห็นที่ 71
เอานิดหนึ่งแล้วกันเดียวหาว่าเราเข้ามาแล้วมาแบบก่อกวน ผมจับเอาประเด็น ที่หัวข้อกระทู้แล้วกัน(จะให้วิ่งตามผักบ้งที่นังสึนามิมันหอบไปคงไม่ไหว?)
ผมว่าเจ้าของกระทู้กำลังจะนำเสนอในทำนองว่า สังคมไทยไม่มีสภาพเป็นสังคมแบบฐานความรู้ KBE อะไร?นั้นมากกว่า จริงๆคำว่าสังคมฐานความรู้นี้มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลย พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว
นั้นคือ สังคมแบบ"ไตรสิกขา" ก็คือศิล,สมาธิ, และปัญญา เดี๋ยวแยกให้ดู?
ศิล....... ก็คือรักษ์ฯ(รักทั้งรักษา)สิทธิ รู้หน้าที่ เคารพกติกา(อัตตาอื่นด้วย) ตั้งแต่มาตรการทางจริยะธรรมที่ลงไปบริหารจัดการกับความต่างในระดับจิตสำนึก ขึ้นมาหามาตรการทางนิติฯ รัฐศาสตร์ ที่จะช่วยย่อยให้ความหยาบนั้นลงไปหาศาสนา
สมาธิ........ คือมีสติตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน พร้อมกับทุกๆรัสมีเส้นรอบกรรมที่จะส่งผลมาตกกระทบ ผัสสะอายตนะในรัสมีเส้นรอบกรรมเรามีความพร้อมทุกอย่างว่าจะตั้งรับหรือหลบหรือประณีประณอม ด้วยปัญญาคือข้อต่อไป
ปัญญา.......... มีภูมิรู้ที่เป็นมรดกทางปัญญา และเป็นผู้รู้และผู้ตื่นที่จะรับรู้ ,เรียนรู้,เข้าถึงฐานข้อมูลองค์ความรู้ใหม่ที่กระแสโลกาภิวัฒน์ ส่งคลื่นกระแทกมา แล้วใช้ทั้งปัญญาและสมาธิ ในการสกรีนว่าอันไหน? ไปได้ไปไม่ได้หลีกเลี่ยงหรือตั้งรับกับความเป็นตัวตนของเรา (อัตตาเรา)ด้วยความพร้อมแบบมัชฉิมาทาง คือประณีประณอมกับธรรมชาติด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความเข้าใจในอริยสัจสี่และกฏของไตรลักษณ์ เพราะเราหลีกเลี่ยงหรือหลบความเกี่ยวโยงเกี่ยวข้อง(อิทัปฯ ปฎิสัมพันธ์ กับโลกาภิวัฒน์โลก กับความเป็นหนึ่งในนั้น(อตัมสกสูตร)ไม่ได้
จะเห็นว่าโลกาภิวัฒน์เองก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้ ในหลัก "อิทัปปัจายตา และอตัมสกสูตร" ไว้เมื่อ กว่าสองพันปีเหมือนกัน แต่เราคนไทยถือพุทธส่วนใหญ่ ปรัชญาตะวันออก ตรงนี้ เรากับเรียนรู้เข้าใจน้อยกว่าฝรั่ง แล้วอย่างที่หลายท่านไปเรียนรู้รับมาแล้วเอามาดูถูก ตัวเองประเทศตัวเอง
แต่เข้าใจ"เหตุ" เกิดจากอัตตา และอุบัติกรรม เราจึงต้องเรียนรู้ให้เข้าใจในอัตตา เพื่อให้เข้าสู่สภาวะ "อนัตตา" กับปัญหา ก็คือดับที่เหตุคือตัวเราก่อนส่วนอุบัติติกรรมที่เป็นสิ่งเหนือการควบคุม เราจึงต้องมาบริหารจัดการด้วย ไตรสิกขา???
จากคุณ :
อะตอม
- [
8 ม.ค. 48 09:08:17
A:61.90.55.208 X: TicketID:001922
]
|
|
|