ความคิดเห็นที่ 15
นั่นดิหลาน ๆ อิ อิตอบแบบไม่ได้อิงตำรานะครับ ขี้เกียจค้น
นโยบายชุดนี้ เค้าจัดให้เป็นนโยบายเพิ่มโอกาสและศักยภาพพื้นฐานของคนจน มันมี ซีรี่ส์ ตามมามากมาย เช่น กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารคนจน OTOP SMEs แท็กซี่เอื้อาทร คอมเอื้ออาทร แจกเอกสารสิทธิ์ ที่อยู่อาศัยบ้านเอื้ออาทร แปลงสินทัพย์เป็นทุน SPV ขุดสระฟรี(จ่าย 2,500 )
ผมมองว่านี่เป็นการเพิ่มโอกาสให้คนจนเข้าถึงแหล่งทุน
ถามว่าดีมั๊ยก็ต้องบอกว่า ดี...ในระดับหนึ่ง เป็นการเปิดโอกาสให้โยกหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบ ผมเคยบอกแล้วว่า กองทุนหมู่บ้าน นั้นมีการใช้เงนไป 3 ประเภทคือ
1. ใช้หนี้เก่า 2. ยืมมาใช้จ้ายภายในครอบครัว ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย 3. เป็นทุนประกอบอาชีพ
ในสองข้อแรกนั้น แน่นอน เป็นการแก้ไขหนี้เก่าและเพิ่มหนี้ใหม่...ซึ่งผมคิดว่าคงอีกนานครับกว่าจะใช้หนี้พวกนี้ได้หมด หลายพรรคการเมืองจึงมีนโยบายปลดหนี้ตัวนี้
โดยให้ใช้แรงงานชดใช้หนี้ หากจะพูดลงไปในรายละเอียด ก็คือ การจ้างงานในชนบทนั่นเอง แม้แต่การโยกเงินของรัฐบาลในโครงการ SML นั่นแหละ ใช่เลย ให้ชาวบ้านมีงานทำ เอาเงินมาใช้กองทุนหมู่บ้าน ( แต่ SML ควรจะเป็นเงินผ่านไปทาง อบต. ตามกฎหมาย และให้ประชาสังคมหมู่บ้านร่วมกำหนด - ไม่ใช้ผู้รับเหมาที่ใช้เครื่องจักรกล )
กองทุนนี้ไม่หนีไปใหนนะครับ ยังคงอยู่ตลอดไปในหมู่บ้านนั่นแหละ ผลัดกันกู้ผลัดกันเรียนรู้ว่าจะใช้เงินยังไง ตัดนายทุนเงินกู้ไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่วายในตอนปลายปีนะครับ ต้องหาเงินอีกก้อนหนึ่งมาหมุนใช้หนี้ (ดอกเบี้ยแพง มาลงใช้ดอกเบี้ยถูก กู้ดอกเบี้ยถูกไปใช้ดอกเบี้ยแพง หมุนเวียนแบบนี้ ) นักวิชาการ TDRI มีการศึกษาเรื่องนี้ จึงเป็นที่มาของหนี้ภาคครัวเรียนเพิ่มจาก 60,000 บาทต่อครั้งเรือน กลายเป็น 110,000 บาทต่อครัวเรือน ( ค่าเฉลี่ย )
จริงๆแล้ว พวกเรามองแค่กองทุนหมู่บ้านเท่านั้น จริงๆในหมู่บ้านยังมีกองทุนอื่นๆอยู่ด้วยนะครับ ปล่อยกู้เช่นเดียวกัน เช่น กองทุน กขคจ. ( 270,000 /หมู่บ้าน ) ที่หมู่บ้านผมก็มีครับ กู้แล้ว 3 ปี จ่ายคืน
มีเงินกู้ฉุกเฉิน ( งบ อบต. เริ่มที่ 10,000 บาท โดยประมาณ ) กองทุนนี้ กู้ 1,000 บาท 3 เดือน ชดใช้ 1,100 บาท (ตกประมาณ ร้อยละ 3 ต่อเดือน) เดี๋ยวนี้ก็ยังคงอยู่
มีกองทุนที่ฝากอย่างเดียว เป็นกองทุนออมทรัพย์ ขณะนี้มีประมาณ 100,000 บาท ( มีโครงการนำไปซื้อหุ้นสหกรณ์ ส่วนหนึ่ง นำไปฝาก ธกส.หรือออมสินเพื่อค้ำประกันเงินกู้ เผื่อจะจัดเป็นอีกกองทุน )
นโยบายกองทุนหมู่บ้านน่าจะเป็นนโยบายประทังความเดือดร้อนมากกว่าที่จะทำให้ประชาชนหายจน เพราะเป็นเรื่องของการเงินและหนี้สินแต่เพียงอย่างเดียว
เงินอย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ หากฝ่ายรัฐไม่ส่งทีม "ปัญญา" ในการหาเงิน ไม่งั้นก็พัวพันกันอยู่แบบนั้น
ทางแก้ที่ดีที่สุดไม่ใช่แบบนี้ในสายตาของผม แต่ต้องเป็นการลงไปใช้ทฤษฎีพอเพียง ทำให้ประชาชนพออยู่พอกิน ไม่ใช่ต้องหาเงินมาใช้หนี้กันอยู่แบบนี้....ต้องปลดหนี้และเน้นเศรษฐกิจพอเพียง
ผลิตเพื่ออุปโภคบริโถคในหมู่บ้าน-ชุมชน เหลือค่อยขายเป็นเงิน .................................... นโยบาย OTOP
เป็นการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นหรือถิ่นอื่นมาผลิตเป็นสินค้า ตัวนี้มองได้ 3 ลักษณะ
1. การผลิตที่เกิดขึ้นจริงในหมู่บ้าน 2. การผลิตสวมรวยใช้โรงงานขนาดย่อม 3. การผลิตที่ใช้เทคนิคขั้นสูง ( ผลิตเพื่อการส่งออก )
หากเรามองถึงเค้าเดิมของ OTOP ผมมองไปที่โครงการพระราชดำริ ขององค์สมเด็จฯ นั่นก็คืองานศิลปาชีพ คล้ายๆกัน แต่ OTOP เปิดขึ้นอีกหลายสาขาเป็นการผสมผสานในหลายมิติ
ผมเห็นประโยชน์จากโครงการนี้ แต่ก็นั่นแหละ รัฐบาลต้องเร่งสร้างความต้องการในตลาดสินค้า OTOP ในประเทศให้มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อไม่ให้สินค้า OTOP ล้นตลาด
ต้องมีการสำรวจทั้งภาคการผลิตและภาคการตลาดให้อยู่ในขอบเขตของความพอดี...ผลิตมากขายไม่ได้ ผลิตแล้วตลาดไม่ต้องการ สิ่งเหล่านี้ต้องการการติดตามอย่างใกล้ชิด รัฐบาลมีกำลังมากพอที่จะเป็น "คนกลาง" หรือเป็นส่วนส่งเสริมการตลาดได้มากน้อยแค่ใหน
หากมองสินค้า OTOP ที่ผลิตๆกันอยู่ รัฐบาลต้องสร้างค่านิยมใช้สินค้าไทย ส่งเสริมให้ประชาชนใช้สินค้าจากหมู่บ้าน มากกว่าสินค้าจากโรงงาน....แค่ตรงนี้เราก็จะเห็นความขัดกันอย่างเห็นได้ชัด ( ต้องมีวิธีแยกสินค้า )
ทำยังไงจะให้สินค้าจากหมู่บ้าน ได้มีโอกาส "ถูกใช้" จากคนในเมือง เพราะ "ศักยภาพ" ของสินค้าทำมือ...ยังไงก็สู้สินค้าจากโรงงานไม่ได้
มันจะต้องมีค่านิยมใหม่ครับ ถึงจะไปรอด หากยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ ผมยังมองไม่ออกว่าอนาคตของสินค้า OTOP จากหมู่บ้านจะไปตั้งอยู่ในบ้านของคนเมืองอย่างไร
เอาแค่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอย่างเดียว หากคนไทยทุกคน มีเสื้อผ้าพื้นเมือง คนละตัวสองตัว ใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้เป็นวิถีชีวิตคนไทยให้ได้ แค่นี้ก็ช่วยพวกผ้าทอมือ โรงงานทอผ้าอื่นๆ ชุมนุมแม่บ้านมีการทอผ้า มีการตัดเย็บ เป็นการสนับสนุนให้สร้างงานสร้างรายได้
ไม่ใช่ให้โบ๊เบ๊ ผลิดเสื้อ 3 ตัว 100 ออกมาตีตลาด ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ก็ป่วยการครับ
รัฐบาลต้องพยายามสร้าง แฟชั่นผ้าไทยให้มากกว่านี้ครับ
ส่วนพวกสินค้า OTOP ชั้น 4 ดาว 5 ดาว ผมไม่ห่วงครับ นั่มันเข้าข่าย SME ไปแล้วครับ
โดยรวมนโยบายนี้ดีแต่ท้ายที่สุด อยากให้ลงไปสนับสนุน เศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสานมากกว่าการผลิตพืชเชิงเดี่ยวครับ
จากคุณ :
Can
- [
14 ม.ค. 48 16:51:03
A:202.5.88.159 X: TicketID:014491
]
|
|
|