ความคิดเห็นที่ 128
อยากเลือกลองอ่านนี่ก่อนครับ
.... ตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นถึง 31,543.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 กว่า 70 % และเพิ่มขึ้นจากปี 2544 ปีแรกของรัฐบาลทักษิณถึง 147 % โดยในปี 2544 ตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นรวม 12,768.20 ล้านบาท ตัวเลขมูลค่าหุ้นจากปีแรกของรัฐบาลทักษิณ 2544 ถึง ปี 2547 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณสมัยแรก พูดกันตามภาษาชาวบ้านก็คือตระกูลชินวัตรรวยขึ้นกว่าเดิมเกือบ 3 เท่านั่นเอง แต่ความจริงเราจะมองมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นของตระกูลชินวัตรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองไปที่ตระกูลดามาพงศ์ด้วย เพราะเป็นกลุ่มที่ตระกูลที่ถือหุ้นโยงกันไปมา ตระกูลดามาพงศ์ นามสกุลเดิมของคุณหญิงพจมาน มีมูลค่าหุ้นในปี 2544 จํานวน 6,470 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นถึง 15,267.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 135 % นั่นคือ เพิ่มขึ้นเกือบๆ 3 เท่าเช่นเดียวกัน รวม 2 ตระกูลเข้าด้วยกัน ปี 2544 มีมูลค่าหุ้น 19,239.08 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้น รวมกันถึง 46,810.99 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 143 %
ตัวเลขจํานวน 46,810.99 ล้านบาท เป็นมูลค่าหุ้นของตระกูลชินวัตรกับเครือญาติเท่านั้นยังไม่ได้รวมทรัพย์สินอื่นๆ รวมถึงเงินสดที่ ฝากไว้ในธนาคาร ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์ "ประชาชาติธุรกิจ" เคยรายงานไว้ว่า ธุรกิจในเครือชินวัตร 23 บริษัท แบ่งเป็นสายธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมไร้สาย สายธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศ สายธุรกิจสื่อและโฆษณา สายธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และสายธุรกิจขนส่ง ทรัพย์สินโดยรวมประมาณ 200,000 ล้านบาท โดยเฉพาะเอไอเอส ปี 2546 มีกําไรถึง 1.8 หมื่นล้าน
ซึ่งหากรวมตัวเลขกําไรสุทธิเฉพาะ 3 บริษัท คือ ชินคอร.ปอเรชั่น ชินแซทเทลไลท. และแอดวานซ. อินโฟร. เซอร.วิส (เอไอเอส) รอบ 3 ปีมีกําไรสุทธิทั้งสิ้น 55,689,062,587 บาท
คราวนี้เราลองไปดูตัวเลขเศรษฐกิจของประชาชนเป็นรายๆในรอบปีของรัฐบาลทักษิณบ้าง รายได้ต่อหัวของประชาชนต่อครัวเรือน(สถิติในปี 2545 1ครัวเรือน เท่ากับ 3.8 คน)ที่สํานักงานสถิติแห่งชาติรวบรวมไว้ในปี 2544 อยู่ที่ครัวเรือนละ 12,185 บาท ต่อเดือน ส่วน 6 เดือนแรกของปี 2547(ปี 2547 1 ครัวเรือน น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 คน) อยู่ที่ครัวเรือนละ 14,617 บาท ต่อเดือน เพิ่มขึ้นเพียง 20 % เท่ากับโดยเฉลี่ยหนึ่งปี คนไทยจะมีรายได้ต่อคนประมาณ 3,500 บาทต่อเดือน และแม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นในสัดส่วนใกล้เคียงกันคือ ปี 2544 มีรายจ่ายต่อครัวเรือนที่ 10,889 บาทต่อเดือน ปี 2547(6 เดือนแรก) มีรายจ่ายต่อครัวเรือน 12,115 บาท ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 11 % ขณะที่มูลค่าหุ้นของตระกูลชินวัตร ระหว่างปี 2544-2547 เพิ่มขึ้นถึง 147 % อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นห่วงมากที่สุด ก็คือ หนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะความเปราะบางของสถานะทางการเงินของครัวเรือน อาจจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมได้ในอนาคต โดยเมื่อช่วงต้นปี 2547 มีรายงานการวิจัยจากธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า สัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือน แม้จะยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและเศรษฐกิจ มหภาค แต่ปัจจัยเสี่ยงต่างๆอาจมีนัยต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และภาระผูกพันของภาครัฐได้ในอนาคต โดยการเพิ่มขึ้นของหนี้ได้กระจายตัวไปในทุกกลุ่มรายได้และกลุ่มอายุของครัวเรือนที่อยู่ในทุกภาคของประเทศ เราลองไปดูหนี้สินภาคครัวเรือนของคนไทย พบว่า ในปี 2544 มีหนี้สินต่อครัวเรือน 68,279 บาท ครึ่งปีแรกของปี 2547 มีหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็น 103,940 บาท โดยมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ถึง 52 % โดยเฉลี่ย 4 ปี(2544-2547) ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น 20 % มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 11 % แต่มีหนี้สินเพิ่มขึ้น 52 % หนี้สินที่เพิ่มขึ้นของประชาชน ครั้งหนึ่ง ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ จากทีดีอาร์ไอ เคยแสดงความเห็นว่า นโยบายประชานิยมเกิดขึ้นเพราะรัฐบาลต้องการเพิ่มอุปสงค์ให้กับระบบเศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เหมาะเฉพาะในช่วงแรกเท่านั้น แต่รัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการผลิตที่สูงขึ้น เพราะในการดําเนินการรัฐบาลให้เฉพาะตัวเงิน เร่งปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนทําธุรกิจ ซึ่งถือว่าเสี่ยงมาก ทุกวันนี้เราจึงพบว่า รัฐบาลเร่งสร้างมาตรการต่างๆออกมามากมายเพื่อให้ประชาชนกู้ยืมเงิน เพื่อให้เงินนั้นมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยไม่คํานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่ที่น่าตระหนกก็คือ พบว่า ประชาชนส่วนหนึ่งสร้างหนี้ขึ้นแล้วหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล พร้อมกับความเชื่อมั่นในคําของพ.ต.ท.ทักษิณที่บอกว่า จะเสกกระดาษให้เป็นเงิน ประชาชนจํานวนมากกําลังหลงใหลได้ปลื้มกับรัฐบาลทักษิณ พร้อมกับชื่นชมในความร่ำรวยและความสําเร็จของตระกูลชินวัตร และไม่ต้องสงสัยเลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า ลองคิดเล่นๆ เมื่อประชาชนมีรายได้ต่อหัวเดือนละ 3,500 บาท ถ้าจะมีรายได้เท่ากับมูลค่าหุ้นของคุณพิณทองทา จํานวน 18,032,760,000 ล้านบาท จะต้องทํางานถึง 429,351 ปีทีเดียวแหละ
จากคุณ :
Bahamuth_Z
- [
25 ม.ค. 48 17:45:29
]
|
|
|