PANTIP.COM : P3269969 พตท.ดร.ทักษิณ vs นายอัมมาร์{แตกประเด็นจาก P3268135} [การเมือง]

ความคิดเห็นที่ 7

ไหน ๆ เจ้าของกระทู้ อยากเล่นสนุกแบบนี้ ผมขอเล่นด้วยล่ะกันในฐานะคนตั้งกระทู้นั้น

พตท.ดร.ทักษิณ vs นายอัมมาร์
จริง ๆ ไม่อยากเอาชื่อสองคนนี้มาประกบกัน เพราะจริง ๆ มันห่างชั้นกันเยอะ แต่เห็นบทความอันโอหังของนายอัมมาร์ ที่เผยอตัวขึ้นไปเทียบชั้นกับ ทักษิณ นี่ก็เห็นว่าควรจะเล่าเรื่องบางอย่าง

อืมม แล้วแต่ว่าในแง่ไหนนะ ที่จะว่าใครห่างชั้นกับใคร จะเอามิเตอร์ไหนวัดล่ะ ถ้าเอาด้านวิชาการ ความรู้ความสามารถ ก็แน่นอนว่า อ.อัมมาร์เหนือกว่าอย่างเทียบไม่ได้อยู่แล้ว เพราะท่านเป็นนักวิชาการจริง ๆ คือจบปริญญาเอก ก็ทำวิชาการตลอด มีผลงานวิจัยน่าเชื่อถืออ้างอิงได้ ต่างจาก ดร.ทักษิณ ที่รัฐบาลไทยส่งไปเรียนปริญญาเอก แต่กลับมาก็ไม่เคยมีผลงานวิชาการอะไร กลับมาก็มาทำธุรกิจหากินกับหน่วยงานของตัวเองนั่นแหละ (เปรียบง่าย ๆ เหมือน ทำงานเป็นครู แต่ก็หากินโดยการเอาขนมไปขายให้เด็กนักเรียน) แต่ก็ตราบใดที่เป็นอาชีพที่สุจริต แม้จะเบียดบังเวลาราชการบ้าง ผมก็เข้าใจได้ครับ ไม่ได้ว่าอะไร ยังไงคงดีกว่าเป็นตำรวจแล้วไปรีดไถแหละนะ

แต่ถ้านับตามฐานะทางเศรษฐกิจ ก็แน่นอนว่า อ.อัมมาร์เทียบชั้นทักษิณไม่ได้อยู่แล้ว และก็ไม่คิดว่าท่านจะสนใจลงไปทำธุรกิจด้วย ถ้าท่านจะทำจริง ๆ ก็ทำได้ตั้งนานแล้ว เพราะตระกูลสยามวาลาก็มีธุรกิจใหญ่อยู่ (ในยุคนั้น) แต่ท่านเลือกที่จะอุทิศตนให้กับวิชาการ ไม่ใช่อุทิศตนให้กับธุรกิจ (ซึ่งอันนี้ต่างจากทักษิณอย่างเห็นได้ชัด)

หลังจากเรียนจบปริญญาเอกใหม่ ๆ พตท.ดร.ทักษิณได้ไปเป็นตำรวจ พร้อมด้วยอนาคตหน้าที่การงานที่ยังไงก็คงไม่ได้ตังค์เท่าอยู่เมืองนอกแน่ ๆ แต่ด้วยความรัก(?)เมืองไทย ท่านจึงมาทำงานตำรวจอยู่จนได้เป็นนายพันตำรวจโท

แน่ใจหรือว่ารักเมืองไทย ? น่าจะเป็นการต้องกลับมาใช้ทุนให้รัฐบาลมากกว่าล่ะมั้งครับ (เรียกว่าไฟท์บังคับน่ะ)

แต่ด้วยมรสุมทางบ้าน ท่านจึงได้ลาออกจากการเป็นตำรวจ เพื่อมาประกอบธุรกิจส่วนตัว

มรสุมอะไรเหรอ จริง ๆ ตอนท่านเป็นตำรวจท่านก็เริ่มธุรกิจอยู่แล้วนะ เพียงแต่มันยังไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ก็ยังแอบเอาเวลาราชการไปใช้ได้บ้าง แถมใช้เส้นสนกลในของพ่อตา ประกอบกับการทำสัมปทานกับหน่วยงานของตัวเอง (เป็นตำรวจ แต่ตั้งบริษัทคอมฯ เข้าไปขอสัมปทานกับหน่วยงานของตำรวจ นั่นแหละ insider ของจริง) ตอนหลังมีปัญหาการเมือง โดนย้ายไปเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ นั่นแหละจึงคิดได้และก็ขอลาออกเพื่อมาทำธุรกิจอย่างเต็มตัว (คาดว่าระยะใช้ทุนรัฐบาลคงหมดแล้ว)

จนปัจจุบัน ธุรกิจส่วนตัวที่ว่านี้ เอื้อประโยชน์ให้กับคนในชาติหลายคน(ผู้ใช้บริการAIS ราว 10 ล้านคน ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โครงการเพื่อการกุศลต่าง ๆ) โดยท่านมีผลงานอะไรบ้างหลังจากนั้น คือเมื่อท่านมาเล่นการเมือง อันนี้เป็นผลประโยชน์ที่มองเห็นได้ง่ายๆ (แต่คนในห้องนี้บางคนอาจจะไม่เข้าใจ หรือทำเป็นไม่เข้าใจ) แค่นี้ท่านก็มีความโดดเด่นกว่านักวิชาการที่ไม่อยู่ในโลกความจริงบางคนแล้ว การให้ความคิดเห็น ก็ยึดหลักความจริงเป็นสำคัญ

ก็ว่ากันไป ทำธุรกิจก็ไม่ผิดอะไรหรอก อย่าเอาเปรียบรัฐก็แล้วกัน ถ้าคิดจะทำสัมปทานก็ต้องให้ผลตอบแทนกับรัฐบาลตามที่ตกลงกันไว้ ไม่ใช่พอตัวเองเข้ามามีอำนาจปกครองแล้ว ก็ใช้อำนาจนั้นเปลี่ยนแปลงสัญญา ทำให้รัฐเสียผลประโยชน์มหาศาล ดูการแปรรูปสัญญาโทรคมนาคม และจับตาดูปี 2006 ที่ WTO จะเปิดให้มี Telecommunication Liberalization ให้ดี ผมว่าอันนี้แหละที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ท่านตัดสินใจลงมาตั้งพรรคเล่นการเมือง ถามจริง ๆ คุณเชื่อหรือว่า อยู่ดี ๆ จะมีมหาโคตรเศรษฐีคนหนึ่งที่มีจิตใจรักชาติมากสุด ๆ ยอมลงทุนเป็นพัน ๆ ล้านเพื่อตั้งพรรคการเมือง โดยตั้งใจว่าจะไม่เอาอะไรจากประเทศ จะตั้งใจทำประโยชน์ให้ประเทศจริง ๆ ถ้าเชื่อแบบนั้นคงมีปัญหา logic มาก ๆ เลยนะ หรือไม่ก็อยู่ในโลกอุดมคติมากไปหน่อย ผมเชื่อว่าทักษิณเข้ามาการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง อันนี้คือข้อแรกที่คนไม่ควรจะโดนหลอกให้เคลิ้มไปกับข้อความไร้สาระของพวกลูกน้องที่ไม่ได้ใช้สมองคิด .... แต่ถ้าถามว่าทักษิณเข้ามาแล้วประเทศดีขึ้นไหม เศรษฐกิจดีขึ้นไหม ก็ต้องบอกว่าก็ดีขึ้น ดีกว่าคนอื่นๆ ...แต่ไม่ใช้เพ้อไปขนาดที่ว่าจะไปยกยอว่าท่านเข้ามาเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยอะไรน้ำเน่าไป ตรงนั้นมันคือวัตถุประสงค์รองลงมา
แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 48 20:29:52

จากคุณ : ไม่ซีเรียส (B.F.Pinkerton) - [ 1 ก.พ. 48 20:20:12 ]