CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    โลกสีหม่น ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (สมควรอ่านอย่างยิ่ง)

    โลกสีหม่น ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
    ปกป้อง จันวิทย์ และ ธร  ธนารัตน์สุทธิกุล    นิตยสาร OPEN ฉบับเดือนกรกฎาคม 2547

    ท่ามกลางกระบวนการสร้าง “โลกสีขาว” เป็นของขวัญแก่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ของประเทศไทย ในวาระครบ 6 รอบ ก่อนล้างมือในอ่างทองคำ ปกป้อง จันวิทย์ และ ธร ธนารัตน์สุทธิกุล พลิกแฟ้มข่าว พาผู้อ่านย้อนสำรวจเหตุการณ์ อาการ และอารมณ์ของสังคมไทย ในช่วงพฤศจิกายน 2539 ถึง พฤศจิกายน 2540

    ... ช่วงเวลาที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ “ชวลิต ยงใจยุทธ”

    ... ช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

    ... ช่วงเวลาที่ “โลก” ของพลเอกชวลิต และคนไทยทุกคน เปลี่ยนจากสีขาว ... เป็นสีหม่น และหมองคล้ำ

    ............................................................



    จุดจบของหลงจู๊

    “เท่าที่ผมรู้คือ คุณบรรหารจะย่อยยับถึงที่สุด รวมถึงตระกูลด้วย เพราะฉะนั้นผมก็สงสารแก” (ไตรรงค์ สุวรรณคีรี, กันยายน 2539 ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ)

    คล้อยหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ ครั้งที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ยุคสั้นๆ 1 ปี 2 เดือนของรัฐบาลที่ “บริหารได้แต่ปกครองไม่ได้” ของยอดหลงจู๊แห่งเมืองสุพรรณก็ถึงคราวสิ้นสุด ด้วยความเจ็บปวดถึงโคตรเหง้า

    เป็นการสิ้นสุดลงอย่างหักมุม พร้อมอาการอกหักของผู้เฒ่าการเมืองหลายคน โดยเฉพาะพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ที่จ่อคิวเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อนายบรรหาร “หักหลัง” เลือกประกาศยุบสภา ในวันที่ 27 กันยายน 2539 แทนการลาออกจากตำแหน่งเพื่อให้พลเอกชวลิตขึ้นดำรงตำแหน่งแทน

    การตัดสินใจดังกล่าว ผิดจากคำมั่นที่ประกาศต่อสาธารณชนในวันที่ 21 กันยายน 2539 ซึ่งนายบรรหารประกาศด้วยความจำใจว่าจะลาออกภายใน 7 วัน เพื่อแลกกับการยกมือไว้วางใจก่อนที่การลงคะแนนเสียงจะเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่นาที

    เหตุการณ์ในวันนั้น มีภาพนางสาวกัญจนา ศิลปอาชา ลูกสาว มองบิดาด้วยน้ำตานองหน้าเป็นฉากหลัง และมีเสียงปรบมือจากผู้นำ 6 พรรคกัลยาณมิตรร่วมรัฐบาลที่นั่งรายล้อม เป็นดนตรีประกอบที่แฝงด้วยความอำมหิต

    เก้าอี้นายกฯ ที่เฉียดใกล้พลเอกชวลิตต้องหลุดลอยไปอีกครั้ง แต่ฝันครั้งนี้ค้างอยู่ไม่นาน โดยเฉพาะเมื่อนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้ากลุ่มวังน้ำเย็น ย้ายออกจากพรรคชาติไทยมาสมทบพลพรรคความหวังใหม่ในคืนวันฝนตก ด้วยรอยแค้น คราบน้ำตา และความฝันในเก้าอี้ มท.1 เพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง 17 พฤศจิกายน 2539 ... ศึกของ 3 ช.



    ฝันที่เป็นจริงหลังเดินทางไกลสองแสนไมล์



    “การเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่คิดว่าจะเป็นแล้วก็เป็นได้ ถ้าคิดจะเป็น บางทีก็ได้เป็น บางทีไม่เป็น ก็อาจจะได้เป็น” (บรรหาร ศิลปอาชา, ตุลาคม 2539)

    พลันที่นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส. พรรคความหวังใหม่ เฉือนชนะ ว่าที่ร้อยตรี สุเมธ กฤธาคนี ผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เพียง 32 คะแนน ในสมรภูมิตัดสินที่จังหวัดปทุมธานี พรรคความหวังใหม่ ของ ช.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็มีชัยเหนือพรรคประชาธิปัตย์ ของ ช.ชวน หลีกภัย ด้วยคะแนนเสียง 125: 123 เสียง โดยมีพรรคชาติพัฒนาของ ช.ชาติชาย ชุณหะวัณ ตามมาห่างๆ 52 เสียง ในศึกเลือกตั้งที่ต่างฝ่ายต่างเนื้อตัวสกปรกมอมแมม

    เมื่อนายชวนประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และส่งสัญญาณไม่ให้พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรค จัดตั้งรัฐบาลแข่ง ฝันอันยาวนานกว่า 7 ปี – นับแต่เปลี่ยนสถานภาพจากขงเบ้งแห่งกองทัพไทยสู่พ่อใหญ่จิ๋วของพี่น้องชาวอีสาน - ก็เป็นจริง

    พลเอกชวลิตก้าวขึ้นเป็นนายกฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2539 โดยมีพรรคชาติพัฒนา กิจสังคม ประชากรไทย เสรีธรรม และมวลชน เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ผลักพรรคชาติไทยให้ไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์คู่แค้นในซีกฝ่ายค้านอย่างสะใจ

    จะลำบากก็แต่คุณหญิงหลุยส์ ภรรยาสุดรัก ที่ต้องพาช้างน้อยคู่ใจ ไปรำเซิ้งแก้บนหน้าองค์พระธาตุพนม ด้วยรอยยิ้มยินดี



    ดรีมทีมเศรษฐกิจ: ทีมในฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง



    “ในการทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคความหวังใหม่จะต้องให้อิสระกับผม ... เพราะการทำงานด้านเศรษฐกิจเป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อพลเอกชวลิต และความหวังใหม่ ซึ่งพลเอกชวลิตก็ได้มอบให้ผมดูแลกระทรวงหลักๆ เช่น คลัง พาณิชย์ อุตสาหกรรม และการต่างประเทศ” (อำนวย วีรวรรณ, เนชั่นสุดสัปดาห์ 8 พฤศจิกายน 2539)

    สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงตั้งแต่ปี 2539 และความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลนายบรรหาร ทำให้แต่ละพรรคต่างชู “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” เป็นจุดขายในการสู้ศึกเลือกตั้ง

    ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ชูนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ และนายศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นทัพหน้า พรรคความหวังใหม่ชูนายอำนวย วีรวรรณ เป็นหัวหน้าดรีมทีมเศรษฐกิจ โดยมีขุนพลหลักคือ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี นายสุรศักดิ์ นานานุกูล นายทนง พิทยะ นายวิโรจน์ ภู่ตระกูล ฯลฯ

    การประชันกันของดรีมทีมทั้งสองจบลงด้วยชัยชนะของพรรคความหวังใหม่ แม้ว่าคอการเมืองจะวิเคราะห์ว่า เบื้องหลังชัยชนะมิได้มีที่มาจากการแข่งขันเชิงนโยบายเศรษฐกิจ หากมาจากพลัง “ดูด” และม่านสีม่วงสีเทาเสียมากกว่า

    หลายคนอดหวั่นใจไม่ได้ว่า คำขวัญ“ถึงเวลาอยู่ดีกินดี” ของพรรคความหวังใหม่ที่ว่า มันหมายถึงการได้เวลาอยู่ดีกินดีของใครกันแน่

    เนื่องจาก พรรคชาติพัฒนามีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในรัฐบาล อีกทั้งซีกฝ่ายค้านและรัฐบาลมีคะแนนเสียงต่างกันไม่มาก พรรคชาติพัฒนาจึงกลายเป็นพรรคตัวแปรที่มีอำนาจต่อรองสูงในรัฐบาล ภายใต้บริบทของการเมืองว่าด้วยตัวเลขแบบไทยๆ

    ภาพของยุคทองทางเศรษฐกิจ และคำขวัญ “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ที่ผูกติดกับตัวพลเอกชาติชาย ทำให้พรรคชาติพัฒนาพยายามรุกคืบเข้าไปมีบทบาททางเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่การพยายามแย่งชิงโควตากระทรวงเศรษฐกิจมาบริหาร ซึ่งสุดท้ายก็ชิงกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการต่างประเทศมาให้นายกร ทัพพะรังสี และนายประจวบ ไชยสาส์น ได้สำเร็จ ในขณะที่พลเอกชาติชาย ซึ่งยังเปี่ยมด้วยบารมี เข้ารับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและต่างประเทศของรัฐบาล

    เมื่อประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรี “จิ๋ว 1” เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 ดรีมทีมเศรษฐกิจในฝันของนายอำนวย จึงเหลือโควตาอยู่เพียง 3 ตำแหน่ง จากคณะรัฐมนตรี 49 ตำแหน่ง แตกต่างจากที่พลเอกชวลิตเคยให้สัมภาษณ์ว่า จะกันที่ไว้ให้คนนอกที่มีประสบการณ์ความรู้ประมาณ 4-6 คนเข้ามาเป็นทีมบริหารเศรษฐกิจ

    นอกจากนายอำนวยในฐานะรองนายกรัฐมนตรีอันดับสองควบรมว.คลังแล้ว ก็มีนายณรงค์ชัย อัครเศรณี ในฐานะรมว.พาณิชย์ และนายสมภพ อมาตยกุล ที่เป็นเพียงรมช.อุตสาหกรรม

    ตลอดช่วงต้นของรัฐบาล การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลล้วนเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ชิงดีชิงเด่น ระหว่างสองทีมเศรษฐกิจที่เล่นสงครามเย็นกันภายใน แน่นอนว่า ความเป็น “จิ๋ว หวานเจี๊ยบ” ที่มีลักษณะพี่มีแต่ให้ ไม่ขัดใจใคร แถมเอาใจทุกฝ่าย ไม่มีส่วนช่วยสร้างเอกภาพในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลแม้แต่น้อย

    “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” ที่วาดฝัน หวังจะให้เป็นอัศวินม้าขาว ที่เปี่ยมด้วยความรู้ มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และมีอิสระในการทำงานอย่างเต็มที่ กลายเป็นความฝันเลื่อนลอย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย



    “ต้นเหตุของวิกฤตในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ตรงที่มีสาเหตุมาจากภายในประเทศทั้งสิ้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เราเป็นผู้สร้างปัญหาให้แก่ตัวเราเอง ... แม้ทางการจะมองเห็นปัญหา แต่ขาดความเด็ดขาดในการกำหนดมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วก็ยังขาดความกล้าหาญที่จะใช้มาตรการที่อาจไม่เป็นที่นิยมในทางการเมืองเข้าแก้ปัญหา” (คณะกรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.), 2541)

    สัญญาณเลวร้ายต่อเศรษฐกิจไทย เริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปี 2539 ที่อัตราการเติบโตของการส่งออกลดลงอย่างรุนแรง จาก 24.8% ในปี 2538 เป็น -1.9% ในปี 2539

    ปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำลายความเชื่อมั่นของชุมชนการเงินระหว่างประเทศ ถึงความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศ ของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะเมื่อการนำเข้าเติบโตขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องทุกปี ส่งผลให้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ด้วยแล้ว ทำให้ไม่สามารถปล่อยให้กลไกอัตราแลกเปลี่ยน แก้ไขปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วยตัวเองได้

    ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศ อธิบายอย่างชัดเจนว่า ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ การเปิดเสรีทางการเงิน โดยให้เงินทุนระหว่างประเทศเคลื่อนย้ายอย่างเสรี และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างอิสระ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกัน

    การเปิดเสรีการเงินทำให้เงินทุนไหลเข้ามีจำนวนมาก หากยังธำรงระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ย่อมทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีค่าสูงเกินความเป็นจริง ส่งผลซ้ำเติมภาคส่งออกและทวีความรุนแรงของปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จนนำมาซึ่งการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน เพราะคาดว่าค่าเงินในอนาคตต้องอ่อนตัวลง และอาจจบลงด้วยวิกฤตการณ์เงินตรา (Currency Crisis) นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่สะท้อน “ภาพความจริง” ของเศรษฐกิจ ยังบิดเบือนการดำเนินนโยบายจากระดับที่ควรจะเป็น

    ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2530 ธปท.เลือกดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน โดยปรับลดกฎระเบียบเพื่อให้เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศเข้าออกได้โดยเสรี ในขณะที่ไม่มีการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด เช่นนี้แล้ว อัตราแลกเปลี่ยนจึงไม่สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้

    ปี 2536 ธปท. ประกาศนโยบาย BIBF (Bangkok International Banking Facilities)โดยมีเป้าหมายเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค อัตราดอกเบี้ยระดับสูงมากของเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยโลก และสภาพเศรษฐกิจฟองสบู่ที่เต็มไปด้วยการคาดการณ์ในทางที่ดีของนักลงทุน ทำให้เงินทุนราคาถูกจากต่างประเทศไหลหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย การลงทุนเกินตัวโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง เกิดขึ้นในหลายภาคเศรษฐกิจ

    เงินทุนไหลเข้าจำนวนมากไม่ได้ถูกจัดสรรไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริงที่ก่อให้เกิดผลผลิตและรายได้ หากเป็นเงินทุนเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้น หรือนำไปปล่อยกู้ต่อเพื่อการบริโภคหรือเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเอกชนก่อหนี้ต่างประเทศจำนวนมาก เนื่องจากมีต้นทุนถูกกว่าการกู้ภายในประเทศและไม่ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารพาณิชย์ในประเทศทำตัวเป็นคนกลางที่กู้เงินนอกราคาถูกมาปล่อยกู้ในประเทศราคาแพง และมีการปล่อยกู้อย่างไม่ระมัดระวัง รวมถึงมีความฉ้อฉลในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินหลายแห่ง

    การเปิดเสรีทางการเงิน ด้วยความไม่พร้อม ไม่คำนึงถึงลำดับก่อนหลังในการดำเนินนโยบาย ไม่พัฒนา “สถาบัน” ที่เกี่ยวข้องให้เข้มแข็ง ไม่พัฒนาช่องทางการจัดสรรเงินทุน และไม่พัฒนากลไกการกำกับตรวจสอบ นำมาซึ่งวิกฤตการณ์การเงิน (Financial Crisis) ในบั้นปลาย

    สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ

    ถือเป็นความโชคร้ายของพลเอกชวลิตที่ระเบิดเวลาปะทุขึ้นในยุคของท่าน แต่จะกล่าวได้หรือไม่ว่า ถือเป็นความโชคร้ายของสังคมไทยเช่นกันที่ระเบิดปะทุขึ้นในยุคที่มีชายชื่อชวลิตเป็นนายกรัฐมนตรี

    จากคุณ : B.F.Pinkerton - [ 12 มี.ค. 48 22:26:37 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป