ชีวิตบั้นปลายของแต่ละคนควรมุ่งสร้างสิ่งดีงามให้เกิดกับสังคมที่อาศัยอยู่ เพราะ..เป็นโอกาสสุดท้ายของชีวิตแล้ว ไม่มีการแก้ตัวอีก
..................
ผมไม่อยากย้อนเรื่องราวในอดีตของท่านทั้งสองคนนี้เพราะคิดว่า อะไรที่ผ่านไปแล้วควรให้มันผ่านไป แม้จะรันทดแสนสาหัส ยากจะลืม แต่ถ้าเราไม่ขุดคุ้ยมันออกมามันก็ไม่เจ็บปวด เพราะมันอยู่ก้นบึ้งสุดท้ายของความทรงจำ ...อยากลืม แต่กลับจำ...
.............................
ปีพ.ศ.๒๕๑๙
เส้นทางโคจรของนักการเมืองหนุ่ม ผู้ได้รับการกล่าวขานจากคนในพรรคปชป.ว่า เป็นผู้ทรยศ กับ หนุ่มหน้ามลวัยใกล้ ๓๐ บัณฑิตหนุ่มจากม.เชียงใหม่ นักจัดรายการวิพากษ์การเมืองฝีปากกล้าได้โคจรมาบรรจบกันอย่างไม่น่าเชื่อ..
.............................
คนหนึ่งดิ้นรน กระทำทุกแนวทางให้ยืนอยู่บนเส้นทางตรงกันข้ามกับพรรคที่ตัวเองสังกัด ถ้าปชป.คือเทพ สมัครก็คือมาร แต่ถ้าปชป.คือมาร สมัครก็คือ เทพ
ปชป.เวลานั้นเป็นพรรครัฐบาล มีท่านมรว.เสนีย์ ปราโมชเป็นนายกฯ และมีนายสมัครนี่แหละครับ เป็น รมช.มหาดไทย
การเมืองสมัยนั้นเล่นกันรุนแรงมากโดยเฉพาะการเมืองนอกสภา เพราะไม่มีกรอบกติกาเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ใครหาพวกหาแนวร่วมได้มาก ไม่ว่าจะได้มาโดยวิธีการสกปรกเช่นใด ล้วนตั้งเป็นเงื่อนไขล้มล้างรัฐบาลได้ทั้งสิ้น
รัฐบาลเวลานั้นเป็นฝ่ายตั้งรับ กระทำนอกกติกาไม่ได้ เพราะได้อำนาจมาก็ด้วยนโยบายขายประชาธิปไตย ขจัดภัยเผด็จการ
น่าเสียดายที่ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างราบรื่น เพราะการเหลิงเสรีภาพจนสำลักออกมาของมวลชนกลุ่มต่างๆ ที่ตั้งป้อมเรียกร้องให้ได้มาเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของกลุ่มตน โดยมีรัฐบาลสมัยนั้นเป็นฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับทุกกลุ่มเพราะเป็นผู้ที่จำเป็นต้องทำหน้าที่ "สนองตอบข้อเรียกร้อง"
นายสมัครได้อาศัยสถานการณ์นี้สร้างกลุ่มของตัวเองขึ้นมา เมื่อปีกกล้าขาแข็งแล้ว ก็นำกลุ่มของตัวเองเข้าไปสานผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มขวาจัดที่สูญเสียอำนาจทางการเมืองแต่ยังมีอำนาจทางกองทัพ ร่วมกับนักการเมืองขวาจัดจำนวนหนึ่งซึ่งก็อยู่ในรัฐบาลของมรว.เสนีย์นี่เอง!! (ในรัฐบาลเดียวมีสองกลุ่มที่มีแนวนโยบายต่างกันโดยสิ้นเชิง เรียกว่า ขวา กับ ซ้าย)
การอภิปรายของนายสมัครที่เดินสายไปออกทุกเวทีคือ โจมตีรัฐบาล(ตัวเอง)และเชิดชูแนวความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ผู้คนชื่นชม ชอบใจ เพราะนายสมัครพูดเก่ง โน้มน้าวเก่ง สร้างภาพให้คล้อยตามเก่งว่า..หากเป็นตนจะทำให้สินค้าราคาถูกลงได้..บ้านเมืองสุขสงบได้..ประชาชนมีรายได้ดีขึ้นได้..ด้วยลมปาก
สื่อมวลชนเกือบทุกแขนงรายงานข่าวของนายสมัครมากกว่ารัฐมนตรีทั้งคณะในคณะรัฐบาลเสียอีก และเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันกับที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้วคือ ตั้งความหวังว่า นายคนนี้จะเป็น อัศวิน มากอบกู้วิกฤติการณ์ความขัดแย้งของบ้านเมืองและแก้ไขปัญหาของประชาชนได้
นายสมัครไปพูดทุกที่ได้รับเสียงปรบมือกึกก้อง ยกเว้น.. ที่ห้องประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันที่นายสมัครเรียนจบมา
นอกจากไม่มีเสียงปรบมือแล้ว ยังมีแต่เสียงโห่ร้องจากอาจารย์และนักศึกษาที่อยู่ในห้องประชุมเสียอีก
จนทำให้นายสมัครเป็นผู้อภิปรายคนเดียวที่เดินออกจากห้องประชุมหลังจากตัวเองพูดจบและไม่อยู่รับฟังเพื่อนๆ นักการเมืองคนอื่นๆ ที่จะอภิปรายต่อไป
ทำไมชาวธรรมศาสตร์เวลานั้นไม่ต้อนรับ
ต้องถามเลือดเหลืองแดงในเวลานั้นดูครับว่า ทำไมเกลียดนายสมัคร
ถ้าไม่รู้จะถามใครผมจะบอกให้..
ชาวธรรมศาสตร์เวลานั้น คือ สถาบันที่ได้ชื่อว่า นักศึกษาและครูอาจารย์ตื่นตัวทางการเมืองอย่างที่สุด ไม่มียุคสมัยไหนที่ชาวธรรมศาสตร์จะใกล้ชิดกับการเมืองเท่ากับสมัยนั้น
พวกเขาติดตามเหตุการณ์ตั้งแต่นายสมัครยังอยู่พรรคปชป. ได้ดิบได้ดีเป็นรมต.ของพรรคปชป. สร้างเงื่อนไขที่จะแยกตัวเองออกมาเอาดีคนเดียว แล้วด่ากราดพรรคเก่าที่สร้างตัวเองมาเพื่อสร้างค่านิยมในตัวเองขึ้นมาโดยมีผู้หนุนหลังเป็นผู้สูญเสียอำนาจเก่าที่นักศึกษาสถาบันนี้โค่นล้มไปเมื่อสามปีที่แล้ว!
ธรรมศาสตร์มิได้สอนให้ลูกศิษย์ลูกหาทำตัวอย่างนั้น
.....................
นายดุสิต ศิริวรรณ เป็นคนหนุ่มที่มาจากไหนไม่มีใครทราบ ไม่เคยปรากฏโฉมหน้าทางทีวีไม่ว่ารายการไหน แต่จู่ๆ ก็มีรายการพูดคุยเรื่องการเมืองที่นายดุสิตเป็นผู้ดำเนินรายการเกิดขึ้นมาในจอทีวีช่องหนึ่งซึ่งเป็นของกองทัพ เนื้อหาการดำเนินรายการ คือ เชิญผู้มีอำนาจเก่า นักวิชาการขวาจัด และนายทหารมาตั้งวง "ด่ารัฐบาล" ในเวลานั้นโดยเฉพาะ
ในขณะเดียวกัน เวทีสื่อสารมวลชนอื่นๆ เริ่มเคลื่อนไหวอย่างผิดสังเกต มีนสพ.ขวาจัดสุดๆ ที่ไม่เขียนข่าวอย่างอื่นเลยนอกจาก ไล่รัฐบาลขณะนั้น โดยการปลุกระดมผ่านตัวหนังสือทุกวัน เช่น นสพ.ดาวสยาม ที่ดับสูญไปแล้ว และฉบับหัวสีที่ยังขายอยู่ในเวลานี้บางฉบับบ
ในรายการวิทยุก็เกิดรายการคล้ายๆ กับ ร่วมด้วยช่วยกัน ในเวลานี้ขึ้นมา แต่เป็นการร่วมด้วยช่วยกันขับไล่รัฐบาลโดยมีนายทหารของกองทัพบกเป็นผู้ดำเนินรายการ
รัฐบาลของมรว.เสนีย์ ก็เหมือนพรรคปชป.ปัจจุบันนั่นแหละครับ คือ ปากเก่ง ปากดี แต่ กระทำการใดๆ เชื่องช้า และไม่กล้าใช้มาตรการเด็ดขาดทั้งๆ ที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ด้วยกลัวเสียภาพลักษณ์ พรรคคุณธรรมประชาธิปไตย กับอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำร้ายพรรคปชป.ตลอดเวลาจนถึงรัฐบาลยุคนายชวน คือ ถูกคานอำนาจโดยพรรคร่วมรัฐบาลที่มีแนวคิดตรงกันข้าม ทำให้ไม่สามารถบริหารงานได้อย่างสะดวก
ใครใคร่ด่า ก็ด่าไป ใครใคร่ยุก็ยุยงกันไป ฉันก็ทำงานของฉันตามที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน เชื่อว่า สักวันหนึ่งผลงานการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลจะชักนำประชาชนให้เข้าใจในตัวรัฐบาลมากขึ้น แม้ในระหว่างปี ๒๕๑๙ นายกและพลพรรคปชป. ต่างก็รู้ตัวดีว่า "มีขบวนการจ้องที่จะโค่นล้มรัฐบาลนี้โดยการจับกลุ่มของนักการเมืองในรัฐบาลเองกับกลุ่มอำนาจเก่าที่อยู่ข้างนอก"
รัฐบาลพลเรือนน่ะ ไม่มีอำนาจทางการทหาร(อย่างแท้จริง)ในมือนะครับ และหากนับอายุของประชาธิปไตยในรูปแบบพลเรือนก็เพิ่งจะสามปีเท่านั้นเอง ยังอ่อนแออยู่มากๆ อย่าว่าแต่รถถังวิ่งชนเลยครับ ลมพัดแรงๆ ก็ยืนโงนเงนแล้ว
เมื่อแนวร่วมทุกกลุ่มผลประโยชน์จับมือกันลงตัว แม้แต่ละกลุ่มจะมีผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง แต่ความมุ่งหมายเดียวกันหมด คือ ต้องล้มรัฐบาลประชาธิปไตยนี่เสียก่อน
ในที่สุดก็ใช้วิธีที่สกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ ปลุกม็อปชาวบ้านขึ้นมา สร้างสถานการณ์ให้เขม็งเกลียวจนสุกงอมด้วยการสร้างภาพ(แขวนคอ..)ตบตาประชาชนทั้งประเทศ แล้วให้พวกของตนผสมโรงเข้าไปบุกยึดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ จับคนเป็นๆ มาแขวนคอ ฆ่า แล้วเผา กลางสนามหลวง อ้างว่า นี่คือ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่แฝงตัวอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
ตายเป็นสิบ.. เป็นร้อย หรือ จำนวนหลายร้อย..
ถ้ารายงานของทางราชการก็ตายเป็นสิบ แต่ถ้าสำรวจจากจำนวนนักศึกษาและประชาชนที่สาปสูญไปจากเหตุการณ์วันที่ ๑๖ ตค.๑๙ ก็หลายๆ ร้อยคน
........................
รัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียรขึ้นมาแทนที่หลังการก่อการปฏิวัติของพลรอ.สงัด ชลออยู่...
ครม.รัฐบาลหอย (ชื่อที่สื่อมวลชนตั้ง เพราะมีทหารเป็นเปลือกหอยหุ้ม) มีชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นรมต.มหาดไทย และนายดุสิต ศิริวรรณเป็นรมต.สำนักนายก
................................
เอาล่ะครับ..
ต่อไปนี้เป็นไฮไลท์ของกระทู้นี้ เป็นหลักฐานที่ว่า ทำไมจึงเกิดการรัฐประหารขึ้นในเดือนตุลา ปี ๒๕๑๙ อุบัติเหตุทางการเมืองที่นำไปสู่การรัฐประหาร หรือ มีการวางแผนไว้เนิ่นนานแล้ว..
ปล. กรุณาอ่านแล้วพิจารณาด้วยสติสัมปชัญญะที่ดีด้วยนะครับ การแสดงความคิดเห็นใดๆ ต้องยึดมั่นในกรอบกติกาของบ้านเมือง (ไม่ใช่ของพันทิป)
ใครเป็นใครในกรณี 6 ตุลา
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
สงัด ชลออยู่, ธานินทร์ กรัยวิเชียร และแผนรัฐประหารปี 2519
ในหนังสือ บันทึกการปฏิวัติ 1-3 เมษายน 2524 กับข้าพเจ้า (2525), บุญชนะ อัตถากร ได้ตีพิมพ์เป็นหนึ่งในภาคผนวก บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2520 เกี่ยวกับการสนทนาระหว่างเขากับ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ระหว่างงานศพ พล.อ.แสวง เสนาณรงค์ ที่มีขึ้นในคืนก่อนหน้านั้น เนื้อหาของบันทึกดังกล่าว (หน้า 186-187) มีดังนี้:
ระหว่างสวดพระอภิธรรม ข้าพเจ้าได้คุยกับพลเรือเอกสงัด เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน คำบอกเล่าต่างๆของคุณสงัดในฐานะเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูป 6 ตุลาคม 2519 และในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นความรู้ซึ่งคงไม่ค่อยมีคนทราบ ข้าพเจ้าจึงขอบันทึกไว้ดังต่อไปนี้....
คุณสงัดเล่าให้ฟังว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2519 มีข่าวลืออยู่ทั่วไปว่า จะมีทหารคิดก่อการปฏิวัติ เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ฝ่ายซ้ายกำลังฮึกเหิมและรบกวนความสงบอยู่ทั่วไป จึงได้กราบบังคมทูลขึ้นไปยังในหลวงที่เชียงใหม่ซึ่งประทับอยู่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ในขณะนั้นว่า จะขอให้คุณสงัดซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (กับพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการฯ) กับพลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบก พลอากาศเอกกมล เดชะตุงคะ ผู้บัญชาการทหารอากาศขึ้นไปเฝ้า แต่ในหลวงโปรดเกล้าฯให้คุณสงัดเข้าเฝ้าคนเดียว ทั้งๆที่ตั้งใจว่าถ้าเข้าเฝ้าทั้ง 3 คนก็จะได้ช่วยกันฟังนำมาคิดและปฏิบัติโดยถือว่าเป็นพรสวรรค์
เมื่อคุณสงัดไปเฝ้าในหลวงที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์นั้นได้ไปโดยเครื่องบิน เข้าเฝ้าคนเดียวอยู่ราว 2 ชั่วโมงครึ่งในตอนบ่าย ไปวันนั้นและกลับในวันเดียวกัน คุณสงัดบอกว่าไม่เคยเข้าเฝ้าในหลวงโดยลำพังมาก่อนเลย คราวนี้เป็นครั้งแรก ได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่าเป็นที่น่าวิตก ถ้าปล่อยไปบ้านเมืองอาจจะต้องตกอยู่ในสถานะอย่างเดียวกับลาวและเขมร จึงควรดำเนินการปฏิวัติ
คุณสงัดเล่าต่อไปว่า อยากจะได้พรจากพระโอษฐ์ให้ทางทหารดำเนินการได้ตามที่คิดไว้ แต่ในหลวงก็มิได้ทรงรับสั่งตรงๆ คงรับสั่งแต่ว่าให้คิดเอาเองว่าจะควรทำอย่างไรต่อไป
คุณสงัดเห็นว่า เมื่อไม่รับสั่งตรงๆก็คงดำเนินการไม่ได้ จึงกราบบังคมทูลว่า ถ้าทางทหารยึดอำนาจการปกครองได้แล้วก็มิได้ประสงค์จะมีอำนาจเป็นใหญ่ต่อไป จึงอยากจะให้ฝ่ายพลเรือนเข้ามาบริหารประเทศ สมมุติว่าถ้ายึดได้แล้วใครจะควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากนั้น เสร็จแล้วคุณสงัดก็ได้กราบบังคมทูลรายชื่อบุคคลที่น่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีทีละชื่อ เพื่อจะได้พระราชทานความเห็น
คุณสงัดเล่าว่า ได้กราบบังคมทูลชื่อไปประมาณ 15 ชื่อ รวมทั้งคุณประกอบ หุตะสิงห์ หลวงอรรถสิทธิสุนทร คุณประภาศน์ อวยชัย คุณเชาว์ ณ ศีลวันต์ ด้วย แต่ก็ไม่ทรงรับสั่งสนับสนุนผู้ใด
เมื่อไม่ได้ชื่อบุคคลที่น่าจะเป็นนายกได้และเวลาก็ล่วงไปมากแล้ว คุณสงัดก็เตรียมตัวจะกราบบังคมทูลลากลับ แต่ก่อนจะออกจากที่เฝ้า ในหลวงได้รับสั่งว่า จะทำอะไรลงไปก็ควรจะปรึกษานักกฎหมาย คือ คุณธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิพากษาศาลฎีกาเสียด้วย คุณสงัดบอกว่าไม่เคยรู้จักคุณธานินทร์มาก่อนเลย พอมาถึงกรุงเทพฯก็ได้บอกพรรคพวกทางทหารให้ทราบแล้วเชิญคุณธานินทร์มาพบ
คุณสงัดบอกว่าได้ถามคุณธานินทร์ว่า ได้คุ้นเคยกับในหลวงมานานตั้งแต่เมื่อใด คุณธานินทร์บอกว่าไม่เคยเข้าเฝ้าในหลวงใกล้ชิดเลย แต่อย่างไรก็ดีคุณสงัดก็ได้เริ่มใช้ให้คุณธานินทร์เตรียมคำแถลงการณ์ต่างๆและเอกสารต่างๆให้พร้อม พิจารณาแล้วก็เก็บไว้ในตู้นิรภัยอย่างเอกสารลับ เพื่อจะนำไปใช้หลังจากการปฏิวัติแล้ว
คุณสงัดบอกต่อไปว่า ได้รอคอยโอกาสที่จะยึดอำนาจการปกครองอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้จังหวะ จนในที่สุดก็เกษียณอายุต้องออกจากราชการ เมื่อ 1 ตุลาคม 2519 เพื่อนฝูงนายทหารผู้ใหญ่ก็หาว่าคุณสงัดเตะถ่วง ซึ่งความจริงจะว่าจริงก็ได้ เพราะยังไม่มีเหตุผลหรือเหตุการณ์จะให้ทำเช่นนั้นได้ง่ายๆ และในหลวงก็ไม่ได้รับสั่งสนับสนุน
โดยที่คุณธานินทร์ได้ร่วมงานก่อการมาด้วยกันดังกล่าว คุณสงัดบอกว่า จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะไม่กราบบังคมทูลให้ในหลวงตั้งคุณธานินทร์เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนข่าวลือที่ว่าคุณสงัดเสนอ 3 ชื่อ คือ คุณประกอบ คุณประภาศน์ และคุณธานินทร์ และในหลวงเลือกคุณธานินทร์นั้น ก็เป็นเรื่องเล่าๆกันไปอย่างนั้นเอง
ธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้ยืนยันต่อ ยศ สันตสมบัติ (ในหนังสือ อำนาจ บุคลิกภาพ และผู้นำการเมืองไทย, 2533, หน้า 136) ว่า
"ผมไม่เคยเข้าเฝ้าหรือได้รับพระราชกระแสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ผมก็ได้รับทราบจากคุณสงัด ชลออยู่ตามนั้น"
คำถามที่น่าสนใจคือ เหตุใดจึงทรงแนะนำให้พล.ร.อ.สงัดไปปรึกษากับธานินทร์ ทั้งๆที่ฝ่ายหลัง "ไม่เคยเข้าเฝ้าใกล้ชิดเลย"?
แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 48 09:08:17
จากคุณ :
*bonny
- [
วันจักรี 08:36:03
]