หนังสือพิมพ์สยามรัฐ คอลัมน์คิดระหว่างวัน 22/4/2548
กระแสข่าวการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.2540 ได้ถูกปลุกกระแสขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจากหลายกลุ่มการเมือง รวมทั้งกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มนักวิชาการต่างๆ ตามแต่เหตุผลที่จะยกขึ้นมากล่าวอ้างกัน
ประเด็นที่ผมเห็นว่า เป็นเรื่องที่จะต้องนำมาเป็นข้อพิจารณาก็คือ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 297 วรรค 3 ที่ได้บัญญัติไว้ว่า การสรรหาและการเลือกกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้นำบทบัญญัติมาตรา 257 และมาตรา 258 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้โดยให้คณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจำนวนสิบห้าคน ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคลทุกแห่งซึ่งเลือกกันเองให้เหลือเจ็ดคน ผู้แทนพรรคการเมืองทุกพรรค ที่มีสมาชิกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคละหนึ่งคน ซึ่งเลือกกันเองให้เหลือห้าคนเป็นกรรมการ
เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตรา 297 วรรค 3 นี้แล้ว ก็จะทำให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายในองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการปปช. ที่กำหนดให้ต้องมีตัวแทนพรรคการเมืองพรรคละ 1 คน จำนวน 5 คน แต่ข้อเท็จจริงในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันนี้ปรากฏว่า มีพรรคการเมืองที่มีส.ส.อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรเพียง 4 พรรคการเมืองเท่านั้น การจะได้ผู้แทนพรรคการเมืองตามองค์ประกอบของรัฐธรรมนูญมาตรานี้เข้าไปเป็นคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการปปช. จึงไม่สามารถจะดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตรานี้ได้
ความเห็นของนักการเมืองบางคนอย่างเช่น นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในฐานะอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ฉบับนี้ด้วย ได้ให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวว่า ถ้ามีปัญหาการตีความกัน ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องเป็นผู้วินิจฉัย ว่าจะให้อนุโลมใช้ 4 พรรคการเมืองที่มีอยู่ หรือต้องแก้ไขกันใหม่
ผมขอมีความเห็นแย้งความเห็นของนายพงษ์เทพต่อประเด็นนี้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่มีฐานะเป็นที่ปรึกษากฎหมายของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นข้อขัดแย้งในทางปฏิบัติระหว่างองค์กร ที่ได้กำหนดเอาไว้เป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 266 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า -ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ ให้องค์กรนั้นหรือประธานรัฐสภา เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
ผมจึงไม่แน่ใจว่า การจะยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมายที่ได้มีการกำหนดในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 297 วรรค 3 องค์กรใดจะเป็นเจ้าของเรื่องในเรื่องดังกล่าวนี้ แล้วศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้วินิจฉัยหรือไม่ ก็ยังเป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่มีใครจะสามารถคาดเดาล่วงหน้าได้
หากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัย การจะ ผ่าทางตัน ในเรื่องนี้ ก็อาจจะต้องนำไปพิจารณาแก้ไขบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แล้วจะมีการโดยสารแก้ไขในประเด็นอื่นๆ ไปด้วยหรือไม่ ? ก็ยังไม่มีใครจะให้คำตอบที่ชัดเจนได้
เพราะทางตันที่เกิดขึ้นในประเด็นเรื่องนี้ คนที่ก่อให้เกิดทางตันก็คือ พวกยกร่างรัฐธรรมนูญชุดที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน และในอดีตก็เคยเป็นหัวหน้ารัฐบาลเผด็จการสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) มาแล้ว
การที่จะโผล่หัวออกมารับผิดชอบในทางตันดังกล่าว ก็คงไม่ใช่อุปนิสัยของนายอานันท์ ปันยารชุน
ดุสิต ศิริวรรณ
แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 48 06:36:06
จากคุณ :
ประชาชนคนหนึ่ง
- [
22 เม.ย. 48 06:34:41
]