CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    บทความวิจารณ์การเมืองที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านมาในชีวิตนี้

    ทักษิณ ชินวัตร VS ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ : ภารกิจที่ควรจะเป็นของนายกรัฐมนตรี

    โดย เซี่ยงเส้าหลง 17 พฤษภาคม 2548 00:37 น.

    ที่มา http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000064785


          และแล้ว -- พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก็เปิด “วิวาทะ” กับวงการหนังสือพิมพ์อีกครั้งหนึ่งในรายการ “นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน” ครั้งล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2548 ครั้งนี้แตกต่างกว่าครั้งอื่น ๆ คือท่านระบุชื่อนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งออกมาตรง ๆ ไม่ใช่พูดลอย ๆ หรือบอกอักษรย่อ
         
          “ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์”
         
          นักหนังสือพิมพ์คนที่ได้รับเกียรติจากนายกรัฐมนตรีนำไปประกาศนามผ่านวิทยุที่เผยแพร่ไปทั่วประเทศคนนี้เป็นศิษย์เก่านิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ 16 อายุ 40 ต้น ๆ นอกจากจะมีตำแหน่งเป็นรองบรรณาธิการอำนวยการ นสพ.มติชน แล้วยังเป็นอุปนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
         
          เริ่มต้นจากนายกรัฐมนตรีไม่พอใจพาดหัวข่าวของนสพ.มติชนฉบับวันที่ 11 พฤษภาคม 2548
         
          “ธรรมาภิบาลรัฐบาลไทยเสื่อม / สอบตกคุมโกง / ธนาคารโลกให้แค่ 49 %”
         
          นำมาสู่การตำหนิต่อสาธารณะว่าพาดหัวไม่ตรงประเด็นข่าว และชี้แจงเนื้อหาที่ควรจะเป็นในมุมมองของนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งตัดพ้ออย่างมีอารมณ์ว่าไม่ให้เกียรติรัฐบาล
         
          ส่งผลให้ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2548 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์ชี้แจงการทำงานโดยรวม ยืนยันในการใช้วิจารณญาณพาดหัวข่าวที่ถูกต้อง และย้อนนายกรัฐมนตรีในประเด็นที่กำลังเป็น “จุดอ่อน” อย่างยิ่ง ณ วันนี้
         
          “แทนที่จะสร้างหลักการใหม่ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนว่า ต้องไม่เสนอข่าวด้านลบต่อรัฐบาล นายกรัฐมนตรีน่าจะเร่งตรวจสอบปมการทุจริตที่กำลังผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าเรื่องการทุจริตโครงการจำนำข้าวหอมมะลิ การจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดสนามบินสุวรรณภูมิ การจัดซื้อกล้ายางมูลค่านับพันล้านบาท และ ฯลฯ ให้ได้ความกระจ่าง เพื่อสถาปนาธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นจริงในการบริหารราชการแผ่นดินมากกว่า”
         
          แทนที่นายกรัฐมนตรีจะได้คิด กลับเตลิดเปิดเปิงไปไกลในรายการทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยที่ท่านยึดเป็นเวทีพูดข้างเดียวมา 4 ปี
         
          น่าเสียดายที่ “ผู้ใหญ่” อย่างท่านละทิ้ง “ความเป็นผู้ใหญ่” ออกไปในปริมาณที่น่าเป็นห่วง
         
          จริงอยู่ไม่มีใครไม่ยอมรับในความเป็นคนถึงลูกถึงคนประเภทประดาบก็เลือดเดือดของท่าน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา 4 ปีเข้านี่แล้วท่านยังไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมอารมณ์อีกหรือ
         
          พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร “ติดใจ” อะไรกันนักหนากับนักหนังสือพิมพ์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ไม่มีอำนาจวาสนาอะไร


     
    พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร , ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์


          ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์เป็นเลือดใหม่ในวงการหนังสือพิมพ์ไทยคนหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาในรอบ 10 ปีนี้
         
          ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์เป็นพนักงานกินเงินเดือนประจำ มีวัตรปฏิบัติที่เพื่อนร่วมอาชีพยอมรับกันในความซื่อสัตย์สุจริตและยึดถือจรรยาบรรณ
         
          ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์บุกเบิกการนำเสนอข่าวในแนวสืบสวนสอบสวน หรือ Investigative Reporting ในหนังสือพิมพ์รายวันได้อย่างมีพลัง ข่าวเชิงเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลในกรณีต่าง ๆ ที่เกิดจากการฉ้อฉลและบิดเบือนการใช้อำนาจรัฐ (Corrupt & Abuse) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องใน “ประชาชาติธุรกิจ” และ “มติชน” ในช่วงที่เขารับหน้าที่ในฝ่ายบริหารตั้งแต่ประมาณปี 2541 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
          ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ยังมีผลงานชิ้นหนึ่งที่ไม่อาจลืม คือ ข่าวทุจริตเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่คดีเพิ่งจะถึงที่สุดเมื่อไม่นานมานี้ หลังเวลาผ่านไป 17 ปี
         
          ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่สามารถใช้เครื่องมือใหม่ ๆ ทางรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครองใหม่ ๆ มาเป็นตัวช่วยในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสมควรเป็นแบบอย่างที่นักหนังสือพิมพ์ทั่วไปควรจะศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ช่องทางตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
         
          การเปิดประเด็นกรณี “ซุกหุ้น” ในนสพ.ประชาชาติธุรกิจเมื่อปลายปี 2543 คือหนึ่งในผลงานของเขา
         
          หรือจะให้สังคมไทยคิดและเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรยัง “ฝังใจ” ในกรณีนั้น ?
         
          ไม่เชื่อจริง ๆ ว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทยจะ “ทารก” ขนาดนั้น
          เป็นไปไม่ได้ที่ขนาดของ “ความเป็นผู้ใหญ่” ของนายกรัฐมนตรีคนนี้จะ “ด้อยกว่า” อย่างเทียบกันไม่ได้กับนักหนังสือพิมพ์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
         
          ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ทำงานไปตามหน้าที่ของความเป็นสื่อมวลชนที่ดี ไม่ได้ “ฝังใจ” อะไรกับใคร ไม่มี “วาระซ่อนเร้น” ไม่ว่าจะเพื่อผลประโยชน์ลักษณะหนึ่ง
          ลักษณะใดหรือเพียงเพื่อจะพิสูจน์อัตตา เมื่อบรรยากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน ทำให้การทำงานในแนวทางที่ยึดมั่นมีอันต้องไม่สุกเท่าที่ควร เขาก็ไม่ลังเลกับการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งบรรณาธิการบริหารข่าวนสพ.มติชนเมื่อปี 2545
         
          มติชน...ก็มติชน
         
          ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์...ก็ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์
         
          สมาคมนักข่าวฯ...ก็สมาคมนักข่าวฯ
         
          ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปผูกโยงเรื่องว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์คนเดียว
         
          และยิ่งไม่มีเหตุผลใหญ่ที่ “ทวงบุญคุณ” เอากับคนในวงการหนังสือพิมพ์ทั้งหมด
         
          ในรายการ “นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน” เมื่อวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2548 ท่านแผ่นเสียงตกร่องอีกครั้งหนึ่งแล้ว
         
          “ถ้าตอนประเทศแย่อย่างคราวที่ผ่านมานี่นะครับ พอประเทศพังนี่เป็นไง...ตกงาน....เปิดท้ายขายของกันอุตลุด แต่พอประเทศดีขึ้นมา...”
         
          นี่เป็นครั้งที่ 2 เท่าที่จำได้ว่าท่านย้อนพูดถึงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 และการเปิดท้ายขายของของคนหนังสือพิมพ์บางส่วน พูดเหมือนกับว่าถ้าท่านไม่เข้ามาบริหารประเทศ ประเทศจะไม่ฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ และคนหนังสือพิมพ์ก็จะตกงานกันต่อไป ต้องเปิดท้ายขายของกันต่อไป
         
          ทั้ง ๆ ที่มันคนละเรื่อง คนละขั้นตอนกันโดยสิ้นเชิง
         
          และที่สำคัญมันคนละปรัชญากัน
         
          ความสุขของมนุษย์ไม่ได้วัดกันด้วยทรัพย์สินเงินทองสถานเดียว
         
          ท่านนายกฯไม่น่าจะลืมบทเรียนจากวาทะ “อยากรวยให้เลือกพรรคไทยรักไทย” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ที่ทำให้พรรคไทยรักไทยแพ้เลือกตั้งซ่อมที่สงขลาเขต 3 นะ
         
          ไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่าพรรคไทยรักไทยมีแนวทางการบริหารประเทศที่สอดคล้องกับสถานการณ์เฉพาะหน้าเมื่อปี 2544 และทำให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ภายใต้ภาพรวมนี้ถ้าจะอภิปรายถ้าจะตั้งคำถามกันอย่างชนิดมองป่าทั้งป่าแล้ว ก็ให้ระวังและเตรียมคำตอบไว้ให้ดี
         
          เพราะถ้าท่านนายกฯยังไม่เลิกทวงบุญคุณคนไทย คนไทยก็เริ่มตั้งคำถามเหล่านี้ต่อท่านด้วยเสียงที่ดังขึ้น ๆ จากซุบซิบถามกันมาเป็นตะโกนถาม จากตะโกนคนเดียวมาเป็นเปล่งเสียงพร้อมกัน
         
          “เมื่อวันลดค่าเงินบาท 2 กรกฎาคม 2540 – ใครได้ ? ใครเสีย ?”
         
          “เศรษฐกิจดีขึ้นที่ว่านี้ ดีกับใคร – คนจนได้เท่าไร ? กลุ่มทุนทั่วไปได้เท่าไร ? กลุ่มชินคอร์ปและพันธมิตรได้เท่าไร ?”
         
          “เสียสละทำงานการเมืองมา 4 – 6 ปี ตระกูลชินวัตรและวงศ์วานว่านเครือมั่งคั่งขึ้นเท่าไร ? เปรียบเทียบกับถ้าทำธุรกิจอย่างเดียวโดยไม่เสียสละเข้ามาทำงานการเมืองแล้ว อย่างไหนจะมั่งคั่งกว่ากัน ? เท่าไร ? กี่เท่า ?”
         
          ฯลฯ

    จากคุณ : การเมืองอิสระ - [ 17 พ.ค. 48 06:28:10 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป