ความคิดเห็นที่ 11
ผมใคร่จะแสดงให้พวกเราเห็นว่า การต่อสู้เรื่องภาษา ในแนวคิดหลังอาณานิคมหรือ post colonialism เขาต่อสู้กันอย่างไร ดังตัวอย่างที่ผมจะอ่านให้เราฟังดังต่อไปนี้
ข้อความต่อไปนี้เขียนโดยนักเขียนชาวเคนย่า ที่ใช้ภาษาอังกฤษ ชื่อว่า Ngugi Wa Thiong'o :
"ภาษาอังกฤษกลายมาเป็นภาษาการศึกษาที่เป็นทางการของข้าพเจ้า. ในประเทศเคนย่า ภาษาอังกฤษมันเป็นอะไรที่มากกว่าภาษาหนึ่งเท่านั้น: กล่าวคือ มันคือภาษา และคนอื่นทั้งหมดจะต้องค้อมศีรษะให้กับมันด้วยความเคารพ. ด้วยเหตุนี้ หนึ่งในประสบการณ์ที่น่าอายและถูกหลู่เกียรติมากที่สุดก็คือ การถูกจับได้ว่าพูดภาษา Gikuyu ในบริเวณใกล้เคียงกับโรงเรียน. ผู้กระทำผิดหรือความจริงน่าจะเรียกว่านักโทษ จะถูกลงโทษทางร่างกาย - ด้วยการใช้ไม้เรียวตี 3-5 ที ด้วยการถกกางเกงขึ้นมาแล้วเฆี่ยนลงไปที่ก้นอันเปลือยเปล่า - หรือไม่ก็ถูกทำโทษด้วยการสวมแผ่นเหล็กเอาไว้ที่คอ โดยมีข้อความจารึกบนแผ่นโลหะดังกล่าว เช่น "ผมเป็นคนโง่" หรือ "ผมเป็นเจ้าลาโง่" (Ngugi, 1986)
อันนี้แสดงภาพให้เราเห็นว่า การใช้ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาที่เป็นทางการนั้น ได้ไปลดทอนคุณค่าภาษา Gikuyu อย่างไร และทำให้ภาษาท้องถิ่นเป็นภาษาที่ด้อยกว่าในสายตาของคนที่ใช้ภาษาพื้นเมืองจนคล่องลิ้นหรือเป็นเจ้าของภาษา. ดังที่ Ngugi Wa Thiong'o เริ่มที่จะเห็นและคิดจากมุมมองหรือทัศนียภาพแบบชาวยุโรป
ชาวแอฟริกันทั้งหลายกลายเป็นสิ่งแปลกแยกจากวัฒนธรรมของตัวเอง และนำไปสู่การดูถูกเพื่อนร่วมชาติทั้งชายหญิง ผู้ซึ่งมิได้นำเอาวิถีทางและคำของชาวยุโรปมาใช้. ในวิธีการนี้ การครอบงำทางเศรษฐกิจและการเมืองของชาวยุโรป - ลัทธิจักรวรรดิ์นิยม การสถาปนาจักรวรรดิ์ - จึงได้รับการสนับสนุนโดยผ่านการควบคุมทางด้านภาษา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ประสบการณ์อันเจ็บปวดนี้ ทำให้ Ngugi Wa Thiong'o กลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงของประเทศเคนย่าที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แต่คนไทยไม่รู้จักมากเท่าไหร่. อย่างไรก็ตาม หนังสือที่ผมอ่านอยู่ในปัจจุบันซึ่งพูดถึง Ngugi Wa Thiong'o ได้บอกว่า เขาได้บอกลาการเขียนงานวรรณกรรมของเขาด้วยภาษาอังกฤษ ในคำนำของหนังสือเล่มสุดท้ายที่เขาเขียนด้วยภาษาต่างประเทศนี้ เขาได้บอกกับผู้อ่านว่า นี่คือคำอำลาของการใช้ภาษาอังกฤษของข้าพเจ้า และต่อจากนี้ไปจะมีก็แต่ภาษา Gikuyu และ Kiswahili เท่านั้น
คำถามที่ตั้งขึ้นมาทั้งหมด หรือสิ่งทั้งหลายที่ผมแกะและถอดระหัสให้พวกเราดู เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่า เราต้อนรับผู้นำ 21 ประเทศในการประชุม APEC ครั้งนี้ในแบบที่เราแสดงตัวเป็นเพศหญิง และเรามีลักษณะ passive อย่างไรบ้าง
ผมอยากจะให้พวกเราตั้งคำถามดูว่า เรามีวิธีการต้อนรับแขกเมืองในลักษณะอื่นหรือไม่ เช่น ใช้กองสบัดชัยของล้านนา, ฟ้อนเจิงของชาวเหนือ, แห่สิงโตของคนจีนในเมืองไทย, ผีตาโขนของคนภาคอีสาน, โนราของชาวใต้, ลำตัดของคนภาคกลาง ฯลฯ คุณจะนำเอาวัฒนธรรมเหล่านี้มาตกแต่งและต้อนรับแขกเมืองได้หรือไม่ ซึ่งแสดงออกถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสังคมไทยได้อย่างงดงาม
หรือจะให้สูงส่งกว่านั้นคือ การแสดงของกรมศิลปากรที่เรายกย่องกันหนักหนา เรานำมาต้อนรับได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโขน, งิ้วจีนสำเนียงไทยได้หรือไม่, วัดพระแก้วของเราเป็นยังไง, ส้มตำไก่ย่าง, ต้มยำกุ้ง อันนี้ดีกว่าครัวการบินไทยที่เสริฟอาหารในชุดตะวันออกพบตะวันตก แล้วประเคนด้วยดอกกล้วยไม้บนจานเบญจรงค์ เพื่อบอกเป็นนัยว่า ฉันพร้อมแล้วที่จะถูกกินไหม
จะเห็นว่า ในขณะที่เราทำทุกอย่างออกมาเพื่อจะให้ดูดีที่สุด เราเลือกที่จะแสดงตัวของเราเองออกมาเป็นเพศหญิงอย่างชัดเจน โดยให้ชาวตะวันตกและแขกต่างๆประเทศทั้งหลายที่มาประชุมคราวนี้เป็นเพศชาย. ชาวตะวันตกเองก็มองตัวเองเป็นเพศชายมาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสองปีที่ผ่านมาซึ่งเกิดเหตุการณ์ 9/11, ตึก World Trade ถูกถล่มโดยผู้ก่อการร้าย ตึกเพนตากอน กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯก็พังพินาศไปแถบหนึ่งซึ่งได้รับความบอบช้ำไม่น้อย. สิ่งที่ต้องสังเวย หรือบูชายัญตึกแฟดคู่นี้ก็คือ ตึกหลังแรกถูกบูชายัญโดยประเทศอัฟกานิสถาน, และตึกหลังที่สองถูกบูชายัญโดยประเทศอิรัก
ปฏิบัติการเกี่ยวกับการบังคับให้ประเทศอื่นต้องบูชายัญตึกแฟดคู่นี้ ก็คือปฏิบัติการแบบผู้ชายอย่างเต็มตัว ยกตัวอย่างเช่นปฏิบัติการที่ได้รับการตั้งชื่อว่า Anaconda Operation ซึ่งเป็นปฏิบัติการทะลุทะลวงเข้าไปในถ้ำซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะ
Anaconda คืองูยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกา ซึ่งหมายถึงองคชาตินั่นเอง องคชาติขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปอเมริกา ทะลุทะลวงเข้าไปในถ้ำ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ากองกำลังสหรัฐฯมองว่ามันคือโยนีของอัฟกานิสถาน. ลองพิจารณาดูชื่อที่ตั้งนี้ในปฏิบัติการทางทหาร แล้วถอดระหัสมันออก จะเห็นชัดเจนว่า เรื่องเพศหรือผู้ชายเป็นใหญ่มันครอบงำสังคมอเมริกันอยู่ตลอดเวลา
ก่อนสุดท้าย ซึ่งอยากให้พวกเราดูเรื่องตลกนิดหน่อยก็คือ, หลังจากที่ดูการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ APEC บนจอทีวีจบลงทุกครั้ง จะมีประโยควลีตามมาเสมอเป็นการปิดท้ายว่า "โลกของความแตกต่าง หุ้นส่วนแห่งอนาคต" แต่สิ่งที่พวกเราได้พบเห็นบ่อยๆในช่วงนี้ก็คือ การประชาสัมพันธ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ตามมา เกี่ยวกับขอความร่วมมือประชาชนให้แจ้งเบาะแสของบุคคลที่น่าสงสัยว่าจะมาก่อการร้ายในช่วง APEC
ในภาพที่เสนอผ่านจอทีวี จะเห็นทุกคนตกใจหมด เมื่อเห็นหน้าบุคคลที่น่าสงสัยว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นคนที่มีผิวดำแดง มีหนวดเครา และคล้ายกับชาวอาหรับ อันนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า "โลกของความแตกต่าง หุ้นส่วนแห่งอนาคต", แต่ไม่มีคนตะวันออกกลางและมุสลิมอยู่ด้วย
ในด้านต่อมาซึ่งอยากจะชวนพวกเรามองในเรื่องของ passive ในคำขวัญนี้ "โลกของความแตกต่าง หุ้นส่วนแห่งอนาคต". หลังจากที่พูดมาทั้งหมดนี้ คำที่สวยหรูนี้ถอดเป็นภาษาแบบชาวบ้านง่ายๆได้ก็คือ "ถึงแม้ว่าเราจะต่างกัน แต่เราก็ผสมพันธุ์กันได้"
สรุป ผมคิดว่ารัฐบาลของเรานี้ที่จริงเป็นชาวบ้านมาก ทั้งนี้เพราะในภาษิตของไทยเราซึ่งมักจะได้ยินอยู่เสมอก็คือ "การเลี้ยงดูปูเสื่อ" ผมคิดว่าทั้งหมดของการต้อนรับการประชุม APEC คราวนี้กับผู้นำชาติต่างๆ เป็นการเลี้ยงดูปูเสื่อระดับชาติในเชิงสัญลักษณ์ที่ค่อนข้างชัดเจน ฉะนั้น APEC จึงแปลเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะถอดคำย่อนี้ออกมาว่า Asia Pacific Erotic Conference
และผมขอเตือนพวกเราทุกคนว่า "ควรระวังมดลูกของเราให้ดี" ขอบคุณครับ
จากคุณ :
แมวขาว
- [
18 พ.ค. 48 15:52:14
]
|
|
|