CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ในสมรภูมิต่อสู้กับพันธมิตรกังฉินของแผ่นดิน

    โดย เซี่ยงเส้าหลง 20 พฤษภาคม 2548 00:36 น.


    คุณชุมพล ศิลปอาชา ส.ว.กทม. ส่งเอกสารปึกใหญ่มาให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ เพื่อโต้แย้งความคิดเห็นประเด็น“ส.ว.ไม่รักในหลวง” ที่นำเสนอไปในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์วันที่ 13 พฤษภาคม 2548 มีประเด็นที่ควรค่าแก่การอรรถาธิบายให้ครบถ้วนจบสิ้นกระแสความกัน ณ ที่นี้

    เพราะนอกจากจะเป็นเรื่อง “ข้อเท็จจริง” แล้ว

    ยังเป็นเรื่องในระดับ “ปรัชญา” ด้วย

    คุณชุมพล ศิลปอาชา เขียนไว้ในบทความที่ส่งมาให้ในลักษณะยอมรับว่าคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาเป็นคนดี มีฝีมือ มีผลงานเป็นที่ชื่นชอบของสังคมทุกฝ่าย แต่ก็ยืนหยันหนักแน่นว่าต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายที่ในความเห็นของท่านเห็นว่าคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินทันทีตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย (วันที่ 6 กรกฎาคม 2547) โดยไม่ต้องมีประกาศพระบรมราชโองการ

    คุณชุมพล ศิลปอาชา ยังมีแนวโน้มในทางมิจฉาทิฐิไปถึงขั้นที่ว่าคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาไม่มีสถานภาพเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินมาตั้งแต่ต้น

    “หากเราแยกแยะคุณงามความดีของคนกับกฎเกณฑ์ กติกา และกฎหมาย ออกจากกัน เรื่องน่าจะง่ายเข้า”

    “หากไม่มีการแยกแยะออกจากกันระหว่างคุณงามความดี ความนิยมชมชอบในตัวบุคคล กับกฎเกณฑ์ กติกา และกฎหมาย เรื่องน่าจะไม่ยุติโดยง่าย”

    นี่เป็นความคิดเห็นในเชิง “ปรัชญา” ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

    อย่างน้อยก็น่าเป็นห่วงในคุณงามความดีที่สั่งสมมาตลอดชีวิตของคุณชุมพล ศิลปอาชาเอง ที่เพราะความคิดเห็นเช่นนี้ชักนำให้ท่านต้องมารับบทออกหน้าชี้แจงแทนนายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ที่กำลังอยู่ในจุดวิกฤตของชีวิต

    กรณีที่เกิดขึ้นกับคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา 2 ปีมานี้ โดยเนื้อแท้แล้วไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย

    หากแต่เป็นเรื่องของการต่อสู้อันแหลมคมทางการเมือง

    ระหว่างพันธมิตรกังฉินของแผ่นดินกับคนที่รักในหลวงบูชาในหลวงด้วยปฏิบัติบูชา

    เป็นเรื่องที่นอกจากจะแยกไม่ออกแล้ว ยังเกี่ยวข้องเชื่อมโยงโดยตรงกับการคอร์รัปชั่นในโครงการต่าง ๆ ในสนามบินสุวรรณภูมิ การคอร์รัปชั่นกล้ายางพารา การคอร์รัปชั่นในกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ และ ฯลฯ ไม่เว้นแต่กระทั่งการคอร์รัปชั่นในรัฐสภา

    เป็นเรื่องที่นอกจากจะแยกไม่ออกแล้ว ยังเกี่ยวข้องเชื่อมโยงโดยตรงกับการผงาดเข้ามานั่งอยู่กลางใจนายกรัฐมนตรีของนักการเมืองจอมขยันบางคน

    และแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่นอกจากจะแยกไม่ออกแล้ว ยังเกี่ยวข้องเชื่อมโยงโดยตรงกับความพยายามไม่แยแสไม่ใส่ใจในพระราชอำนาจ

    …..........

    พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มีผลใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2542 แต่ทำไมกว่าจะมีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนแรกก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไป 2 ปีเศษ ๆ คือวันที่ 1 มกราคม 2545 เมื่อมีพระบรมราชโอการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา

    คำตอบก็คือมีความพยายาม “ล็อกสเปค” ให้ผู้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนที่ต้องไม่ตรงเป็นไม้บรรทัดเกินไป

    อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นคนที่พร้อมจะคุยกันได้ – เข้าใจกันได้

    เพราะหน่วยงานตรวจเงินแผ่นดินที่เป็นอิสระจากอำนาจการเมือง ประวัติศาสตร์และตัวอย่างจากทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่าเป็นหน่วยงานป้องกันจัดการกับการคอร์รัปชั่นที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด

    ในประเทศที่มีหน่วยงานการตรวจเงินแผ่นดินที่ดีนั้น -- ไม่จำเป็นต้องมีป.ป.ช.

    ประเทศที่พัฒนาแล้ว -- ไม่มีป.ป.ช.

    แต่เนื่องจากประเทศไทยทิ้ง “จุดอ่อน” ใน “ระบบการตรวจเงินแผ่นดิน” ไว้นาน ก็เลยต้องไปแก้ที่ปลายเหตุ ก็คือมีป.ป.ช.ด้วย

    เมื่อใดที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินปฏิบัติงานได้เต็มที่มากขึ้นแล้ว งานของป.ป.ช.ก็จะลดลง

    สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นองค์กรอิสระประเภทที่เรียกว่า hybrid คือครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือจะมีทั้งอำนาจหน้าที่ในการบริหารและตรวจสอบ และรวมไปถึงอำนาจชี้ขาด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง – อำนาจชี้ขาดวินัยทางงบประมาณและการคลัง !

    ต้องบันทึกไว้ ณ ที่นี้ว่านักการเมืองที่ผลักดันการเสริมประสิทธิภาพในระบบการตรวจเงินแผ่นดิน และผลักดันให้มีการออกกฎหมายใหม่ มากที่สุดคนหนึ่งชนิดที่คนวงนอกไม่ค่อยจะรับรู้ก็คือ

    นายบุญชู โรจนเสถียร

    พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายที่ได้รับการยอมรับในวงวิชาการว่าร่างได้ดีมากที่สุดฉบับหนึ่ง ถ้าจะให้คะแนนก็จะได้ถึง 90 %

    เมื่อ “กฎหมาย” ดีในระดับ 90 % เช่นนี้ – จุดชี้ขาดความสำเร็จจึงคือ “คน” เป็นสำคัญ

    “คน” ที่จะมานั่งในตำแหน่ง “ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน” คนแรก

    “คน” จำนวนกว่า 2,000 คนในสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

    .................

    ภายในคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินช่วงปี 2543 – 2544 นั้นมีความไม่ลงตัวสูงมาก เกิดการประวิงเวลาการสรรหาและเสนอชื่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่จะส่งมาให้วุฒิสภาเลือก

    เพราะมีความพยายามที่จะ “ล็อกสเปค” ให้ลงที่คน ๆ เดียว

    คือผู้ที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอยู่ก่อนหน้าจะยกระดับขึ้นเป็นองค์กรอิสระ

    แต่ก็ให้บังเอิญติดขัดตรงที่เขาคนนั้นอยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวนในข้อหาไม่เสียภาษีรถยนต์ 2 คันเป็นเวลา 5 – 6 ปี และเปิดสำนักงานบัญชีรับสอบบัญชีและวางรูปบัญชีให้กับบริษัทเอกชนใหญ่ ๆ กว่า 20 บริษัท

    วุฒิสภาได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและสอบสวนการปฏิบัติราชการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน

    และได้เร่งรัดด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ จนประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินส่งรายชื่อมาให้ 3 คน

    ตรงนี้ก็เลยกลายเป็น “ช่องโหว่” ให้พันธมิตรกังฉินของแผ่นดินนำมาเล่นงานคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา

    เพราะเชื่อว่าพ้นจากบุคคลคนแรกไปแล้ว ความพยายาม “ล็อกสเปค” เลื่อนมาอยู่ที่บุคคลที่รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแทน จะเห็นได้ว่าบุคคลคนที่ 2 นี้ได้รับคะแนนโหวตในคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินสูงสุด แต่คณะกรรมาธิการสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและสอบสวนการปฏิบัติราชการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินของวุฒิสภารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางประการ ไม่อยากถูกมัดมือชก จึงขอให้ส่งรายชื่อมาทั้ง 3 คนที่เข้าคัดเลือกในคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

    ต้องบันทึกไว้ ณ ที่นี้ว่า ส.ว.อาวุโสที่ผลักดันแนวทางกดดันคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมากที่สุดคนหนึ่งคือ...

    พ.อ.สมคิด ศรีสังคม

    ให้บังเอิญที่คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาเป็น 1 ใน 3 ผู้ได้รับการสรรหาให้เข้าไปโหวตในคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2 อยู่ด้วย

    ในที่สุด – ผลการเลือกในวุฒิสภาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2544 ก็ “ทำลายสเปค” ด้วยการมีมติท่วมท้น 136 เสียงเลือกคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนแรก

    ............................

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานแก่ผู้เช้าร่วมสัมมนาในการวางแผนการใช้ที่ดิน ณ โรงแรมรินคำ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2523 ตอนหนึ่งว่า....

    “กฎหมายนี้มีช่องโหว่เสมอ ถ้าเราถือโอกาสในการมีช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อการทุจริตนั้น เป็นสิ่งที่เลวทราม และทำให้นำไปสู่ความหายนะ แต่ถ้าใช้ช่องโหว่ในกฎหมายเพื่อสร้างสรรค์ ก็เป็นการป้องกันมิให้ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายในทางทุจริต...”

    การกระทำของวุฒิสภาในช่วงปี 2544 ทั้งในส่วนของคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและสอบสวนการปฏิบัติราชการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินของวุฒิสภา และในส่วนของเสียงข้างมากในวุฒิสภา ในมุมมองของ “เซี่ยงเส้าหลง” ถือว่าเป็นการเจริญรอยตามพระราชดำรัสที่สร้างคุณูปการให้กับการรักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดครั้งหนึ่ง

    เป็นการบูชาในหลวงด้วย “ปฏิบัติบูชา” ที่ควรค่าแก่การสรรเสริญ

    .............................

    จากคุณ : จาก ผู้จัดการออนไลน์ - [ 20 พ.ค. 48 09:08:21 A:unknown X:203.149.16.15 TicketID:074597 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป